ログイン4
ออกเดินทาง
ฝนตกตามที่คีรีบอกสองวันติด สงสัยเขาจะดูพยากรณ์อากาศมา อีกสี่วันถัดมาจึงเป็นวันออกเดินทาง พวกเราเริ่มออกเดินทางจากเมืองหลวงช่วงเย็นของวัน กะไว้ว่าคงถึงจุดหมายช่วงเช้ามืดวันพรุ่งนี้
ขณะยกกระเป๋าขึ้นรถ ก็มีรถสองคันขับเข้ามาในบริเวณบ้าน คันหนึ่งผมจำได้แม่นเลย ปริมมาจริง ๆ ผมอุตส่าห์ไม่บอกวันเดินทางหมอนี่รู้ได้ไงว่าเราเดินทางกันตอนเย็น ส่วนรถเล็กขับเคลื่อนสี่ล้อหรือที่คนชอบเรียกว่าออฟโรดคันนั้น ไม่แน่ใจเลยว่าเป็นรถของใคร แต่ถ้าให้เดาก็ไม่ยากเท่าไร น่าจะเป็นคนที่เรียกตนเองว่าอารักษ์ขาคนนั้น
“ปริม มาทำไม”
“ก็บอกแล้วไงว่าปริมจะไปด้วย” ปริมยักคิ้วแล้วยกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงจากรถสปอร์ตคันโปรด แบกเป้เดินไปหาพี่มีนตรงออฟโรดคันสีขาวเงา พี่มีนหันมามองผมเหมือนกำลังจะถามว่าจะให้จัดการอย่างไร
ถึงไล่ปริมก็ไม่ไปผมยักไหล่สองข้างอย่างจนใจ เธอเลยเปิดประตูรถให้เขาเก็บเป้เดินทางไว้ในรถ ครู่เดียวคีรีเดินลงจากรถฝั่งข้างคนขับ สองเท้าก้าวออกไปอัตโนมัติ เดินมาครึ่งทางก็เจอคีรียืนอยู่ตรงหน้า
“พร้อมหรือยัง”
“ครับ คนของผมก็เตรียมพร้อมแล้ว รอคีรีคนเดียว”
“งั้นก็ไปเถอะ ผมจะตามอยู่หลังสุด” คุยกับนายท่านอารักษ์ขาเสร็จ ก็หันพยักหน้าให้พี่มีนเป็นอันว่าพร้อมเดินทาง เธอเรียกลูกทีมด้านหลังเสียงดัง ทุกคนพากันขึ้นรถเสียงปิดประตูดังไล่กันไปจนครบทุกคัน
ออฟโรดห้าคันแล่นไปบนถนนใจกลางเมืองมุ่งสู่ภาคเหนือของประเทศ ไม่ว่าใครเห็นก็รู้ว่าเป็นคณะเดียวกัน สามคันแรกเป็นลูกทีมนั่งคันละสี่คน คันที่สี่มีผม ปริม พี่มีนเป็นคนขับ คันสุดท้ายอย่างที่รู้ว่าคีรีจะเป็นคนปิดท้าย ขับไปได้ห้าหกชั่วโมงก็จอดพักยืดเส้นยืดสาย เปลี่ยนคนขับ จากนั้นจึงขับต่อไปอีกสี่ห้าชั่วโมงก็เกือบถึงจุดหมาย
เส้นทางเริ่มลำบากขึ้นเล็กน้อยเพราะสิ้นสุดถนนหลวง ต่อไปจึงเป็นทางชนบทขรุขระบ้างเรียบบ้าง ตามแต่จะว่าเส้นนั้นใกล้หมู่บ้านแค่ไหน
ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านของพรานพง ไกด์นำทางของเราในครั้งนี้ หมู่บ้านนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองเกือบหนึ่งร้อยกิโลเมตร เส้นทางต้องใช้คำว่าค่อนข้างทุรกันดารเลยก็ว่าได้ ผมนั่งจนเมื่อยก้นไปหมด หากเอารถบ้านมาคงดีกว่านี้
ทุกคนลงจากรถเพื่อยืดเส้นยืดเส้นอีกครั้ง เท่าที่พรานพงบอกเราต้องขับรถต่อไปอีกประมาณสี่สิบกิโลเมตร จากนั้นค่อยเดินเท้าเข้าป่าต่อไป
“สวัสดีครับพรานพง”
“คุณเดินทางมาเหนื่อย ๆ พักผ่อนกันก่อนเถอะ สักชั่วโมงค่อยออกเดินทาง เดินเท้าเข้าป่าตอนเย็นน่าถึงจะจุดพักพอดี” พรานพงบอกผมแต่สายตากลับมองผ่านไปด้านหลัง เหมือนกำลังมองหาใครสักคน คีรีเดินเข้ามาหาถึงรู้ว่าคนที่เขากำลังมองหาคือใคร
“ผมจะแนะนำให้รู้จักนะครับ นี่พรานพง ส่วนนี่พันคีรี พรานพงเป็นคนแนะนำให้ผมไปเชิญคีรีมาเป็นอารักษ์ขา” คีรีพยักหน้ายิ้มให้ผม แล้วหันไปมองหน้าพรานพงสีหน้านิ่งเฉย ผมว่าเขาเป็นไบโพลาร์จริง ๆ อย่างที่คิดในตอนแรกนั่นแหละ นึกอยากยิ้มก็ยิ้ม นึกอย่างขรึมก็ขรึมขึ้นมา
“ขอบคุณ” ถึงจะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่อยู่ ๆ คีรีก็พูดขอบคุณพรานพงขึ้นมา ลูกกระจ๊อกคีรีที่อยู่ด้านหลังมองนายท่านของตนเองด้วยความสงสัย ใช่ ผมเองก็สงสัยเขาดูไม่ใช่คนที่จะเอ่ยปากพูดกับใครก่อน ยิ่งคำขอบคุณเมินซะเถอะ เกินคาดไปมากสำหรับผมที่เห็นอะไรแบบนี้
ไม่ใช่ว่าเขาดูหยิ่ง แต่เขาดูน่าเกรงขามจนเหมือนไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกัน ดูเข้าถึงยากเกินไป
“รบกวนนายท่านแล้ว” นายท่านอีกแล้วทำไมทั้งลูกกระจ๊อกทั้งพรานพงถึงเรียกคีรีว่านายท่านกันหมด พวกพี่มีนพาลูกทีมไปนั่งตรงที่พักข้างบ้านไม้มุงจากของพรานพง ระหว่างที่คุยกันเลยไม่มีใครได้ยินนอกจากผม พรานพง คีรี และลูกกระจ๊อกหน้าเหมือนตัวร้ายคนนั้น
“สงสัยเหรอ” คีรีถามเมื่อเราแยกย้ายจากพรานพงไปหาที่พักผ่อนรอเวลาออกเดินทาง บางทีผมรู้สึกเหมือนเขาอ่านใจคนได้จริง ๆ ขณะเดินก้มหน้าก้มตาคิดถึงเรื่องเมื่อครู่ ผมรีบเงยหน้ามองคนถามพยักหน้างึกงักให้เขาทันที
“สงสัยเรื่องอะไรล่ะ”
“คีรีกับพรานพงรู้จักกันมาก่อนใช่มั้ย” ผมแค่ถามลองเชิงเท่านั้นแหละ เรียกกันขนาดนั้นถ้าไม่รู้จักผมยอมใช้หัวเดินแทนเท้าเลย คีรีทำท่าครุ่นคิดจากนั้นยิ้มมุมปาก ไอ้หนุ่มนี่มันยังไงกันแน่นะ ทำตัวมีลับลมคมในเก่งอะไรขนาดนั้น
“ก็ถือว่ารู้จัก แต่รู้จักพ่อของเจ้านั่นมากกว่า”
“เจ้านั่นงั้นเหรอ ดู ๆ แล้วพรานพงน่าจะอายุสี่สิบได้มั้ง เรียกไม่เคารพผู้อาวุโสเลยนะคุณน่ะ” โห กล้าเรียกคนแก่กว่าว่าเจ้านั่น ผมนับถือจริง ๆ ต้องไม่สนโลกไม่สนสังคมขนาดไหน ถึงพูดแบบนั้นได้เต็มปากเต็มคำแบบที่เขาพูดอยู่ตอนนี้
“แล้วณจันทร์รู้เหรอว่าผมอายุเท่าไหร่”
“นั่นสิ คีรีอายุเท่าไหร่ล่ะ”
“ถึงเทวาลัยนั่นณจันทร์จะรู้เอง ไปพักเถอะ” เขาบอกเสร็จก็เดินแยกไปหาลูกกระจ๊อกที่เจอกันมาหลายครั้งหลายครา แต่ไม่เคยรู้จักชื่อเขาเลยสัก หมอนั่นรีบกุลีกุจอเสิร์ฟน้ำให้นายท่านทันทีที่เขาเดินถึงรถ
หมอนั่นเป็นลูกน้องหรือเป็นทาสกันแน่ สปอยล์กันเวอร์วังเกินไปแล้ว
ไม่รู้ผมนินทาคนอื่นไปเพื่ออะไรเพราะพอเดินถึงที่พักผ่อนข้างบ้านพรานพง พี่มีนเสิร์ฟน้ำ ปริมยื่นพัดให้ เมื่อครู่ผมว่าตนเองแน่ ไม่ได้หมายถึงคีรีหรอกที่ถูกสปอยล์ ผมต่างหากที่ถูกสปอยล์มาตลอด
“ว่าไงบ้าง”
“อีกสี่สิบนาทีค่อยเดินทางต่อ พี่กับพวกลูกน้องพักผ่อนกันก่อนเถอะ คืนนี้น่าจะได้พักในป่าเท่าที่พรานพงบอก”
“งั้นหนูจันก็พักผ่อนเถอะ เดินทางไกลจะไม่ไหวเอา” พี่มีนแตะไหล่บอกเบา ๆ ใช่สิ ผมมันอ่อนแอที่สุดในนี้แล้ว ถ้าไม่พักผ่อนกลัวจะกลายเป็นภาระคนอื่นเอา ปลงได้เลยนั่งลงเอนตัวนอนตักพี่มีน
“จันของีบสักสิบนาทีเพื่อสมองที่ปลอดโปร่งและร่างกายที่กระปรี้กระเปร่า”
“นอนเถอะ ถีงเวลาพี่จะเรียก”
สิบห้านาทีพอดิบพอดีพี่มีนก็สะกิดไหล่ ช่างเป็นผู้หญิงที่ตรงเวลาเป๊ะจริง ๆ ให้นอนเลยเวลาสักหน่อยก็ไม่ได้ ผมใช้มือขยี้ตา มือควานหาหมวกสีขาวทรงบักเก็ตข้างตัวมาสวมไว้
“นายท่านบอกว่าให้เดินทางก่อนเวลา อีกยี่สิบนาทีที่นี่จะมีฝนหนัก ถนนออกหมู่บ้านอาจจะถูกตัดขาด ถ้าไม่ไปก็ออกไปไม่ได้” ลูกกระจ๊อกของคีรีบอกกับผม เหมือนเขารู้ว่าผมตื่นแล้วเพราะพอตื่นปุ๊บหมอนี่ก็เดินมาทันที ผมยังรู้สึกเมาขี้ตาอยู่เลย
“บอกว่าฝนจะตกเนี่ยนะ ใครจะไปเชื่อฟ้าโปร่งขนาดนี้” หนึ่งในลูกทีมใหม่ที่ลุงเฉินหามาพูดขึ้น ผมเองก็คิดเหมือนเขา ใครจะมารู้ดีได้ขนาดนั้นแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเพราะอยู่ในช่วงงัวเงีย
“นายท่านบอกไม่เชื่อก็ไปกันเอง”
“ไปกันเถอะคุณ ก่อนจะไปไม่ได้” พอพรานพงเดินมาบอกก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธอีกแล้ว
“ไปเถอะหนูจัน” พี่มีนพยักหน้าให้เห็นด้วยกับที่พรานพงบอก ผมที่รู้สึกตาสว่างคิดทบทวนเรื่องเมื่อครู่ จากนั้นจึงโบกมือส่งสัญญาณโอเคเพราะตอนนี้ยังคงอ้าปากหาวหวอด ๆ อยู่
“ทุกคนเดินทาง”
5ป่าดิบออกจากหมู่บ้านพรานพงมาแค่ห้านาทีท้องฟ้าพากันครึ้มโดยไม่ได้นัดหมาย ฟ้าแบบนี้ไม่มีทางที่ฝนจะไม่ตกอย่างแน่นอน ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน จากนั้นจึงหันไปมองคีรีที่อยู่ในรถคันหลังสุด ระยะทางสี่สิบกิโลเมตรแต่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเพราะทางขรุขระเกินจะบรรยายได้ ผมนึกว่าไส้จะออกมากองกันข้างนอกซะแล้วจากที่ผมตามอยู่รองสุดท้าย พอออกจากหมู่บ้านต้องขึ้นมาเป็นคันแรก เพราะคนรู้ทางมีแค่พรานพง ในที่สุดพรานพงก็พูดคำพูดที่ผมรอคอยมานาน “ถึงแล้ว”“โอ้โห พื้นผิวพระจันทร์หรือไงเนี่ย” ปริมร้องออกมา เมื่อรถหยุดลงตรงสุดเขตถนนที่รถจะสามารถแล่นไปได้“พี่มีนไหวมั้ย” ผมถามพี่มีนที่ลงมายืนบิดตัวเบา ๆ อยู่ตรงประตูรถ ส่วนตัวผมบิดตัวครั้งใหญ่เมื่อยจนไม่รู้จะเมื่อยอย่างไร ปกติไปไหนมาไหนใช้เครื่องบินพอต้องนั่งรถไกลแบบนี้ ผมรู้สึกเพลียล้า เหมือนจะไข้ขึ้น“สบายมาก พรานพง เราจะเอายังไงต่อ”“เดี๋ยวให้ทุกคนยืดเส้นยืดสายสักสิบนาที ช่วยกันขนสัมภาระแบ่งหน้าที่แล้วค่อยเดินเท้าต่อ” เธอพยักหน้าให้พรานพง จากนั้นเดินไปสั่งงานหัวหน้าทีมทั้งสองทีมต่อ แม้จะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในคณะ แต่ด้วยความสามารถของเธอจึงไม่มีใครกังขาพี่เก็
4ออกเดินทางฝนตกตามที่คีรีบอกสองวันติด สงสัยเขาจะดูพยากรณ์อากาศมา อีกสี่วันถัดมาจึงเป็นวันออกเดินทาง พวกเราเริ่มออกเดินทางจากเมืองหลวงช่วงเย็นของวัน กะไว้ว่าคงถึงจุดหมายช่วงเช้ามืดวันพรุ่งนี้ขณะยกกระเป๋าขึ้นรถ ก็มีรถสองคันขับเข้ามาในบริเวณบ้าน คันหนึ่งผมจำได้แม่นเลย ปริมมาจริง ๆ ผมอุตส่าห์ไม่บอกวันเดินทางหมอนี่รู้ได้ไงว่าเราเดินทางกันตอนเย็น ส่วนรถเล็กขับเคลื่อนสี่ล้อหรือที่คนชอบเรียกว่าออฟโรดคันนั้น ไม่แน่ใจเลยว่าเป็นรถของใคร แต่ถ้าให้เดาก็ไม่ยากเท่าไร น่าจะเป็นคนที่เรียกตนเองว่าอารักษ์ขาคนนั้น“ปริม มาทำไม”“ก็บอกแล้วไงว่าปริมจะไปด้วย” ปริมยักคิ้วแล้วยกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงจากรถสปอร์ตคันโปรด แบกเป้เดินไปหาพี่มีนตรงออฟโรดคันสีขาวเงา พี่มีนหันมามองผมเหมือนกำลังจะถามว่าจะให้จัดการอย่างไรถึงไล่ปริมก็ไม่ไปผมยักไหล่สองข้างอย่างจนใจ เธอเลยเปิดประตูรถให้เขาเก็บเป้เดินทางไว้ในรถ ครู่เดียวคีรีเดินลงจากรถฝั่งข้างคนขับ สองเท้าก้าวออกไปอัตโนมัติ เดินมาครึ่งทางก็เจอคีรียืนอยู่ตรงหน้า“พร้อมหรือยัง”“ครับ คนของผมก็เตรียมพร้อมแล้ว รอคีรีคนเดียว”“งั้นก็ไปเถอะ ผมจะตามอยู่หลังสุด” คุยกับนายท่านอารักษ
3ต้องเชื่อเท่านั้น“พี่มีน ช่วยลิสต์รายการสัมภาระให้จันทร์หน่อยได้มั้ย จันทร์จะไปร่างสัญญาจ้างงานของคีรี”“ได้สิ เดี๋ยวพี่ไปปรึกษาลุงเฉิน อย่างไงซะคนเตรียมของก็คือพี่ ไม่รู้ลุงเฉินหาคนไว้กี่คนจะได้เตรียมของให้พอกับจำนวนคน” คนสวยของผมใจดีเสมอจริง ๆ ไหว้วานอะไรไม่เคยขัด จัดให้ตลอด ผมคิดว่าหลังจัดการหนังสือจ้างงานชั่วคราวนี่เสร็จจะไปคุยกับพรานพงสักหน่อย ไม่รู้ว่าการเดินทางนี้ใช้เวลากี่วันเราจะได้จัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มยารักษาโรคไปให้พอดีนอกจากคุยกับพรานพงแล้วผมยังต้องไปรายงานนายท่านคีรีที่บ้านของเขาอีก ช่างเป็นช่วงฉุกละหุกจริง ๆ เหมือนทุกอย่างอยู่ในช่วงเวลารีบเร่ง“นายท่านรอคุณอยู่ข้างใน เชิญ” ผู้ชายคนเมื่อคราวก่อนเปิดประตูรั้วรอตั้งแต่ผมยังไม่ทันได้จอดดีเสียด้วยซ้ำ เหมือนเขารู้ว่าผมจะมา พอปิดประตูรถเสร็จก็เดินตามเขาเข้าไปในบ้านพันคีรีนั่งรอผมอยู่กลางห้องนั่งเล่น ไม่ใช่ห้องคราวก่อนที่ผมเข้าไป ห้องนั่งเล่นเป็นกระจกทุกด้าน ถึงจะมีแดดส่องแต่ก็ถูกต้นไม้บดบังไม่มีแสงแดดพาดผ่านตัวบ้านเลย ทั้งยังเย็นสบายจนน่าแปลกอีกต่างหากต้องเป็นเพราะในบ้านทาสีกันความร้อนแน่“ไหน รายการสัมภาระ” เขาว่าด้ว
2พันคีรีลุงเฉินใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็หาพรานไพลจนเจอ แต่พรานไพลนั่นตายไปเมื่อหกปีก่อนเหลือแต่ลูกชายที่พอจะรู้ทางอยู่บ้าง ตกลงกันอยู่นานพรานพงลูกชายพรานไพลก็ยอมตกลงนำทางให้พวกเรา นอกจากตกลงนำทางพรานพงยังมีข้อเสนอให้อีกอย่างว่าถ้าอยากเข้าป่าอย่างปลอดภัยให้ไปเชิญคนที่ชื่อพันคีรีร่วมทางด้วยในวงการหาของโบราณจากเทวาลัย วัง ปราสาทเก่า เมืองเก่า ชื่อพันคีรีนี้โด่งดังมาก ขึ้นชื่อเรื่องมากฝีมือ หน้าที่อย่างเดียวของเขาในการร่วมทางคือเฝ้าระวังคณะเดินทางเท่านั้น ผู้คนเรียกหน้าที่นี้ว่า ‘อารักษ์ขา’ ค่าตัวแพงหูฉี่ แต่เปอร์เซ็นต์การไปและกลับสูงกว่าการไปกันเอง พันคีรีคนนี้เลยมีคนไปเชิญวันละสามเวลานอกจากจะไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของเขาแล้ว ตัวตนก็เป็นความลับเหมือนกัน ไม่ว่าจะสืบหากันเท่าไรก็ไม่พบเจออะไร อายุ วันเดือนปีเกิด ไม่มีใครรู้เลย มีแค่ฝีมือเขาเท่านั้นที่เป็นที่ประจักษ์คนเล่าลือกันขนาดนี้ผมก็ต้องมีหวั่นไหวเพราะฉะนั้นเลยส่งคนไปทาบทามเขามาร่วมคณะแล้วถึงสองรอบ แต่เขาไม่แม้จะออกมาพูดคุยด้วยตนเอง ส่งลูกกระจ๊อกออกมาไล่คนของผมทั้งสองครั้ง ผมมันคนไม่ย่อท้อยิ่งไล่ผมยิ่งต้องการ ฮ่า ๆวันนี้ผมเลยมาเอ
1เทวาลัยกุสุมาลย์“เป็นไงบ้างครับลุงเฉิน” ผ่านไปคืนเดียวลุงเฉินก็กลับมาพร้อมกับคำตอบที่ผมต้องการ ในมือถือรูปวาด บนรูปวาดมีดอกไม้นานาชนิดหลากสีสัน ตรงกลางมีทางเดินไปยังบัลลังก์แก้ว หลังบัลลังก์มีกำแพงแก้วสวย และลึกลับไปพร้อมกัน ผมเดาว่ากำแพงน่าจะเปิดได้“คิดว่ามันน่าจะเป็นเทวาลัยกุสุมาลย์ แต่ลุงคิดว่าไม่น่าจะมีใครเคยไป พรานคนหนึ่งบอกว่ามันคือตำนาน เป็นเทวาลัยในป่าลึกทางเหนือของประเทศ ไม่รู้ตอนนี้จะยังมีคนรู้ทางไปอยู่หรือเปล่า” ลุงเฉินเล่าข่าวที่ได้มาให้ฟัง ผมพยักหน้าให้ระหว่างฟังไม่คิดเลยว่ามันจะดูลึกลับแบบนี้ ชื่อนี้เหมือนผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่รู้สึกจำไม่ได้อยู่ดีว่ามันคือที่ไหน ช่างมีประโยชน์จริง ๆ ความจำของผม“หนูจันทร์ยังจะไปอยู่เหรอ ไม่มีใครเคยไปเลยนะ” พี่มีนถามแล้วลุกเดินมานั่งโซฟาตัวเดียวกับผม หยิบรูปที่ลุงเฉินวางไว้บนโต๊ะมาดู จะว่าไปจี้นี่ก็ได้มาจากพ่อแม่ ท่านสองคนน่าจะเคยไปมาก่อน ผมควรลองไปแอบอ่านไดอารี่ของแม่หน่อยจะดีกว่าเผื่อจะมีข้อมูลอะไร“จันทร์ต้องไปครับพี่มีน จำเป็นต้องไป”“งั้นพี่ไปด้วย พี่จะไม่ปล่อยให้หนูจันทร์ไปคนเดียวแน่ ๆ พี่เองก็จะลองช่วยหาดูว่ามีใครพอจะรู้เร
บทนำโลกของคุณหนูณจันทร์“ฮืออ…ร้อน จันทร์เจ็บ ๆ” วันนี้ของทุกเดือนผมมักจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทั่วตัวเหมือนตัวเองถูกต้มอยู่ในหม้อน้ำเดือด ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนพอจำได้ก็เป็นแบบนี้มาตลอด น่าจะอายุสักสิบสี่หรือเปล่านะ กลางฤดูหนาวของเดือนพฤศจิกาที่เป็นหน้าหนาวแต่ผมกลับรู้สึกร้อนรุ่มปวดแสบปวดร้อนจนแทบจะขาดใจตายผมเลยต้องนั่งแช่น้ำเย็นจัดอยู่ในอ่างจากุซซีแบบนี้มาตลอด ถึงจะไม่หายแต่ยังพอบรรเทาได้บ้าง ผมหาหมอทุกคนที่มีชื่อเสียงทั้งในและนอกประเทศ สำคัญคือมันไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ผมก็เช่นกัน…“หนูจันทร์เป็นยังไงบ้าง” พี่มีนตราเป็นเด็กที่พ่อแม่ผมอุปการะไว้ตั้งแต่ตอนผมอายุสิบขวบ เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กทำให้เธอรู้ใจ รู้ทุกอย่างในชีวิตของผมรวมถึงอาการนี้ด้วยพี่มีนมักจะมานั่งเฝ้าผมอยู่ตรงนี้ทุกเดือนไม่เคยขาด มันไม่ช่วยอะไรแต่เธอทำให้ผมรู้ว่าผมจะมีเธออยู่ข้าง ๆ ตลอด“พี่มีน จันทร์เจ็บจัง ฮึก…” ผมตอบพี่มีนไปพร้อมกับใช้น้ำแข็งที่พี่มีนหอบมาถูไปตามแขนแรง ๆ มันน่าแปลกผมปวดแสบปวดร้อนจนเหมือนถูกต้มในน้ำเดือดแต่ร่างกายภายนอกของผมไม่มีร่องรอยอะไรเลยนอกจากจะปวดแสบปวดร้