ปลายฝัน พยายามลากตัวน่าหลานเยี่ยมาที่เตียงนอน แต่เพราะเขาตัวใหญ่กว่า จึงทำให้ร่างของคนทั้งสองล้มลงไปนอนบนเตียงด้วยกัน น่าหลานเยี่ยนอนทับอยู่บนร่างของปลายฝัน เขาจ้องมองนางด้วยแววตาที่ล้ำลึก จนหญิงสาวรู้สึกเขินอาย
ปลายฝันรับรู้ได้ถึงความแข็งชูชันที่ดุนดันอยู่ตรงหว่างขาของตนเอง นางรีบผลักเขาออกทันที น่าหลานเยี่ยใบหน้าแดงระเรื่อ จ้องมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย
"ขออภัยด้วย ใกล้ชิดสตรีคราใด ข้าจะมีอารมณ์ตลอด"
ปลายฝัน "..."
"พาข้ากลับไปสิ!!!"
"เอ่อ เพคะ"
ปลายฝันลุกขึ้นจากเตียงนอน แล้วจึงยื่นมือเรียวสวยไปจับที่แขนแกร่งของเขา ส่วนมืออีกข้างก็วางทาบลงไปบนภาพวาดบนผนังห้อง แต่กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ให้ตายสิ!!! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!!!
น่าหลานเยี่ยจ้องมองปลายฝันด้วยแววตาที่สงสัยใคร่รู้
"เหตุใดจึงกลับไม่ได้เล่า?"
"เอ่อ ข้าก็ไม่รู้เพคะ"
"แล้วจะทำเช่นไร?"
ปลายฝันเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้จะหาคำตอบเช่นไรให้น่าฟัง ช่างแปลกเสียจริง!!! มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันเล่า
"บัดซบ!!! มิใช่ว่าเจ้าหลอกข้ามาปลุกปล้ำเป็นสามีหรอกนะ!!!"
"ไม่ใช่นะเพคะ"
"บอกดีดี ข้าก็พร้อมจะหลับนอนกับเจ้า สตรีชั่วช้า!!! คิดกระทำชำเราข้า!!!"
"เงียบเพคะ เดี๋ยวแม่ข้าได้ยิน!!!"
"เจ้าอยู่กับท่านแม่ของเจ้าหรือ?"
"เพคะ?"
น่าหลานเยี่ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากนางคิดปลุกปล้ำเขาจริง ๆ เขาจะตะโกนฟ้องร้องท่านแม่ของนางทันที!!!
"ในเมื่อข้ายังกลับไม่ได้ ข้าก็จะอยู่กับเจ้าก่อน แต่เจ้าต้องหาทางพาข้ากลับไปให้ได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่!!!"
"เพคะ!"
"ช่างร้อนยิ่งนัก ข้าอยากอาบน้ำ"
"เอ่อ ข้าจะพาท่านไปนะเพคะ"
"อืม อย่าคิดแอบดูข้าเชียวเล่า"
ปลายฝันพาน่าหลานเยี่ยเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากบอกวิธีการอาบให้แก่เขาแล้ว นางก็เดินมายืนรอที่ด้านนอก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงของเขา
"เจ้าชื่อว่าอะไรนะ?"
"ปลายฝันเพคะ"
"ข้าเรียกไม่ถูก เช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่า เสวี่ยเอ๋อร์ ก็แล้วกัน"
"เพคะ"
อยากเรียกอะไรก็เรียกไปเถิด สำคัญที่สุดคือต้องหาทางพาเขากลับไปให้ได้ ก่อนที่แม่จะรู้ว่าเธอซุกซ่อนผู้ชายเอาไว้ในห้องนอน!!!
"เสวี่ยเอ๋อร์"
"เพคะ"
"อ่างอาบน้ำเจ้าช่างแคบนัก เจ้าเข้ามาดูทีเถิด"
"เอ่อ..."
"ข้าหันหลังให้เจ้า ไม่มีทางที่เจ้าจะได้เห็นแท่งสวรรค์ของข้า"
ปลายฝัน "..."
ปลายฝันเปิดประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ ภาพที่เห็นทำให้เธอแทบจะหลุดหัวเราะออกมา
น่าหลานเยี่ยลงไปแช่ตัวอยู่ในถังน้ำที่ใช้ตักราดโถส้วม มันแคบปานนั้นเขาก็ยังยัดตัวลงไปอาบได้ ช่างพยายามเสียจริง
"เอ่อ ไม่ใช่อ่างนั้นเพคะ"
"อ๋อ งั้นหรือ?"
"ว้าย!!!"
เพราะน่าหลานเยี่ยรีบลุกขึ้นมา ทำให้ผ้าขนหนูที่เขาห่อกายท่อนล่างนั้นหลุดลงมากองที่พื้น เผยให้เห็นลำแท่งเอ็นร้อนขนาดใหญ่ที่แข็งชูชันของเขา
"ว้าย!!! ใหญ่จังเลย ว้าย!!! ไม่ใช่"
"บัดซบ!!! เจ้าดูของข้า!!!"
"ไม่ใช่นะเพคะ!!!"
"อยากดูข้าจะให้ดู!!!"
"อ๊าส์!!! ไม่ ๆ"
"ดูสิ!!! ฮ่า ๆ ๆ"
"ฝัน!!! ลูกทำอะไรอยู่น่ะ!!!"
เสียงของแม่ทำให้ปลายฝันกับน่าหลานเยี่ยชะงักไปทันที
"อ้อ ดูหนังอยู่ค่ะแม่"
"เบา ๆ เสียงบ้างเถอะ ข้างบ้านเขาจะรำคาญเอาได้"
"ค่ะแม่"
ปลายฝันรู้สึกโล่งใจที่แม่ไม่สนใจถามสิ่งใดอีก แต่ทว่าเมื่อก้มมองลงไปกลับพบว่าน่าหลานเยี่ยกำลังจับมือของเธอให้ไปกอบกุมลำแท่งแก่นกายของเขาแล้วชักรูดขึ้นลงอย่างช้า ๆ
"ซี้ดดดด!!!"
ปลายฝันรู้สึกอยากจะร้องไห้เสียแล้ว นี่เธอพาอ๋องบ้ากามเข้าบ้านอย่างนั้นหรือ?
"ปล่อยเพคะ!!!"
"ว่าอย่างไรนะ เจ้าอยากลองอมดูหรือ ช้าก่อนแม่นางน้อยเสวี่ยเอ๋อร์ของข้า!!!"
"อร๊าย!!! เอามือข้าคืนมานะ"
"จับอีกข้าใกล้จะเสร็จสมในอารมณ์แล้ว"
"ฮืออ ฮือออคนบ้ากาม!!!"
"อ่าส์!!! โอ้ววว ช่างเยี่ยมยอดนัก"
ปลายฝันก้มลงมองมือของตนเองที่ตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำกามสีขาวขุ่นของเขา น่าหลานเยี่ยรู้สึกดีไม่น้อย ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่านางช่างดูเย้ายวนต่อสายตาของเขายิ่งนัก
"เจ้าไม่มีสามีหรือ?"
"ไม่มีเพคะ?"
"ข้าเป็นสามีให้เจ้าดีหรือไม่?"
"..."
"ไหน ๆ เจ้าก็จับแท่งสวรรค์ของข้าไปแล้ว ต่อให้เจ้าจะเป็นผีหรือคนข้าก็ยินดีแต่งเจ้าเข้าจวนชินอ๋อง"
"ข้าไม่แต่งกับคนบ้ากามเพคะ"
"บัดซบ เดี๋ยวก็บั่นคอขาดเสียนี่!!!"
5 ปีต่อมา จวนอ๋องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ร่วมสองปี ด้วยเพราะน่าหลานเยี่ยต้องการปรับแต่งจวนใหม่ให้งดงามและสะดวกสบายน่าอยู่มากกว่าแต่ก่อน ยามนี้บุตรชายฝาแฝดของเขามีอายุได้สี่ขวบปีแล้วอยู่ในวัยที่ซุกซนและกำลังวิ่งเล่นไปทั่ว เขาจึงตั้งใจก่อสร้างจวนให้กว้างขวางมากกว่าเดิมตามที่เสวี่ยเอ๋อร์แนะนำ นับตั้งแต่กลับมาที่เฟิ่งหวง น่าหลานเยี่ยก็นำกระดิ่งทองคู่นั้นใส่กล่องล็อกกุญแจเอาไว้ในหีบอย่างดี หน้าต่างบานนั้นถูกทุบทิ้งและทำเป็นกำแพงจวนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี "พระชายาเอกเพคะ ชาร้อนเพคะ"เสวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองชิงชิงพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลายปีก่อนชิงชิงเกือบตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ท่านหมอเทวดาผ่านมาพอดี น่าหลานเยี่ยจึงขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยรักษาชิงชิง ทำให้นางฟื้นกลับมาได้อีกครา แม้ว่าสุขภาพจะไม่สู้ดีเท่าแต่ก่อนนัก แต่นางก็ดีใจที่ได้ฟื้นกลับมาพบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา "สำรับในครัวจัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องคงจะกลับมาแล้ว" "เรียบร้อยแล้วเพคะ" "อืม เจ้าไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด" "เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา น่าหลานฉีกับ
เฟิ่งหวง ประเทศจีน เมื่อลงมาจากเครื่องบิน และผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า นางรีบเดินทางไปที่เฟิ่งหวงในทันที การเดินทางมาครั้งแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่นางติดต่อไกด์คนหนึ่งให้เป็นผู้นำทางให้นางได้ ไกด์ผู้นั้นมารอรับนางที่สนามบิน ก่อนจะพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่นางต้องการ ตลอดสองข้างทางแม้จะสวยงามสักเพียงใด แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ใจของนางยามนี้คิดถึงเพียงน่าหลานเยี่ยเท่านั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ในที่สุดนางก็มาถึงเฟิ่งหวง เมืองที่เป็นเป้าหมายในการจะได้พบน่าหลานเยี่ยของนาง เสวี่ยเอ๋อร์จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นภายในห้องพัก นางเปิดม่านห้องนอนออกเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำถั่วเจียงและสะพานหงเฉียว แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยหลายพันปี แต่นางก็ยังจำบรรยากาศเช่นนี้ได้ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่กลิ่นอายและวัฒนธรรมที่คุ้นตาก็ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น เพราะวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางจึงหลับพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เพื่อค้นหาระฆังกระดิ่งทองใบนั้น ไกด์ที่นำทางคนนั้นแม้จะมองนางด้วยท่าทีแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้เอ่ย
น่าหลานเยี่ยยื่นมือไปหยิบระฆังกระดิ่งสีทองใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเอง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ มันอยู่ใกล้เขาจริง ๆ แท้จริงก็อยู่ที่จวนของเสนาบดีตระกูลสวี ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาอยู่ได้เช่นไรนั้น เขาไม่ต้องการค้นหาต้นตอของมัน "พวกเจ้านำสมบัติเหล่านี้ส่งไปที่วังหลวงทั้งหมด""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เพื่อกลับมาเอาระฆังกระดิ่งอีกใบหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ที่พ่อบ้านไป๋มาแขวนเอาไว้ที่ใต้ต้นดอกเหมยหลังเรือน โชคดีที่มันไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย จึงยังพอมีต้นไม้ให้เขาใช้แขวนระฆังกระดิ่งได้"ฝากเจ้าจัดการดูแลเรื่องสร้างจวนใหม่แทนข้าด้วย หากมีสิ่งใดเร่งรีบก็จงส่งคนไปแจ้งข้าที่วัดไป๋หม่า ข้าจะอยู่ที่นั่นในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนข้าจะกลับมาที่นี่" "ท่านอ๋อง พระชายารอง" "ไม่ต้องถามมาก ข้าจะไปตามนางกลับมา เรื่องใดที่ไม่สมควรรู้เจ้าก็จงเงียบปากเสีย อย่าถามให้มากความ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" น่าหลานเยี่ยเอ่ยกับพ่อบ้านไป๋เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปที่วัดไป๋หม่ากับน่
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทะลุกลับมายังโลกอนาคต นางพยายามที่จะหาทางกลับไปยังเฟิ่งหวง แต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือซาก ราวกับว่าเพราะเกิดเพลิงไหม้ที่จวนอ๋อง ภาพนี้จึงถูกเผาไหม้ตามไปด้วย "ไม่จริง!!! แล้วข้าจะกลับไปหาท่านได้เช่นไร น่าหลานเยี่ยได้ยินข้าหรือไม่!!! ฮือออ น่าหลานเยี่ย!!!"เสวี่ยเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ผล นางทรุดลงนั่งบนเตียงก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางเฝ้าระวังตัว แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าคนบ้าอย่างสวีหลันฮวาย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะนางสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้ต่อสวีหลันฮวาจนได้! "ฮืออออ!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนมืดค่ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ภายในห้องก็มืดเช่นเดียวกัน เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เปิดไฟเอาแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ จนเวลาผ่านไปเกือบรุ่งเช้า นางจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หมอดูชรา!!! เมืองเฟิ่งหวง ยามนี้จวนอ๋องถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก หน้าต่างบานนั้นก็ถูกไฟเผาไหม้เช่นเดียวกัน บานหน้าต่างทั้งสองบานร่วงหล่นแตกหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งเอนกายพิงกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง นางจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้วจริง ๆหรือ? "
เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเจ็บป่วย นางจึงกินยาที่ตนเองนำติดมาด้วยเข้าไป จึงพอบรรเทาอาการลงไปได้ไม่น้อย "พระชายารองเพคะ เช้านี้มีโจ๊กรากบัวนะเพคะ" "ขอบใจเจ้ามาก ชิงชิง เหตุใดวันนี้อากาศจึงค่อนข้างเย็นนัก" "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเพราะท้องฟ้าครึ้มจึงทำให้อากาศเย็นลงเพคะ" "อืม" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางยื่นมือไปจับช้อนขึ้นมาเพื่อจะกินโจ๊กรากบัว แต่ทว่ากลับมีเสียงร้องของเหล่าบ่าวไพร่ดังกึกก้องไปทั่วจวน"ชิงชิง เกิดสิ่งใดขึ้น?" "นั่นสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูเองเพคะ" ในขณะที่ชิงชิงกำลังวิ่งออกไปดูสถานการณ์ที่ด้านนอก เสวี่ยเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุสีเงินแหลมคมที่กำลังพาดอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง พร้อมกับแขนของสตรีผู้หนึ่งที่ล็อกคอของนางเอาไว้ "นังสารเลว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่อีก" "สวีหลันฮวา!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นสวีหลันฮวานางก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยิ่งพยายามขัดขืนคมมีดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปบนผิวขาวเนียนของนางจนมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา สวีหลันฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข "ขยับอีกสิ ข้า
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน จวนตระกูลสวีกลับหมดสิ้นอำนาจวาสนาภายในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางเห็นแก่ที่เสนาบดีสวีเคยช่วยเหลือมารดาของตนเอาไว้ จึงละเว้นโทษประหาร แต่เนรเทศคนตระกูลสวีไปยังชายแดนแทน ไม่ให้มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงเฟิ่งหวงอีกเป็นอันขาด ด้านน่าหลานเยี่ยที่กลับมาถึงจวน เมื่อได้ทราบข่าวว่าสวีหลันฮวาหนีออกไปได้แล้ว เขาก็เจ็บใจเป็นอย่างมาก เสนาบดีสวีฉลาดไม่เบาถึงขั้นหาทางรอดให้บุตรสาวอย่างไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี หลิวอิ๋งถูกน่าหลานเยี่ยสอบปากคำอย่างหนัก ท้ายที่สุดนางไม่ยอมปริปาก และสังหารตนเองตกตายไปในทันที ส่วนศพของเซียงเซียงถูกพบที่ท้ายจวนอ๋อง เสวี่ยเอ๋อร์และชิงชิงหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นชิงชิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซียงเซียงและอดีตพระชายารองสวีต้องร่วมมือกันทำบางอย่างเป็นแน่เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางให้บ่าวไพร่ในจวนมานำศพของเซียงเซียงออกไปที่นอกจวน ตลอดทั้งวันนั้นนางรู้สึกว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย รู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใดเช่นกัน น่าหลานเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการสะสางปัญหาต่าง ๆ เมื่อเห็น