ปลายฝันจ้องมองเขาด้วยแววตาหวาดระแวง แค่นางไม่ยอมแต่งกับเขา เขาถึงกับต้องบั่นคอนางขาดเชียวหรือ
"ฝัน"
ยังไม่ทันที่ปลายฝันจะเอ่ยสิ่งใด เสียงแม่ก็ดังมาจากหน้าประตู ปลายฝันหันไปมองน่าหลานเยี่ย ก่อนจะเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
"รอตรงนี้นะเพคะ ข้าจะออกไปพบแม่ครู่เดียว"
"อย่ากระซิบเช่นนี้ข้าเสียว"
ปลายฝันคร้านจะสนใจเขา นางจึงเดินออกไปหาแม่ที่นอกประตูทันที
"คะแม่"
"แม่กับลุงมีสัมมนาด่วนที่ต่างจังหวัดเจ็ดวัน ลูกเฝ้าบ้านดีดีเล่า"
"ค่ะ"
แม่เดินผละออกไปพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง แต่พ่อเลี้ยงบ้ากามกลับส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้แทน ปลายฝันรู้สึกขยะแขยงเสียจนต้องรีบปิดประตูหนีทันที
โอเคร! แม่ไม่อยู่บ้านอาทิตย์หนึ่ง ค่อยสะดวกหน่อย!
ปลายฝันเดินกลับเข้ามาในห้องนอน น่าหลานเยี่ยที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเดินเข้ามาหานางทันที
"เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าหิวยิ่งนัก เจ้ามีสิ่งใดให้ข้ากินบ้าง"
ปลายฝันมองน่าหลานเยี่ยเล็กน้อย ปกติเธอเองไม่ค่อยจะได้ลงไปทานข้าวกับแม่สักเท่าใดนัก เพราะไม่อยากเจอหน้าพ่อเลี้ยงบ้ากามผู้นั้น จึงไม่รู้ว่าในตู้เย็นมีสิ่งใดหลงเหลือให้กินอยู่บ้าง
"ข้าจะไปทำมาม่าให้ท่านกินรอสักครู่นะเพคะ"
"ข้าไปด้วยได้หรือไม่"
ปลายฝันพยักหน้า น่าหลานเยี่ยจึงเดินตามนางลงไป เขาสำรวจดูโดยรอบบริเวณบ้านด้วยความสนใจ สายตาคู่สวยจ้องมองนางตาไม่กะพริบ จนคนถูกมองรู้สึกเขินอายไม่น้อย
"นี่เพคะ มาม่า"
น่าหลานเยี่ยก้มลงมองดูเส้นหยิก ๆ ในถ้วย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองปลายฝันด้วยแววตาครุ่นคิด
"มันกินได้จริงหรือ?"
"ได้สิเพคะ อร่อยนะเพคะ ข้าไม่ได้ใส่พริกให้ท่าน เพียงผัดใส่น้ำตาลเท่านั้น"
น่าหลานเยี่ยพยักหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ใช้ตะเกียบที่นางยื่นมาให้คีบเส้นมาม่าเข้าปากอย่างไม่รีบไม่ร้อน ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อได้ลิ้มรสชาติของมัน มาม่าผัดน้ำตาล
"อิ่มยิ่งนัก"
"อิ่มก็กลับขึ้นห้องไปนอนเถิดเพคะ คืนนี้ท่านนอนห้องข้า ส่วนข้าจะไปนอนห้องแม่ก่อน"
"เหตุใดไม่นอนกับข้าเล่า?"
"เอ่อ..."
"ข้าทำไม่แรงหรอก สตรีในหอโคมเขียวล้วนตกเป็นของข้าเกือบหมดแล้ว พวกนางบอกว่าข้าถึงอกถึงใจยิ่งนัก"
ปลายฝัน "..."
"เจ้าไม่อยากถูกข้ากระทำเช่นพวกนางหน่อยหรือ?"
"ทุเรศที่สุด!!!"
"เจ้าด่าข้าหรือ!!!"
ปลายฝันไม่สนใจเขาแล้ว นางเดินเข้าไปจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแม่ ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องของตนเองอีกครั้ง ก็พบกับน่าหลานเยี่ยที่นอนกระดิกเท้าอยู่บนเตียงด้วยความสบายใจ
ปลายฝันหยิบรีโมตขึ้นมาเปิดทีวีดู น่าหลานเยี่ยที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเด้งตัวลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงนอน กระโดดลงมาที่หน้าทีวีทันที ก่อนจะจ้องมองนางสลับกับมองทีวีด้วยความสงสัย
"นี่คือสิ่งใด เหตุใดคนพวกนั้นจึงอยู่ในนั้นได้?"
"ทีวีเพคะ"
"ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าเอ่ย เอามานี่!!! ข้าอยากลองเล่นสิ่งนั้นในมือเจ้า"
"รีโมต ใช้กดทีวีเล่นไม่ได้นะเพคะ"
"ข้าบอกให้เอามา!!!"
"โอ๊ะ ท่านอ๋อง!!!"
ให้ตายสิ!!! เหนื่อยเหมือนเลี้ยงลูกเลย
ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม น่าหลานเยี่ยกดช่องทีวีไปมาไม่ยอมหยุด เขาดูสนุกตื่นตาตื่นใจที่เห็นช่องทีวีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนกระทั่งเขากดมาพบกับช่องช่องหนึ่ง
'อ๊าส์!!! ซี้ดดดดดด'
"เสวี่ยเอ๋อร์เรามาทำเหมือนในนั้นกันดีหรือไม่?"
ปลายฝัน "..."
ปลายฝันหมดคำจะเอ่ยแล้ว ให้ตายสิ!!! เขานี่มัน
"ข้าจะไปนอนแล้ว ว้าย!!!"
น่าหลานเยี่ยดึงร่างของปลายฝันให้เข้าไปนั่งบนท่อนขาแกร่งของเขา สายตาเจ้าเล่ห์จ้องมองเนินอกอวบสวยของนางอย่างไม่ลดละ วันนี้นางสวมชุดนอนที่บางเบาดูงามตาและเย้ายวนไม่น้อย
โรคเห็นสตรีแล้วแข็งสู้นี่เขารักษาเท่าใดก็ไม่หายเสียที!!!
"ปล่อยเพคะ"
"เสวี่ยเอ๋อร์"
"เพคะ?"
"ข้าทนไม่ไหวแล้ว"
"เอ่อ..."
"ข้าทนไม่ไหวแล้ว โอ้ววว"
"เอ่อ ท่านอ๋อง ข้ายังไม่พร้อมเพคะ"
"ช่วยข้าทีเถิด"
"ท่านอ๋อง ข้า..."
"ข้าปวดหนักช่วยข้าทีเถิด มันจะพุ่งออกมาแล้ว!!!"
ปู๊ด ป๊าดด!!!
ปลายฝันยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ นี่นางจะต้องทำเช่นไรจึงจะพาเขากลับเมืองเฟิ่งหวงไปได้กันนะ
สามวันต่อมา น่าหลานเยี่ยกำลังนั่งมองอาหารบนโต๊ะตรงหน้าด้วยแววตาที่ครุ่นคิด
"เจ้าเอาอะไรมาให้ข้ากิน?"
"เงินเดือนข้ายังไม่ออกเพคะ วันนี้ท่านอ๋องกินข้าวเปล่ากับปลากระป๋องไปก่อนนะเพคะ"
น่าหลานเยี่ย "..."
อาหารบัดซบอันใดกันข้ากินไม่เป็น!!!
ปลายฝันเองก็จนใจ เงินเดือนนางยังไม่ออก แล้วตอนนี้ก็เหลือติดตัวอยู่เพียงร้อยเดียวเท่านั้น ลำพังนางใช้กินอยู่คนเดียวก็เพียงพออยู่หรอก แต่ในเมื่อมีเขามาเพิ่มนางก็ไม่พอใช้เสียแล้ว
"เจ้ายากจนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าอยู่ในจวนอ๋อง สำรับอาหารมากมายจนเต็มโต๊ะ มิเคยขาดแคลนจนน่าอนาถใจเช่นนี้ ให้ตายเถิด!!! นางกำนัลในจวนของข้ายังได้กินดีอยู่ดีกว่าเจ้าเสียอีก"
"ก็ข้าไม่มีเงินนี่เพคะ"
"บัดซบ!!! ยากจนเพียงนี้เชียวหรือ?"
"เพคะ"
"เป็นเมียข้าเสีย เจ้าจะมีเงินและทองคำใช้ไม่ขาดมือ"
ปลายฝัน "..."
"ข้ารู้สึกว่าข้าคงจะชอบเจ้าเสียแล้ว ข้าคงชอบสตรีประหลาดเป็นแน่
นี่ชมหรือด่านางกันแน่!!!
"คืนนี้เจ้าจงนอนรอข้าบนเตียง หลังจากผ่านคืนนี้ไป เจ้าจะร่ำรวยมิต้องทนกินอาหารบัดซบเช่นนี้อีก!!!"
"เอ่อ..."
"ไม่ต้องคิดแล้ว มาเถิด ข้าจะยัดเยียดความเป็นสามีให้เจ้าเอง"
"ว้ายยย!!!"
5 ปีต่อมา จวนอ๋องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ร่วมสองปี ด้วยเพราะน่าหลานเยี่ยต้องการปรับแต่งจวนใหม่ให้งดงามและสะดวกสบายน่าอยู่มากกว่าแต่ก่อน ยามนี้บุตรชายฝาแฝดของเขามีอายุได้สี่ขวบปีแล้วอยู่ในวัยที่ซุกซนและกำลังวิ่งเล่นไปทั่ว เขาจึงตั้งใจก่อสร้างจวนให้กว้างขวางมากกว่าเดิมตามที่เสวี่ยเอ๋อร์แนะนำ นับตั้งแต่กลับมาที่เฟิ่งหวง น่าหลานเยี่ยก็นำกระดิ่งทองคู่นั้นใส่กล่องล็อกกุญแจเอาไว้ในหีบอย่างดี หน้าต่างบานนั้นถูกทุบทิ้งและทำเป็นกำแพงจวนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี "พระชายาเอกเพคะ ชาร้อนเพคะ"เสวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองชิงชิงพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลายปีก่อนชิงชิงเกือบตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ท่านหมอเทวดาผ่านมาพอดี น่าหลานเยี่ยจึงขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยรักษาชิงชิง ทำให้นางฟื้นกลับมาได้อีกครา แม้ว่าสุขภาพจะไม่สู้ดีเท่าแต่ก่อนนัก แต่นางก็ดีใจที่ได้ฟื้นกลับมาพบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา "สำรับในครัวจัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องคงจะกลับมาแล้ว" "เรียบร้อยแล้วเพคะ" "อืม เจ้าไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด" "เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา น่าหลานฉีกับ
เฟิ่งหวง ประเทศจีน เมื่อลงมาจากเครื่องบิน และผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า นางรีบเดินทางไปที่เฟิ่งหวงในทันที การเดินทางมาครั้งแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่นางติดต่อไกด์คนหนึ่งให้เป็นผู้นำทางให้นางได้ ไกด์ผู้นั้นมารอรับนางที่สนามบิน ก่อนจะพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่นางต้องการ ตลอดสองข้างทางแม้จะสวยงามสักเพียงใด แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ใจของนางยามนี้คิดถึงเพียงน่าหลานเยี่ยเท่านั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ในที่สุดนางก็มาถึงเฟิ่งหวง เมืองที่เป็นเป้าหมายในการจะได้พบน่าหลานเยี่ยของนาง เสวี่ยเอ๋อร์จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นภายในห้องพัก นางเปิดม่านห้องนอนออกเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำถั่วเจียงและสะพานหงเฉียว แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยหลายพันปี แต่นางก็ยังจำบรรยากาศเช่นนี้ได้ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่กลิ่นอายและวัฒนธรรมที่คุ้นตาก็ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น เพราะวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางจึงหลับพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เพื่อค้นหาระฆังกระดิ่งทองใบนั้น ไกด์ที่นำทางคนนั้นแม้จะมองนางด้วยท่าทีแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้เอ่ย
น่าหลานเยี่ยยื่นมือไปหยิบระฆังกระดิ่งสีทองใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเอง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ มันอยู่ใกล้เขาจริง ๆ แท้จริงก็อยู่ที่จวนของเสนาบดีตระกูลสวี ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาอยู่ได้เช่นไรนั้น เขาไม่ต้องการค้นหาต้นตอของมัน "พวกเจ้านำสมบัติเหล่านี้ส่งไปที่วังหลวงทั้งหมด""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เพื่อกลับมาเอาระฆังกระดิ่งอีกใบหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ที่พ่อบ้านไป๋มาแขวนเอาไว้ที่ใต้ต้นดอกเหมยหลังเรือน โชคดีที่มันไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย จึงยังพอมีต้นไม้ให้เขาใช้แขวนระฆังกระดิ่งได้"ฝากเจ้าจัดการดูแลเรื่องสร้างจวนใหม่แทนข้าด้วย หากมีสิ่งใดเร่งรีบก็จงส่งคนไปแจ้งข้าที่วัดไป๋หม่า ข้าจะอยู่ที่นั่นในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนข้าจะกลับมาที่นี่" "ท่านอ๋อง พระชายารอง" "ไม่ต้องถามมาก ข้าจะไปตามนางกลับมา เรื่องใดที่ไม่สมควรรู้เจ้าก็จงเงียบปากเสีย อย่าถามให้มากความ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" น่าหลานเยี่ยเอ่ยกับพ่อบ้านไป๋เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปที่วัดไป๋หม่ากับน่
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทะลุกลับมายังโลกอนาคต นางพยายามที่จะหาทางกลับไปยังเฟิ่งหวง แต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือซาก ราวกับว่าเพราะเกิดเพลิงไหม้ที่จวนอ๋อง ภาพนี้จึงถูกเผาไหม้ตามไปด้วย "ไม่จริง!!! แล้วข้าจะกลับไปหาท่านได้เช่นไร น่าหลานเยี่ยได้ยินข้าหรือไม่!!! ฮือออ น่าหลานเยี่ย!!!"เสวี่ยเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ผล นางทรุดลงนั่งบนเตียงก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางเฝ้าระวังตัว แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าคนบ้าอย่างสวีหลันฮวาย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะนางสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้ต่อสวีหลันฮวาจนได้! "ฮืออออ!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนมืดค่ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ภายในห้องก็มืดเช่นเดียวกัน เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เปิดไฟเอาแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ จนเวลาผ่านไปเกือบรุ่งเช้า นางจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หมอดูชรา!!! เมืองเฟิ่งหวง ยามนี้จวนอ๋องถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก หน้าต่างบานนั้นก็ถูกไฟเผาไหม้เช่นเดียวกัน บานหน้าต่างทั้งสองบานร่วงหล่นแตกหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งเอนกายพิงกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง นางจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้วจริง ๆหรือ? "
เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเจ็บป่วย นางจึงกินยาที่ตนเองนำติดมาด้วยเข้าไป จึงพอบรรเทาอาการลงไปได้ไม่น้อย "พระชายารองเพคะ เช้านี้มีโจ๊กรากบัวนะเพคะ" "ขอบใจเจ้ามาก ชิงชิง เหตุใดวันนี้อากาศจึงค่อนข้างเย็นนัก" "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเพราะท้องฟ้าครึ้มจึงทำให้อากาศเย็นลงเพคะ" "อืม" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางยื่นมือไปจับช้อนขึ้นมาเพื่อจะกินโจ๊กรากบัว แต่ทว่ากลับมีเสียงร้องของเหล่าบ่าวไพร่ดังกึกก้องไปทั่วจวน"ชิงชิง เกิดสิ่งใดขึ้น?" "นั่นสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูเองเพคะ" ในขณะที่ชิงชิงกำลังวิ่งออกไปดูสถานการณ์ที่ด้านนอก เสวี่ยเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุสีเงินแหลมคมที่กำลังพาดอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง พร้อมกับแขนของสตรีผู้หนึ่งที่ล็อกคอของนางเอาไว้ "นังสารเลว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่อีก" "สวีหลันฮวา!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นสวีหลันฮวานางก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยิ่งพยายามขัดขืนคมมีดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปบนผิวขาวเนียนของนางจนมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา สวีหลันฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข "ขยับอีกสิ ข้า
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน จวนตระกูลสวีกลับหมดสิ้นอำนาจวาสนาภายในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางเห็นแก่ที่เสนาบดีสวีเคยช่วยเหลือมารดาของตนเอาไว้ จึงละเว้นโทษประหาร แต่เนรเทศคนตระกูลสวีไปยังชายแดนแทน ไม่ให้มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงเฟิ่งหวงอีกเป็นอันขาด ด้านน่าหลานเยี่ยที่กลับมาถึงจวน เมื่อได้ทราบข่าวว่าสวีหลันฮวาหนีออกไปได้แล้ว เขาก็เจ็บใจเป็นอย่างมาก เสนาบดีสวีฉลาดไม่เบาถึงขั้นหาทางรอดให้บุตรสาวอย่างไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี หลิวอิ๋งถูกน่าหลานเยี่ยสอบปากคำอย่างหนัก ท้ายที่สุดนางไม่ยอมปริปาก และสังหารตนเองตกตายไปในทันที ส่วนศพของเซียงเซียงถูกพบที่ท้ายจวนอ๋อง เสวี่ยเอ๋อร์และชิงชิงหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นชิงชิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซียงเซียงและอดีตพระชายารองสวีต้องร่วมมือกันทำบางอย่างเป็นแน่เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางให้บ่าวไพร่ในจวนมานำศพของเซียงเซียงออกไปที่นอกจวน ตลอดทั้งวันนั้นนางรู้สึกว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย รู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใดเช่นกัน น่าหลานเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการสะสางปัญหาต่าง ๆ เมื่อเห็น