Se connecter6
ผาร้อยศพ
ปริมรีบเข้ามาช่วยจับแขนบังคับให้ผมยืนนิ่ง ความขนลุกขนพองนี่ทำเอาผมยืนนิ่งไม่ได้เลย
“ทากดูดเลือดน่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่เอาออกให้ ปริมจับหนูจันไว้” แม้จะไม่ใช่ตัวประหลาดอะไรแต่ก็ทำผมขยะแขยงอยู่ดี ยิ่งรู้ว่ามันกำลังดูดเลือดก็ยิ่งน่าขยะแขยงไปใหญ่ ปริมจับไหล่พี่มีนก็ควักเอาสเปรย์แอลกอฮอล์ในกล่องปฐมพยาบาลมาฉีดไปที่หลังคอ ไม่นานพี่มีนก็ดึงทากตัวเป้งออกมาโชว์ซึ่งผมไม่ได้อยากเห็นเลย ขนลุกจริง ๆ
“ระวังกันด้วยน่าจะมีทากเยอะ” พี่มีนตะโกนบอกทุกคนให้ระวังรอบตัว ป่าชื้นแฉะมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยชุกชุม ลูกทีมพากันหันมองรอบตัวระแวดระวัง
“รีบไป ข้างหน้าค่อยหาที่พัก” คีรีบอกพรานพง เขาพยักหน้ารับคำนายท่านอารักษ์ขาข้างหลัง รีบพาพวกเราเดินไปจากแอ่งน้ำให้เร็วที่สุด
“แวะพักที่นี่ ดูตัวเองก่อนว่ามีทากดูดเลือดเกาะอยู่หรือเปล่า อีกเดี๋ยวค่อยเดินทางต่อ อีกไม่ไกลก็ถึงทางลงผาร้อยศพแล้ว”
“ชื่อเป็นมงคลจริง ๆ” ผมเห็นด้วยกับปริมเลยชื่อผานี่ช่างเป็นมงคล โคตรน่าไปเที่ยวเลย หวังว่าพวกเราคงไม่ใช่ศพที่หนึ่งร้อยหนึ่งหรอกนะ
คนในคณะช่วยกันตรวจดูเพื่อนและร่างกายตนเอง ใช้แอลกอฮออล์ฉีด บ้างใช้ไฟรน บ้างใช้เกลือโรย
“ทำไมมันเยอะขนาดนี้”
“ปกติของพื้นที่ชื้นแบบนี้ จะมีทากก็ไม่แปลก ไม่แน่เราอาจจะเจอสารพัดสิงสาลาสัตว์ก็ได้” พี่มีนตอบปริมพร้อมกับทำแผลบนตัวผม เท่าที่ใช้สายตาดูผมถูกตัวทากดูดเลือดนี่ขอบริจาคเลือดเยอะสุดแล้วล่ะ
“ทำไมผมถึงโดนเยอะสุดล่ะครับ”
“คงเพราะเสื้อผ้าเราสีสดที่สุด เด่นที่สุดล่ะมั้ง” น้ำเสียงหยอกล้อของพี่มีนทำผมมุ่ยปากใส่ ก็ตอนนี้ไอ้ชุดนี้มันสีไม่สดแล้วน่ะสิ ดำปี๋เป็นน้ำโคลนหมดแล้ว
คนอื่นหลังจากจัดการทากดูดเลือดเสร็จก็เตรียมพร้อมที่จะเดินทางต่อ อยู่ ๆ สมองผมก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาเลยหันซ้ายหันขวามองหานายท่านอารักษ์ขา ปรากฎว่าเขายืนพิงต้นไม้อยู่เหมือนจะไม่โดนทากดูดเลือดเลยสักตัว คิดดูเถอะ...แปลกประหลาดจนแม้แต่ทากก็ไม่กล้าเกาะ
เดินมาอีกหน่อยเป็นลานดินมีหญ้าต้นเล็ก ๆ ไม่มีต้นไม้สูงเกินสามเมตรเลยสักต้น ที่นี่น่าจะเป็นจุดพักอย่างที่พรานพงบอกก่อนหน้านี้ ห่างออกไปเป็นไม่ไกลเป็นเนินหินตะกอนคงเป็นผาร้อยศพ
“คืนนี้พักที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยลงผา”
“ผานี่สูงแค่ไหนพราน”
“จากที่ข้าฟังพ่อมาก็คงเกือบจะสี่สิบเมตร”
“ไม่แปลกใจเลยทำไมได้ชื่อว่าผาร้อยศพ คงมีคนตกลงไปไม่น้อยเลยน่ะสิ” ผมถามพรานนำทางพลางใช้แขนเสื้อซับเหงื่อตนเองเบา ๆ แค่รู้ว่าสูงกี่เมตรก็หอบรอแล้ว ฝนก็ทำท่าจะตกอย่างไรซะก็ลงผาวันนี้ไม่ได้
“โอเค ทุกคนคืนนี้พักที่นี่แหละ พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ” ทีมของพี่เก็ตช่วยกันแบกลังสัมภาระไปหาที่เหมาะ ๆ กางเตนท์หลังใหญ่ ซึ่งก็คือของผมเอง ทีมสองซึ่งมีพี่เดี่ยวเป็นหัวหน้าแยกกันไปสำรวจรอบบริเวณที่พักเพื่อความปลอดภัย ทั้งคณะมีเตนท์เดียวก็คือของผม ส่วนคนอื่นใช้ถุงนอนเพราะพกพาได้สะดวกกว่า
แต่ลุงเฉินไม่อยากให้ผมลำบากเลยให้คนแบกเตนท์มาให้ผมได้พัก อีกไม่กี่วันจะถึงวันที่สิบห้าวันนั้นของเดือนสำหรับผม
ก่อนจะมุดเข้าเตนท์ในเวลาทุ่มครึ่งผมเห็นคนอื่น ๆ นั่งล้อมอยู่ตรงกองไฟ ทีมสองแยกกันไปนอนเฝ้ารอบแคมป์ พรานพงนั่งคุยอยู่กับพี่มีน ภัทร ส่วนอารักษ์ขานั่งอยู่ตรงเนินหินใกล้หน้าผาเหมือนกำลังนั่งมองวิวทิวทัศน์ แต่บางครั้งก็เหมือนเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่
ยิ่งเขาทำตัวลึกลับผมยิ่งอยากรู้เพราะผมคือคนไทย...
กลางดึกในวันเดียวกัน จะบอกว่าดึกก็ไม่ถูกนักเพราะตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกาข้อมือชี้ไปที่เลขหนึ่ง เข็มยาวชี้เลขเดียวกัน ตีหนึ่งห้านาทีผมถูกคนเรียกจากนอกเตนท์ พี่มีนลุกขึ้นสะกิดเรียกผมกับปริม โผล่หน้าออกจากเตนท์แค่แวบเดียวเธอก็เข้ามา
“คีรีมา”
ผมมุดออกจากเตนท์ งัวเงียมึนเมากับความเพลีย ไม่ลืมตามองคนตรงหน้า อ้าปากถามทั้งที่ตายังไม่เปิด
“มีอะไรหรอครับ”
“ลงผากันได้แล้ว”
“ตะ...ตอนนี้น่ะเหรอ ยังมืดอยู่เลย”
“ตอนนี้แหละ ถ้ารอเช้าเราจะลงไปไม่ได้ต้องรอไปอีกวัน”
“ทำไมล่ะ”
“รอลงไปถึงพรุ่งนี้เช้าคอยดูจะรู้เอง รีบบอกให้คนของคุณเตรียมตัวเถอะ” คีรีพูดแค่นั้นก็เดินออกไปเลย ใช่สิเขามีหน้าที่สั่ง ๆ แล้วก็ไป ช่วยไม่ได้จ้างมาแล้ว ไม่ถูกสิ เขาไม่ได้เงินนี่นา เดินกลับไปบอกพี่มีนกับปริมในเตนท์ ไม่ถึงยี่สิบนาทีของก็ถูกเก็บพร้อมออกเดินทาง
ทีมพี่เก็ตช่วยกันมัดเชือกตรงต้นไม้ใกล้เนินหินสามเส้น จะได้ไต่ลงไปทีละหลายคน คีรียืนมองอยู่ตรงเนินหิน ท้องฟ้ามืดสนิททำให้บริเวณรอบ ๆ เองก็มืดไปด้วย ยิ่งล่างหน้าผายิ่งมองไม่เห็นอะไรเลย บ่งบอกว่าผานี้สูงมากจนมองไม่เห็นก้นเหว
จนตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราต้องรีบลงไปข้างล่างตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างแบบนี้ คีรีมีเหตุผลอะไรกันแน่ ถ้าคิดจะลงตอนดึกแบบนี้ควรจะบอกเราตั้งแต่หัวค่ำสิ
“ผมจะลงไปก่อน ถ้าถึงแล้วจะส่งสัญญาณให้ พวกคุณค่อยตามลงไป”
“นายท่านให้ผมลงไปด้วยเถอะ” ภัทรรีบเสนอตัวขณะที่ทุกคนยืนฟังคำสั่งเขาอย่างเคร่งครัด รู้สึกเหมือนกำลังถูกฝึกทหารเลยแฮะ
“งั้นข้าจะลงไปพร้อมกันนายท่าน จะได้คอยช่วยกันข้างล่าง” พรานพงพูดจบก็แบกปืนสะพายหลังเดินไปยืนข้าง ๆ คีรีพยักหน้าให้แล้วไต่เชือกลงไปแบบไม่มีเครื่องป้องกันอะไร พรานพงยังมีตะขอเกี่ยวเชือกรัดตัวไว้เผื่อพลาด หวังว่าเขาจะไม่ตกผาตายหรอกนะ ไต่ผาไม่เซฟตนเองแบบนี้ พวกเราได้แต่ยืนมองลุ้นระทึก
เกือบสิบนาทีต่อมาก็มีแสงจากปีนส่งสัญญาณยิงขึ้นมาจากก้นผา ดูท่าว่าก้นผาจะไม่ได้ลึกอย่างที่ควรเพราะคีรีใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ทุกคนกระชับเป้บนหลังเตรียมตัวลงผา
“หนูจันรอลงทีหลังพี่ พี่จะลงไปก่อน เราค่อยตามลงไป ปริมอยู่กับหนูจันก่อนคอยดูด้วย” พี่มีนหันมาบอกผมตอนกำลังใช้ตะขอเกี่ยวเชือกด้านบนเอาไว้ ไต่ลงไปด้วยความเร็วไม่มาก พี่มีนนี่แตกฉานทุกด้านจริง ๆ ทั้งที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่แข็งแรงกว่าผมที่เป็นผู้ชายซะอีก
36ขอบคุณสำหรับทุกอย่างผม พี่ภัทร พี่มีน ช่วยกันพยุงคีรีขึ้นมานั่งบนฝั่ง พี่มีนก่อกองไฟให้เราพิงไฟเพราะเสื้อผ้าเปียก กลางคืนในป่าอากาศค่อนข้างเย็น ใจผมอยากลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาและตนเองแต่คีรีไม่ยอมปล่อยมือครึ่งค่อนคืนเรานั่งอยู่แบบนี้ตั้งแต่ตัวเปียกชื้น จนตอนนี้เกือบแห้งหมดแล้ว คีรีเหมือนจะหลับไปแล้ว คีรีที่ไม่เคยหลับใหลและเหน็ดเหนื่อย เวลานี้ใบหน้าซีดเผือดเรียกไม่หือไม่อือใด ๆ ทั้งนั้น สภาพเขาแย่อย่างที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน แต่มือยังคงมีแรงมหาศาลแกะอย่างไรก็ไม่ยอมหลุด“คีรี ปล่อยมือได้แล้ว ผมไม่เป็นไรแล้ว” ผมกระซิบบอกเขาเสียงเบา มือที่จับกันแน่นถึงค่อย ๆ คลายออก ผมรีบตะโกนเรียกพี่ภัทร เขานั่งห่างออกไปเล็กน้อย พี่มีนกับพี่ภัทรรีบวิ่งมาหาทันที“ผมต้องทำยังไงต่อ” พี่ภัทรยื่นผ้าก็อซปิดแผลสีขาวให้ ผมรับมาใช้มันพันแผลอีกครึ่งที่ไม่ได้ถูกปิดไว้ พอปิดครึ่งล
35คุณจะกลับไปอย่างปลอดภัย“คุณจะได้กลับไปอย่างปลอดภัย” น้ำเสียงจริงจังหนักแน่นของคีรีทำผมหลุดจากภวังค์ พอผมเงยหน้ามองเขาก็ยิ้มให้เป็นรอยยิ้มจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพียงการยิ้มมุมปากเหมือนทุกที รอบข้างไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าเรื่องเล่าจากคีรี ผมเลยไม่ได้หลุดโฟกัสไปไหนเลย“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง คีรีบอกเองว่าผู้ช่วงชิงตราต้องชดใช้ความผิด ทายาทจึงจะหลุดพ้นจากคำสาป แต่ตอนนี้เจ้าของตรานี้คือผม”“เพราะมีผมอยู่ ณจันจะไม่เป็นไร เชื่อใจผมแล้วอย่าคิดมาก”“คีรีรู้หรือเปล่าว่าคำสาปที่ว่านั่นคืออะไร” ผมพยักหน้าให้แล้วถามเรื่องอื่นต่อไป ไม่กล้ามองหน้าเขาที่พูดประโยคเมื่อครู่นาน ๆ คีรีส่ายหน้านั่นทำผมหมดคำถามจะถามต่อ ประจวบกับพี่มีนกลับมาพอดี ผมกับคีรีจึงเลิกพูดคุยเรื่องนี้กันไป เปลี่ยนมาสนใจไก่ย่างสองตัวเหนือกองไฟแทน“อะแบ่ง ๆ กันไปนะ กินเนื้อบ้างจะได้มีแรง” พี่มีนว
34คำสาปผู้ช่วงชิงตราผมดวงไม่ดีหรือไง ทำไมขอพรทีไรได้ตรงข้ามกันทุกทีเลย คีรีเดินกลับมาที่แคมป์ในมือถือไก่ป่าสองตัว พี่มีนหันมายิ้มให้ผมจากนั้นลุกเดินไปหาคีรี“ฉันทำอาหารให้” คีรียื่นไก่ป่าสองตัวนั้นให้พี่มีน แล้วเดินมายืนตรงหน้า ผมนึกว่าเขาจะถามเรื่องที่คุยกับพี่มีนเมื่อครู่แต่เปล่าเลย เขาแค่ถามผมว่า “จะไปอาบน้ำหรอ” ผมถอนหายใจพรืดพยักหน้าให้เขา ถือกระเป๋าเป้ที่จัดของเสร็จ ลุกยืนประจันหน้ากับเขา“ลำธารอยู่ทางไหนหรอ” น้ำเสียงผมคงไม่ค่อยเป็นมิตร ค่อนข้างหมั่นไส้ที่เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แต่ก็ช่างเถอะมันไม่ใช่เวลาจะมาคุยเรื่องนี้ พอคีรีชี้ทางให้ผมก็เดินออกไปตามลำพัง ถึงจะเข้าใจว่านี่ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องนี้ผมก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี ไม่รู้คาดหวังอะไรอยู่กันแน่เดินมาเกือบแปดนาทีก็พบลำธารที่คีรีบอก ลำธารกว้างราวสองเมตร ในน้ำมีทั้งปลาทั้งหอย ป่าบนเขานี่ดูอุดมสมบูรณ์ดีเสีย
33ปีนผาพรานพงปีนขึ้นไปเป็นคนแรก ผม ปริม พี่มีน ภัทร ไต่เชือกตามไปอยู่ตามชะง่อนหินที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก เกือบครึ่งชั่วโมงภัทรกับพี่มีนถึงปีนขึ้นมาอยู่ชะง่อนกลางเขาได้ ผมกับปริมใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะชะง่อนสูงเกือบถึงยอดเขาพี่เก็ตได้พี่โทนแบกขึ้นมาพี่มีนกับภัทรช่วยกันดึงเชือกให้ทั้งสองคนค่อย ๆ สูงขึ้น พอขึ้นมาถึงชะง่อนผาแรกต่อมาก็เป็นหน้าที่ผมกับปริมดึงต่อ ส่วนพี่มีนกับภัทรก็ดึงคู่ต่อไปขึ้นมา ตลอดชั่วโมงกว่า ๆ ไม่มีอะไรผิดพลาดเราดึงพวกเขาขึ้นมาได้สองคู่แล้วคู่สุดท้ายพี่เดี่ยวหัวหน้าทีมสองเป็นคนแบกลูกน้องขึ้นมา พี่เดี่ยวเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่บึกบึนไม่น่าห่วงเรื่องกำลังวังชาเลย แต่คนที่มีปัญหาคงจะเป็นภัทรกับพี่มีนที่ดึงขึ้นมาสองคู่แล้วขณะกำลังดึงเชือกจึงเผลอทำเชือกหลุดมือรูดลงจนทั้งสองคนบนเชือกเกือบหล่นลงไปข้างล่าง คีรีที่อยู่บนพื้นกระโดดทีเดียวก็ขึ้นไปยืนอย
32คนป่วยเช้ามืดวันต่อมาคีรีอธิบายกับทุกคนว่าจะไปอย่างไรกันต่อ ทีแรกเราค่อนข้างกังวลเพราะต้องปีนผาสูง ไหนจะมีคนป่วยอีกสามคนที่ดูซึมมากขึ้น แต่คีรีบอกว่าตนเองจะปีนล่วงหน้าขึ้นไปก่อน แล้วค่อยหาที่ผูกเชือกหย่อนลงมาให้เราปีนตาม ถึงได้เบาใจขึ้นมาพี่มีนบอกให้คนป่วยพักอีกครึ่งวันไม่งั้นอาจไม่มีแรงปีน ฉะนั้นตอนนี้พวกเราเลยยังอยู่ใต้ชะง่อนผา เหนือหัวมีคีรีกำลังปีนภูเขาหินเพียงลำพัง ผมนั่งชะเง้อมองขึ้นไปแทบทุกห้านาที เขาไม่ได้ปีนนั่นเรียกว่ากระโดดเกาะจะดีกว่า กระโดดทีหนึ่งเกือบสองช่วงตัวของตนเองคนอื่นไม่ได้สังเกตเขาเท่าไรหรือเขาอาจไม่สนแล้วถึงได้ปีนผาแบบไม่สนใจใคร ไม่ถึงยี่สิบนาทีเขาก็ปีนถึงยอดภูเขาหิน ผมคิดว่าตอนนี้คีรีคงหาที่ผูกเชือกอยู่ เชือกยาวประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเมตร ไม่รู้ว่ามันจะยาวพอดีหรือเปล่า“โอ๊ยเจ็บ” ระหว่างที่กำลังคิดอยู่ก็มีเสียงร้องโอดโอยดังมาจากหนึ่งในลู
31ลานหินร่วงพักอยู่สิบนาทีก็เดินต่อ คีรีบอกเสียงเข้มไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเดินผ่านลานหินกว้างนี้ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน ผมไม่ได้ถามว่าทำไมแต่ถ้าเขาบอกมาแบบนี้แปลว่ามันอันตรายลานดินแบบนี้เดินง่ายกว่าเส้นทางในป่าเยอะเลย อาจเพราะยังสว่างอยู่ทำให้เราสามารถเดินหลบเศษหินแกรนิตก้อนเล็กก้อนใหญ่ได้สบาย ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงหน่อย ๆ เราก็เดินมาถึงกลางเส้นทางแล้ว ฟ้ายังดูครึ้มอยู่เลยไม่แน่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าฝนอาจตกลงมา เราจึงรีบเดินเพื่อให้ถึงภูเขาหินข้างหน้าก่อนค่ำ“มีบางอย่างกำลังมา” คีรีหยุดฝีเท้าหันมาบอกพวกเราเสียงแผ่ว พอคีรีว่าจบก้อนเมฆก้อนใหญ่ก็เคลื่อนไปบดบังแสงดวงอาทิตย์ พวกเราไม่มีใครได้ยินอะไรสักคนเลยพากันจ้องใบหน้าของอารักษ์ขาประจำทีม เขาหยุดนิ่งเงี่ยหูฟังบางอย่าง เห็นเขานิ่งแบบนั้นผมก็เลยไม่กล้าขยับตัวตามไปด้วย“ฝนจะตกอีกแล้ว” หนึ่งในลูกทีมของพี่เดี่ยว ถ้าจำไม่ผิดน







