ログイン5
ป่าดิบ
ออกจากหมู่บ้านพรานพงมาแค่ห้านาทีท้องฟ้าพากันครึ้มโดยไม่ได้นัดหมาย ฟ้าแบบนี้ไม่มีทางที่ฝนจะไม่ตกอย่างแน่นอน ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน จากนั้นจึงหันไปมองคีรีที่อยู่ในรถคันหลังสุด ระยะทางสี่สิบกิโลเมตรแต่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเพราะทางขรุขระเกินจะบรรยายได้ ผมนึกว่าไส้จะออกมากองกันข้างนอกซะแล้ว
จากที่ผมตามอยู่รองสุดท้าย พอออกจากหมู่บ้านต้องขึ้นมาเป็นคันแรก เพราะคนรู้ทางมีแค่พรานพง ในที่สุดพรานพงก็พูดคำพูดที่ผมรอคอยมานาน “ถึงแล้ว”
“โอ้โห พื้นผิวพระจันทร์หรือไงเนี่ย” ปริมร้องออกมา เมื่อรถหยุดลงตรงสุดเขตถนนที่รถจะสามารถแล่นไปได้
“พี่มีนไหวมั้ย” ผมถามพี่มีนที่ลงมายืนบิดตัวเบา ๆ อยู่ตรงประตูรถ ส่วนตัวผมบิดตัวครั้งใหญ่เมื่อยจนไม่รู้จะเมื่อยอย่างไร ปกติไปไหนมาไหนใช้เครื่องบินพอต้องนั่งรถไกลแบบนี้ ผมรู้สึกเพลียล้า เหมือนจะไข้ขึ้น
“สบายมาก พรานพง เราจะเอายังไงต่อ”
“เดี๋ยวให้ทุกคนยืดเส้นยืดสายสักสิบนาที ช่วยกันขนสัมภาระแบ่งหน้าที่แล้วค่อยเดินเท้าต่อ” เธอพยักหน้าให้พรานพง จากนั้นเดินไปสั่งงานหัวหน้าทีมทั้งสองทีมต่อ แม้จะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในคณะ แต่ด้วยความสามารถของเธอจึงไม่มีใครกังขา
พี่เก็ตคือหัวหน้าทีมจากบริษัทของผม พี่เดี่ยวคือหัวหน้าทีมชำนาญการผจญอันตรายที่ลุงเฉินหามา พี่มีนให้ทีมของพี่เก็ตช่วยกันแบกสัมภาระ ส่วนทีมของพี่เดี่ยวซึ่งชำนาญการผจญอันตรายคอยระวังหน้าหลัง ส่วนผม ปริม พี่มีนอยู่ตรงกลาง
คีรีและภัทรรั้งท้ายหลังสุด ตามความต้องการของนายท่านอารักษ์ขาผู้นั้น อ๋อ ภัทรที่ว่าผมหมายถึงลูกกระจ๊อกของคีรี ได้ยินเขาเรียกตอนลงรถ
พื้นที่ป่าดิบเขาอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้สูง แม้แต่หญ้าก็เขียวชอุ่ม มีทั้งไม้ขุน เป้ง สะเดาช้าง สารพัดต้นไม้นานาชนิด น่าจะเป็นเพราะพืชพรรณในป่าผลัดใบไม่พร้อมกัน ป่าเลยเขียวสดอยู่ตลอด แทบไม่มีทางโล่งเตียนที่คนใช้เดินสัญจร แสดงว่าไม่มีคนเข้าป่านี้มานานมากแล้ว
คีรีนั่งอยู่บนกระโปรงรถของตนเองเหม่อมองฟ้ามองดินอยู่คนเดียว ไม่นานพรานพงก็เดินเข้าไปหาเขาคุยกันแป๊บเดียวก็เดินออกไป ผมว่าคงใกล้เวลาออกเดินทางแล้วเพราะเห็นภัทรเดินแบกเป้สองใบลงจากรถคันนั้น เป้สีเขียวเข้มใบใหญ่มาก ส่วนสีดำขนาดไม่ใหญ่มาก เหมือนใส่ของไม่เต็มกระเป๋าด้วยซ้ำ เมื่อคนอื่นเห็นคีรีเตรียมตัวก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมา
“คุณ พร้อมหรือยัง” พรานพงเดินเข้ามาถามผมที่กำลังใช้ทิชชู่เปียกเช็ดเศษดินเปื้อนขากางเกงสีขาวสะอาดของตนเอง ผมบอกแล้วว่าถ้าเสื้อผ้าสีเข้มผมรู้สึกไม่มีแรงจะเดิน ผมเลยเลือกใส่ชุดหมีสีขาวเสื้อกั๊กสีชมพูมาเดินป่า แม้จะถูกปริมแซวมาตลอดทางก็ตาม
“พี่มีนว่ายังไงครับ”
“พี่ว่าออกกันเถอะ เดี๋ยวจะมืดเอา”
“ใช่ ไปเถอะ” ปริมเองก็เห็นด้วยกับพี่มีน อีกไม่ถึงหกชั่วโมงก็จะเย็นแล้ว ยิ่งอยู่ในป่ายิ่งมืดเร็ว ป่าไม่ใช่ทางเดินปกติเมื่อพระอาทิตย์ตกไม่ควรฝืนเดินต่อ
ห้านาทีต่อมาพรานพงเดินนำทางพวกเราเข้าป่าไม้เขียวสดตรงหน้า พื้นดินแฉะเล็กน้อยคงเพราะเป็นช่วงใกล้หน้าฝน ยิ่งเป็นในป่าดิบฝนจึงยิ่งตกชุกกว่าข้างนอก พอตกมากพื้นดินได้รับน้ำก็อ่อนนุ่มขึ้นเป็นธรรมดา โชคยังดีที่ไม่เละจนกลายเป็นโคลนเปรอะเปื้อน
เดินเรียงแถวตอนลึกคู่กันไปครึ่งชั่วโมง ผมเริ่มรู้สึกหอบนิด ๆ ให้เดินทางปกติก็ผมก็เหนื่อยแล้ว แต่เดินป่าต่างกันมากเพราะมันไม่ใช่ทางเรียบโล่งเตียน มีทั้งกิ่งไม้ เนินดิน โขดหิน ไหนจะปริมชวนคุยตลอดทาง ผมกินน้ำแล้วกินน้ำอีก กินจนนับไม่ได้ว่ากินไปกี่รอบ
“พักกันก่อนเถอะ” พี่มีนบอกพรานพงที่อยู่หน้าสุด เมื่อเห็นสภาพเหมือนหมาหอบของผม ผมรีบพยักหน้าเห็นด้วยทุกคนเลยได้หยุดพัก มีแต่คีรีคนเดียวที่ขอแยกไปสำรวจข้างหน้าก่อน
คีรีมีข้าวของสัมภาระไม่เยอะเท่าพวกเรา เป้สะพายหลังก็เป็นเพียงขนาดกลางไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่บ้าง ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาคงมีของเพียงไม่กี่ชิ้น แหวนบนนิ้วกลาง ที่เหน็บอยู่ตรงเอวข้างขวาน่าจะเป็นมีดยาวน่าจะยาวสักคืบหนึ่ง ด้ามเป็นสีขวาเหมือนงาช้างส่วนใบมีดผมมองไม่เห็น ที่เอวซ้ายมีกระเป๋าหนังปริศนาทรงสีเหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือสีดำสนิท ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่เช่นกัน ท่าทางคล่องแคล้วชำนาญพื้นที่ของเขาทำให้ผมสนใจจริง ๆ
“กินน้ำหน่อย” ปริมยื่นน้ำมาตรงหน้าทำให้ผมเลิกให้ความสนใจกับมนุษย์แปลกแยกคนนั้น รับน้ำมาดื่มดับกระหาย แปลกดีที่อากาศเย็นสบายแบบนี้ผมดันร้อนจนอยากเป็นลม
“ไหวมั้ยหนูจัน” พี่มีน
“นั่นดิ ทำไมหน้าแดงแบบนั้น” ปริม
“สงสัยจะเพราะนั่งรถนาน พอมาเดินเหงื่อโชกแบบนี้เลยเพลียน่ะ ไม่เป็นไรหรอกจันไหว” ผมพูดจบคีรีก็เดินกลับมาพอดี เขาไม่ได้เข้ามาคุยกับพวกเรา เพียงแต่ใช้ภัทรไปบอกเส้นทางข้างหน้าให้พรานพงฟังเท่านั้น พรานพงเดินมาบอกให้เรารีบออกเดินทางหาที่พักก่อนฝนตก
เราเดินกันมาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็เจอกับแอ่งน้ำเล็ก ๆ สองฝั่งของแอ่งน้ำเป็นต้นไม้เรียงสลับซับซ้อน มีทางเดียวคือเดินลุยน้ำไป ฝนเริ่มปรอยพรานพงจึงเร่งให้เรารีบเดินลุยแอ่งน้ำที่มีระยะทางเกือบร้อยเมตร พรานพงเริ่มเดินลุยไปเป็นคนแรก ตามด้วยพี่เดี่ยวหัวหน้าทีมผจญอันตราย
แอ่งน้ำนี่ลึกแค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้นแต่บริเวณรอบแอ่งน้ำชื้นแฉะมาก เราเดินตามรอยเท้าพรานพงไปช้า ๆ เพราะไม่รู้สภาพพื้นดินใต้แอ่งน้ำ
ความรู้สึกยิบ ๆ ตรงต้นคอทำให้ผมรีบเหวี่ยงฝ่ามือไปคลำดูทันที นุ่ม นิ่ม หยุ่น คำพวกนี้แวบเข้ามาในหัวเมื่อผมสัมผัสบางสิ่งบางอย่างที่หลังคอ ตัวเริ่มเย็นเฉียบชายิบไปถึงหนังหัว อะไรกันเกาะตัวผมอยู่ คำถามนี้ปรากฎขึ้นมาก่อนผมจะร้องเสียงดังอย่างตกใจ
“หนูจันเป็นอะไร” พี่มีนรีบเข้ามาพยุงให้ผมลุกขึ้น ผมตกใจไอ้ตัวหยุ่นตรงหลังคอจนเหยียบดินในแอ่งน้ำลื่นล้มก้นกระแทก
“พี่มีน ตัวอะไรอยู่ตรงต้นคอจันอ่า” พี่มีนจับไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้ ชะโงกดูต้นคอว่ามีอะไรอยู่อย่างที่ผมบอกหรือเปล่าทั้งทีมพากันหันมามองผมพร้อมกัน เหมือนกำลังลุ้นว่าจะมีตัวอะไรอยู่จริงหรือเปล่า
5ป่าดิบออกจากหมู่บ้านพรานพงมาแค่ห้านาทีท้องฟ้าพากันครึ้มโดยไม่ได้นัดหมาย ฟ้าแบบนี้ไม่มีทางที่ฝนจะไม่ตกอย่างแน่นอน ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน จากนั้นจึงหันไปมองคีรีที่อยู่ในรถคันหลังสุด ระยะทางสี่สิบกิโลเมตรแต่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเพราะทางขรุขระเกินจะบรรยายได้ ผมนึกว่าไส้จะออกมากองกันข้างนอกซะแล้วจากที่ผมตามอยู่รองสุดท้าย พอออกจากหมู่บ้านต้องขึ้นมาเป็นคันแรก เพราะคนรู้ทางมีแค่พรานพง ในที่สุดพรานพงก็พูดคำพูดที่ผมรอคอยมานาน “ถึงแล้ว”“โอ้โห พื้นผิวพระจันทร์หรือไงเนี่ย” ปริมร้องออกมา เมื่อรถหยุดลงตรงสุดเขตถนนที่รถจะสามารถแล่นไปได้“พี่มีนไหวมั้ย” ผมถามพี่มีนที่ลงมายืนบิดตัวเบา ๆ อยู่ตรงประตูรถ ส่วนตัวผมบิดตัวครั้งใหญ่เมื่อยจนไม่รู้จะเมื่อยอย่างไร ปกติไปไหนมาไหนใช้เครื่องบินพอต้องนั่งรถไกลแบบนี้ ผมรู้สึกเพลียล้า เหมือนจะไข้ขึ้น“สบายมาก พรานพง เราจะเอายังไงต่อ”“เดี๋ยวให้ทุกคนยืดเส้นยืดสายสักสิบนาที ช่วยกันขนสัมภาระแบ่งหน้าที่แล้วค่อยเดินเท้าต่อ” เธอพยักหน้าให้พรานพง จากนั้นเดินไปสั่งงานหัวหน้าทีมทั้งสองทีมต่อ แม้จะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในคณะ แต่ด้วยความสามารถของเธอจึงไม่มีใครกังขาพี่เก็
4ออกเดินทางฝนตกตามที่คีรีบอกสองวันติด สงสัยเขาจะดูพยากรณ์อากาศมา อีกสี่วันถัดมาจึงเป็นวันออกเดินทาง พวกเราเริ่มออกเดินทางจากเมืองหลวงช่วงเย็นของวัน กะไว้ว่าคงถึงจุดหมายช่วงเช้ามืดวันพรุ่งนี้ขณะยกกระเป๋าขึ้นรถ ก็มีรถสองคันขับเข้ามาในบริเวณบ้าน คันหนึ่งผมจำได้แม่นเลย ปริมมาจริง ๆ ผมอุตส่าห์ไม่บอกวันเดินทางหมอนี่รู้ได้ไงว่าเราเดินทางกันตอนเย็น ส่วนรถเล็กขับเคลื่อนสี่ล้อหรือที่คนชอบเรียกว่าออฟโรดคันนั้น ไม่แน่ใจเลยว่าเป็นรถของใคร แต่ถ้าให้เดาก็ไม่ยากเท่าไร น่าจะเป็นคนที่เรียกตนเองว่าอารักษ์ขาคนนั้น“ปริม มาทำไม”“ก็บอกแล้วไงว่าปริมจะไปด้วย” ปริมยักคิ้วแล้วยกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงจากรถสปอร์ตคันโปรด แบกเป้เดินไปหาพี่มีนตรงออฟโรดคันสีขาวเงา พี่มีนหันมามองผมเหมือนกำลังจะถามว่าจะให้จัดการอย่างไรถึงไล่ปริมก็ไม่ไปผมยักไหล่สองข้างอย่างจนใจ เธอเลยเปิดประตูรถให้เขาเก็บเป้เดินทางไว้ในรถ ครู่เดียวคีรีเดินลงจากรถฝั่งข้างคนขับ สองเท้าก้าวออกไปอัตโนมัติ เดินมาครึ่งทางก็เจอคีรียืนอยู่ตรงหน้า“พร้อมหรือยัง”“ครับ คนของผมก็เตรียมพร้อมแล้ว รอคีรีคนเดียว”“งั้นก็ไปเถอะ ผมจะตามอยู่หลังสุด” คุยกับนายท่านอารักษ
3ต้องเชื่อเท่านั้น“พี่มีน ช่วยลิสต์รายการสัมภาระให้จันทร์หน่อยได้มั้ย จันทร์จะไปร่างสัญญาจ้างงานของคีรี”“ได้สิ เดี๋ยวพี่ไปปรึกษาลุงเฉิน อย่างไงซะคนเตรียมของก็คือพี่ ไม่รู้ลุงเฉินหาคนไว้กี่คนจะได้เตรียมของให้พอกับจำนวนคน” คนสวยของผมใจดีเสมอจริง ๆ ไหว้วานอะไรไม่เคยขัด จัดให้ตลอด ผมคิดว่าหลังจัดการหนังสือจ้างงานชั่วคราวนี่เสร็จจะไปคุยกับพรานพงสักหน่อย ไม่รู้ว่าการเดินทางนี้ใช้เวลากี่วันเราจะได้จัดเตรียมอาหารเครื่องดื่มยารักษาโรคไปให้พอดีนอกจากคุยกับพรานพงแล้วผมยังต้องไปรายงานนายท่านคีรีที่บ้านของเขาอีก ช่างเป็นช่วงฉุกละหุกจริง ๆ เหมือนทุกอย่างอยู่ในช่วงเวลารีบเร่ง“นายท่านรอคุณอยู่ข้างใน เชิญ” ผู้ชายคนเมื่อคราวก่อนเปิดประตูรั้วรอตั้งแต่ผมยังไม่ทันได้จอดดีเสียด้วยซ้ำ เหมือนเขารู้ว่าผมจะมา พอปิดประตูรถเสร็จก็เดินตามเขาเข้าไปในบ้านพันคีรีนั่งรอผมอยู่กลางห้องนั่งเล่น ไม่ใช่ห้องคราวก่อนที่ผมเข้าไป ห้องนั่งเล่นเป็นกระจกทุกด้าน ถึงจะมีแดดส่องแต่ก็ถูกต้นไม้บดบังไม่มีแสงแดดพาดผ่านตัวบ้านเลย ทั้งยังเย็นสบายจนน่าแปลกอีกต่างหากต้องเป็นเพราะในบ้านทาสีกันความร้อนแน่“ไหน รายการสัมภาระ” เขาว่าด้ว
2พันคีรีลุงเฉินใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็หาพรานไพลจนเจอ แต่พรานไพลนั่นตายไปเมื่อหกปีก่อนเหลือแต่ลูกชายที่พอจะรู้ทางอยู่บ้าง ตกลงกันอยู่นานพรานพงลูกชายพรานไพลก็ยอมตกลงนำทางให้พวกเรา นอกจากตกลงนำทางพรานพงยังมีข้อเสนอให้อีกอย่างว่าถ้าอยากเข้าป่าอย่างปลอดภัยให้ไปเชิญคนที่ชื่อพันคีรีร่วมทางด้วยในวงการหาของโบราณจากเทวาลัย วัง ปราสาทเก่า เมืองเก่า ชื่อพันคีรีนี้โด่งดังมาก ขึ้นชื่อเรื่องมากฝีมือ หน้าที่อย่างเดียวของเขาในการร่วมทางคือเฝ้าระวังคณะเดินทางเท่านั้น ผู้คนเรียกหน้าที่นี้ว่า ‘อารักษ์ขา’ ค่าตัวแพงหูฉี่ แต่เปอร์เซ็นต์การไปและกลับสูงกว่าการไปกันเอง พันคีรีคนนี้เลยมีคนไปเชิญวันละสามเวลานอกจากจะไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของเขาแล้ว ตัวตนก็เป็นความลับเหมือนกัน ไม่ว่าจะสืบหากันเท่าไรก็ไม่พบเจออะไร อายุ วันเดือนปีเกิด ไม่มีใครรู้เลย มีแค่ฝีมือเขาเท่านั้นที่เป็นที่ประจักษ์คนเล่าลือกันขนาดนี้ผมก็ต้องมีหวั่นไหวเพราะฉะนั้นเลยส่งคนไปทาบทามเขามาร่วมคณะแล้วถึงสองรอบ แต่เขาไม่แม้จะออกมาพูดคุยด้วยตนเอง ส่งลูกกระจ๊อกออกมาไล่คนของผมทั้งสองครั้ง ผมมันคนไม่ย่อท้อยิ่งไล่ผมยิ่งต้องการ ฮ่า ๆวันนี้ผมเลยมาเอ
1เทวาลัยกุสุมาลย์“เป็นไงบ้างครับลุงเฉิน” ผ่านไปคืนเดียวลุงเฉินก็กลับมาพร้อมกับคำตอบที่ผมต้องการ ในมือถือรูปวาด บนรูปวาดมีดอกไม้นานาชนิดหลากสีสัน ตรงกลางมีทางเดินไปยังบัลลังก์แก้ว หลังบัลลังก์มีกำแพงแก้วสวย และลึกลับไปพร้อมกัน ผมเดาว่ากำแพงน่าจะเปิดได้“คิดว่ามันน่าจะเป็นเทวาลัยกุสุมาลย์ แต่ลุงคิดว่าไม่น่าจะมีใครเคยไป พรานคนหนึ่งบอกว่ามันคือตำนาน เป็นเทวาลัยในป่าลึกทางเหนือของประเทศ ไม่รู้ตอนนี้จะยังมีคนรู้ทางไปอยู่หรือเปล่า” ลุงเฉินเล่าข่าวที่ได้มาให้ฟัง ผมพยักหน้าให้ระหว่างฟังไม่คิดเลยว่ามันจะดูลึกลับแบบนี้ ชื่อนี้เหมือนผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่รู้สึกจำไม่ได้อยู่ดีว่ามันคือที่ไหน ช่างมีประโยชน์จริง ๆ ความจำของผม“หนูจันทร์ยังจะไปอยู่เหรอ ไม่มีใครเคยไปเลยนะ” พี่มีนถามแล้วลุกเดินมานั่งโซฟาตัวเดียวกับผม หยิบรูปที่ลุงเฉินวางไว้บนโต๊ะมาดู จะว่าไปจี้นี่ก็ได้มาจากพ่อแม่ ท่านสองคนน่าจะเคยไปมาก่อน ผมควรลองไปแอบอ่านไดอารี่ของแม่หน่อยจะดีกว่าเผื่อจะมีข้อมูลอะไร“จันทร์ต้องไปครับพี่มีน จำเป็นต้องไป”“งั้นพี่ไปด้วย พี่จะไม่ปล่อยให้หนูจันทร์ไปคนเดียวแน่ ๆ พี่เองก็จะลองช่วยหาดูว่ามีใครพอจะรู้เร
บทนำโลกของคุณหนูณจันทร์“ฮืออ…ร้อน จันทร์เจ็บ ๆ” วันนี้ของทุกเดือนผมมักจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทั่วตัวเหมือนตัวเองถูกต้มอยู่ในหม้อน้ำเดือด ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนพอจำได้ก็เป็นแบบนี้มาตลอด น่าจะอายุสักสิบสี่หรือเปล่านะ กลางฤดูหนาวของเดือนพฤศจิกาที่เป็นหน้าหนาวแต่ผมกลับรู้สึกร้อนรุ่มปวดแสบปวดร้อนจนแทบจะขาดใจตายผมเลยต้องนั่งแช่น้ำเย็นจัดอยู่ในอ่างจากุซซีแบบนี้มาตลอด ถึงจะไม่หายแต่ยังพอบรรเทาได้บ้าง ผมหาหมอทุกคนที่มีชื่อเสียงทั้งในและนอกประเทศ สำคัญคือมันไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ผมก็เช่นกัน…“หนูจันทร์เป็นยังไงบ้าง” พี่มีนตราเป็นเด็กที่พ่อแม่ผมอุปการะไว้ตั้งแต่ตอนผมอายุสิบขวบ เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กทำให้เธอรู้ใจ รู้ทุกอย่างในชีวิตของผมรวมถึงอาการนี้ด้วยพี่มีนมักจะมานั่งเฝ้าผมอยู่ตรงนี้ทุกเดือนไม่เคยขาด มันไม่ช่วยอะไรแต่เธอทำให้ผมรู้ว่าผมจะมีเธออยู่ข้าง ๆ ตลอด“พี่มีน จันทร์เจ็บจัง ฮึก…” ผมตอบพี่มีนไปพร้อมกับใช้น้ำแข็งที่พี่มีนหอบมาถูไปตามแขนแรง ๆ มันน่าแปลกผมปวดแสบปวดร้อนจนเหมือนถูกต้มในน้ำเดือดแต่ร่างกายภายนอกของผมไม่มีร่องรอยอะไรเลยนอกจากจะปวดแสบปวดร้



![เพียงชั่ววูบเดียว [MPREG]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)



