เขาเป็นคนชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์เป็นทุนเดิม พอทะลุมิติมา สิ่งแรกที่ทำก็คือเอาเงินที่มีซื้อเรือนเอาไว้ ตอนนี้จึงมีเรือนนอกจวนของสกุลถึงสามหลังแล้ว
แต่เขาเลือกที่นี่เพราะงานก็ต้องทำ เมียก็ต้องง้อ แต่ครั้นจะง้อก็คงต้องใช้เวลา ต้องหาวิธีการอันแยบยล แน่นอนว่ายังมิอาจบอกตัวตนแท้จริงได้ เขารู้จักอาโยวดี ขอเพียงปกปิดเอาไว้ให้แนบเนียนก่อนค่อยๆผูกมิตรไมตรีสร้างสัมพันธ์อันดี เท่านี้ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
และใช่ เขาจะจีบอาโยวในร่างคนใหม่ชื่อหลิวหนิง โดยไม่ให้นางรู้เด็ดขาดว่าเขาคือสามีเก่า ที่ชื่อเจาจวิ้น
ดังนั้นอันดับแรกก็พามาที่นี่จะได้อยู่ด้วยกันใกล้ๆ สะดวกไปมาหาสู่ตอนเขาออกไปทำงานที่จวนเยี่ยนอ๋อง
คิดเสร็จก็กระแอม แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ
“อะแฮ่ม เอ่อ ข้ามีนามว่าหลิวหนิง เรียกอาหนิงได้ สาวน้อย...” เจาจวิ้นเริ่มปฏิบัติการผูกมิตรกระชับสัมพันธ์ เขาหันไปส่งสายตาใสซื่อกับโจวเจิน
“สาวน้อยคนนี้ เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?”
“ข้ามีนามว่าโจวเจิน เรียกอาโยวได้”
หันไปทางอีกคน “เจ้าล่ะ”
“ข้า ไป๋เล่อชิงเจ้าค่ะ”
ครั้นแนะนำตัวชื่อแซ่กันเสร็จสรรพ เจาจวิ้นก็พาพวกนางไปที่ห้องพักทางเรือนปีกข้าง จากนั้นก็หาอาหารมาต้อนรับขับสู้จนอิ่มหนำ หาเสื้อผ้าแพรพรรณให้เปลี่ยน เรียกได้ว่าดูแลดีดุจญาติมิตรที่สนิทกันมาแต่ชาติปางก่อน
ตอนนี้ยามไฮ่หนึ่งเค่อ[2] เจาจวิ้นต้องกลับเข้าจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว เขาจึงบอก “ปกติข้าไม่ค่อยอยู่เรือนหรอก เพราะต้องไปปรนนิบัติรับใช้ผู้สูงศักดิ์ในจวนข้างๆ นี่แหละ พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็ทำตัวตามสบายได้เลย คิดเสียว่าที่นี่คือบ้านของตัวเองแล้วกัน”
สตรีทั้งสองไม่รู้หรอกว่าจวนข้างของผู้สูงศักดิ์ที่ว่าคือผู้ใด เพียงรีบรับคำอย่างกระตือรือร้นยินดีที่ได้งานทำ เงินเดือนแพง มีที่นอนที่กินพร้อม เยี่ยมยอดไปเลย
“ขอบคุณพี่สาว”
รอยยิ้มของเจาจวิ้นกว้างจนแก้มปริ “ข้าไปแล้วนะ เดี๋ยวจะกลับมาหาบ่อยๆ โอ๊ะ! ไม่สิๆ ข้าจะมาหาทุกวัน มาขลุกอยู่กับพวกเจ้านี่แหละ”
“พี่สาวอาหนิงเดินทางปลอดภัย”
สตรีทั้งสองยืนส่งนายจ้างอย่างนอบน้อม
เจาจวิ้นจากไปพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่ม หึหึ! เข้าทาง
[1]บ้านแบบ ซานเหอย่วน 三合院 ที่มีผังรูปแบบทรงเกือกม้า มีอาคารอยู่สามทิศหันหน้าเข้าหากัน เป็นวงล้อมพื้นที่โล่งกว้างตรงกลาง สองด้านจะเป็นเรือนระเบียง ต่อมาพัฒนาเป็นห้องใช้อาศัย ทั้งทางด้านทิศตะวันตกและตะวันออก
[2] 21.15 น.
เจาจวิ้นพบว่าภายในเรือนสดใสขึ้นมาก “ไอ่โย่ ดูดอกไม้พวกนี้เถิด ไฉนเป็นเช่นนี้” ถามพลางกรีดนิ้วชี้ดอกไม้ในสวนอย่างมีจริตสตรีที่แนบเนียนอย่างหาตัวจับได้ยาก การแต่งหน้าทาชาดรวบผมก็เช่นกัน เขาทำได้ดีเสียจนสตรีสองคนจับพิรุธไม่ได้เลย เรื่องนี้แม้แต่ท่านอ๋องกับอู๋หมิงยังตกตะลึงแทบไม่เชื่อมาแล้ว “เจ้ากำลังดูแลดอกไม้ให้ข้าหรือ?”ไป๋เล่อชิงหันมายิ้มสดใส “เจ้าค่ะ พี่สาวอาหนิง”เจาจวิ้นพยักหน้าพึงพอใจ “ดียิ่งนัก ชิงชิงช่างใส่ใจ ข้าทำงานทุกวันไม่มีเวลาเข้ามาดูแลเลย”“ข้าไร้ฝีมือต่อสู้ มิอาจปกป้องพี่สาวได้ แต่จะช่วยดูแลเรือนให้อย่างดีเจ้าค่ะ อ้อ ข้ายังสามารถปลูกผักและทำอาหารได้ด้วย” ไป๋เล่อชิงเอ่ยอย่างขยันขันแข็งคุ้มค่าจ้างเป็นที่สุด อันที่จริง บุตรีสกุลใหญ่แม้อยู่หมู่บ้านห่างไกลเมืองหลวง การปลูกผักทำอาหารนับว่าไม่เหมาะสม ยิ่งไม่ควรทำเป็น แต่ไป๋เล่อชิงที่ถูกพี่หญิงกับฮูหยินใหญ่กลั่นแกล้งเรื่องเงินเบี้ยหวัดและตัดอาหารการกินบ่อยครั้งจำต้องปลูกผักเป็น ทำอาหารได้ หาไม่ คงอดตายไปนานแล้ว“พี่หนิงชอบหรือไม่เจ้าคะ?” ไป๋เล่อชิงแย้มยิ้มถามอย่างประจบเอาใจ อีกฝ่ายคือเจ้านายผู้จ่ายเบี้ยหวัดนี่นาเจาจวิ้นยิ้ม
รุ่งอรุณมาเยือนเจาจวิ้นรีบตื่นแต่เช้าลุกขึ้นแต่งตัวแต้มชาดเป็นสตรีที่งดงามเฉิดฉันแบบไร้ที่ติ ทำเอาอู๋หมิงที่นอนไม่หลับเพราะคิดถึงไป๋เล่อชิงต้องลุกขึ้นมาเช่นกัน“วันนี้ไม่มีภารกิจ ข้าไม่มีนัดหมาย ท่านอ๋องก็มิได้สั่งงานอันใด” อู๋หมิงว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องแต่งตัว”“เพราะว่างปะไร ข้าถึงแต่งตัวเช่นนี้” กล่าวพลางจัดกระโปรงและหน้าอกปลอมให้เข้าที่ “ข้าจะไปเรือนส่วนตัวที่อยู่ด้านหลังเยื้องจวนอ๋อง อาจค้างแรมที่นั่น หากท่านมีสิ่งใดเรียกใช้ก็ให้คนไปตาม”อู๋หมิงพลันเข้าใจ ที่แท้ปลอมตัวไปพบหน้าภรรยาชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเอื่อยเฉื่อยมานั่งที่โต๊ะจิบชา “งานช่วงนี้เป็นหน้าที่ข้า เจ้าตามสบายกับภรรยาได้เลย” เพราะหัวอกเดียวกันจึงช่วยเปิดทางเต็มที่คนฟังให้รู้สึกขอบคุณยิ่งนัก “รบกวนพี่ใหญ่อู๋แล้ว” ก่อนออกประตูเรือนยังไม่ลืมหันมากำชับ “แต่ข้าคิดว่า ท่านก็ควรหาเวลาให้ตัวเองบ้างนะ อย่างเช่นหาเมียใหม่”ถ้วยชายังไม่ถึงริมฝีปากกลับถูกวางกระแทกดังปึก อู๋หมิงปรายตามองเจาจวิ้นอย่างเงียบงันเย็นชามิเอ่ยวาจา ทว่าสายตากลับคล้ายสาดอาวุธร้ายแรงออกมาดุจห่าฝนเจาจวิ้นเกรงใจอยู่มากแต่ก็ว่าต่
จวนเยี่ยนอ๋องหลังจากรายงานตัวและรายงานความคืบหน้าแก่เยี่ยนอ๋องแล้ว อู๋หมิงก็กลับเข้าเรือนพักส่วนตัว พบว่าเจาจวิ้นเองก็กำลังเดินเข้าประตูมาเช่นกัน“ไฉนเพิ่งกลับ มิใช่แยกกับข้านานแล้วหรือ?”เจาจวิ้นยิ้มกว้าง ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “ข้าถูกลอบสังหารอีกแล้ว กว่าจะเอาชีวิตรอดมาได้ ไม่ง่ายเลย”อู๋หมิงเดินมานั่งลงที่โต๊ะจิบชา ปรายตามองนิ่ง “ถูกลอบสังหาร! แต่หน้าบานยิ่งกว่าใบพัด?”คนถูกถามยังคงมีสีหน้ากรุ้มกริ่ม “ก็ใช่น่ะสิ”อู๋หมิงขมวดคิ้วถาม “จับตัวนักฆ่ามาสอบปากคำ สาวถึงตัวผู้บงการได้หรือไร? ถึงอารมณ์ดีปานนี้”เจาจวิ้นส่ายหน้าปฏิเสธนึกเสียดายแต่ก็ยังยิ้มอยู่ “จับไม่ได้ หนีไปหมดเลย ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว”“...” อู๋หมิงหมดคำจะเอ่ย “ในเมื่อจับคนร้ายไม่ได้ แล้วดีใจอันใดไม่ทราบ”เจาจวิ้นเดินไปเอนตัวนอนลงบนเตียง กระดิกเท้าเล่าอย่างอารมณ์ดี “ข้าเจอภรรยาของข้าแล้วปะไรเล่า” ยักคิ้วหลิ่วตา ว่าต่ออย่างคุยโวโอ้อวดต่อเนื่อง “ท่านไม่รู้ ตอนที่ข้ากำลังพลาดท่าเสียที เป็นนางที่ตะโกนก้ององอาจแล้วเข้ามาช่วยอย่างไม่คิดชีวิต และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น บุรุษข้างกายนางก็เป็นสตรีปลอมตัว หาใช่คนรักใหม่ ฮ่าๆ”คนฟังพยักห
เขาเป็นคนชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์เป็นทุนเดิม พอทะลุมิติมา สิ่งแรกที่ทำก็คือเอาเงินที่มีซื้อเรือนเอาไว้ ตอนนี้จึงมีเรือนนอกจวนของสกุลถึงสามหลังแล้ว แต่เขาเลือกที่นี่เพราะงานก็ต้องทำ เมียก็ต้องง้อ แต่ครั้นจะง้อก็คงต้องใช้เวลา ต้องหาวิธีการอันแยบยล แน่นอนว่ายังมิอาจบอกตัวตนแท้จริงได้ เขารู้จักอาโยวดี ขอเพียงปกปิดเอาไว้ให้แนบเนียนก่อนค่อยๆผูกมิตรไมตรีสร้างสัมพันธ์อันดี เท่านี้ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นและใช่ เขาจะจีบอาโยวในร่างคนใหม่ชื่อหลิวหนิง โดยไม่ให้นางรู้เด็ดขาดว่าเขาคือสามีเก่า ที่ชื่อเจาจวิ้นดังนั้นอันดับแรกก็พามาที่นี่จะได้อยู่ด้วยกันใกล้ๆ สะดวกไปมาหาสู่ตอนเขาออกไปทำงานที่จวนเยี่ยนอ๋องคิดเสร็จก็กระแอม แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ“อะแฮ่ม เอ่อ ข้ามีนามว่าหลิวหนิง เรียกอาหนิงได้ สาวน้อย...” เจาจวิ้นเริ่มปฏิบัติการผูกมิตรกระชับสัมพันธ์ เขาหันไปส่งสายตาใสซื่อกับโจวเจิน “สาวน้อยคนนี้ เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?” “ข้ามีนามว่าโจวเจิน เรียกอาโยวได้”หันไปทางอีกคน “เจ้าล่ะ”“ข้า ไป๋เล่อชิงเจ้าค่ะ”ครั้นแนะนำตัวชื่อแซ่กันเสร็จสรรพ เจาจวิ้นก็พาพวกนางไปที่ห้องพักทางเรือนปีกข้าง จากนั้นก็หาอ
โจวเจินไม่รู้ความคิดเขา นางปลอบโยนว่า “พี่สาวไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะปกป้องท่านเอง”แววตาเจาจวิ้นวูบวาบสั่นไหว แม้ใบหน้าเปลี่ยนไปแต่นิสัยนั้น ยังคงเป็นอาโยวของเขาอย่างชัดเจนไม่เปลี่ยน นิสัยของอาโยวเป็นเช่นนี้ ชอบปะทะพร้อมพุ่งชนแต่เป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่นเสมอ โดยเฉพาะผู้หญิงอ่อนแอที่ถูกทำร้ายน้ำใสปริ่มๆ ตรงขอบตา เจาจวิ้นดีใจจนน้ำตาไหลจังหวะนั้น พลันได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายใกล้เข้ามา นับว่าโชคดีที่ตรงนี้มีกองตะกร้าผักวางซ้อนกันช่วยกั้นสายตาอยู่พอดี“พวกมันตามมาแล้ว” ไป๋เล่อชิงกระซิบบอก “หนีไปทางใดดี ถนนเมืองหลวงซับซ้อนนัก” โจวเจินหันรีหันขวาง นางยังไม่คุ้นชินกับเส้นทาง ไป๋เล่อชิงก็เช่นกัน สตรีทั้งสองเริ่มตื่นตระหนก“แย่แล้ว จะถูกจับส่งทางการหรือไม่?” ไป๋เล่อชิงนึกกลัวเพราะข้อหาของพวกนางยามนี้ยาวเป็นหางว่าวแล้ว...ท่าทางคล้ายพวกบ้านนอกคอกนาเข้าเมืองเช่นนั้นทำเจาจวิ้นพลันได้สติ รีบลุกขึ้น “พวกเจ้า ตามข้ามา” เรือนซานเหอย่วน[1]ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับอยู่เป็นครอบครัวเล็กๆ ประมาณสามสี่คน “นี่คือเรือนของข้าเอง พวกเจ้าหลบที่นี่ก่อน” “จะดีหรือพี่สาว พวกเราอาจทำท่านเดือดร้อน” ไป๋
ไป๋เล่อชิงว่า “สงสัยพี่สาวคงอยากมีหน้าอกใหญ่จึงทำลวงตาให้แต่งกายออกมางดงามมากกว่าเดิม”“อ้อ จริงด้วย ข้าลืม” โจวเจินเริ่มคล้อยตามและเห็นด้วยนิดๆทว่านางกระชับมือที่กอบกุมท่อนขาของคนบนบ่าสงสัยอีก “แต่ท่อนขาของเขาก็ไม่นุ่มนิ่มเท่าที่ควรนะ”ก่อนที่โจวเจินจะสันนิษฐานไปเรื่อย เจาจวิ้นรีบทำทีสะดุ้ง “อุ๊ยตาย! ข้าตื่นแล้ว รีบเอาข้าลงเร็วเข้า ลงๆ” “โอ๊ะๆ ได้ๆ” โจวเจินพลันลืมเรื่องที่คลางแคลงใจ รีบหยุดฝีเท้าค่อยๆวางแม่นางชุดชมพูลง “พี่สาวเจ็บที่ใดหรือเจ้าคะ?" ไป๋เล่อชิงเข้ามาถามอย่างเป็นห่วงเจาจวิ้นเงยหน้ามองคนถาม เห็นเป็นคนที่แต่งกายเป็นบุรุษ แต่เอ๊ะ พอมองใกล้ๆ ชัดๆ ถึงกับต้องเพ่งพิศอย่างไม่อาจถอนสายตา พอสังเกตดีๆก็พลันมั่นใจเต็มสิบ ตาโตมีลักยิ้มน่ารักทั้งยังมีหน้าอกใหญ่แต่ตัวเล็กนิดเดียว ฮึ! ที่แท้ก็สตรีปลอมตัว แล้วไป!เจาจวิ้นไม่สนใจสาวน้อยสะสวยหุ่นดีผู้นี้ที่แม้ว่าจะปลอมตัวเป็นผู้ชายก็ยังงามสะพรั่งโดดเด่น เพียงหันมองโจวเจินอย่างบ้าคลั่งจนตาเกือบถลน “พี่สาว ท่านเป็นอะไรหรือไม่?” ไป๋เล่อชิงถามอีก เบิกตาโตปานนั้น หรือว่ายังตกใจไม่หายเจาจวิ้นพลันนึกขึ้นได้ “ใช่! ข้าตกใจจะแย่ โอ๊ย!