ปลายฝันชะงักค้างกลางอากาศ ในขณะที่เครื่องหรรษาแท่งนั้นยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง น่าหลานเยี่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ยื่นมือไปจับแท่งหรรษาออกมาจากรูสวยของนาง ก่อนจะโยนมันทิ้งไปที่ปลายเตียงด้วยแววตาตื่นตระหนก
"ใครทำเจ้า!!! บอกข้ามาเถิด ข้าจะไปฆ่ามัน!!!"
"เอ่อ..."
"เสวี่ยเอ๋อร์!!!"
"ข้า..."
"ช่างชั่วช้ายิ่งนัก!!! มันอำมหิตเหลือเกินที่กล้าแทงเจ้าตรงนั้น!!! มันบังคับเจ้าใช่หรือไม่? เอ๋!!! ว่าแต่เหตุใดมีดนี่จึงมีลักษณะประหลาดเช่นนี้ มันทำจากสิ่งใดกันจึงคล้ายกับแท่งสวรรค์ของข้า ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาคุณไสยมนตร์ดำเป็นแน่ ดูสิ!!! มีแสงสว่างด้วย เจ้าเจ็บมากหรือไม่ เอาเช่นนี้ละกัน ให้ข้าช่วยใช้มือแหวกดู..."
"อย่านะ!!! ท่านอ๋อง!!! ข้าเป็นคนแทงมันเข้ามาเองเพคะ!!!"
"หา???"
"เอ่อ มันเป็นเครื่องบำบัดความใคร่เพคะ คือ ทำให้ข้าเสียวเหมือนตอนที่ท่านทำน่ะเพคะ!!!"
น่าหลานเยี่ยขมวดคิ้วมุ่น เขาครุ่นคิดอยู่เป็นนานสองนาน ก่อนจะหันมามองปลายฝันด้วยแววตาเป็นประกาย
ที่แท้นางโหยหาเขาจนต้องแทงตนเอง!!!
ข้าควรช่วยนางโดยการใช้แท่งมังกรผงาดของข้าแทงนางแทนแท่งประหลาดนั้นดีหรือไม่?!!!
"เสวี่ยเอ๋อร์"
"เพคะ"
"ข้าจะแทงเจ้าด้วยตัวของข้าเอง!!!"
ปลายฝัน "..."
น่าหลานเยี่ยตั้งท่าจะพุ่งเข้ามาหานาง จนปลายฝันต้องกระโดดหนีเขาลงจากเตียง ให้ตายเถิด เหตุใดเขาจึงบ้ากามเช่นนี้เล่า!!!
น่าหลานเยี่ยขมวดคิ้วมุ่น เหตุใดนางจึงไม่ยินยอมกันนะ!!!
"เอ่อ... ข้าพอแล้วเพคะ ข้าใช้มาสักพักแล้ว ข้าเบื่อแล้วเพคะ"
ปลายฝันรีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที นางรีบจัดการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินออกมา และพบว่าน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งกดรีโมตทีวีอย่างสนุกสนานอีกครั้ง
"ท่านอ๋องมาได้เช่นไรเพคะ?"
"หึ!!! ข้ารออยู่ที่ริมหน้าต่างทุกวันเจ้ารู้หรือไม่ ข้ารอเวลาที่จะได้มาหาเจ้า แต่ก็ข้ามมาไม่ได้ จนข้าได้ยินเสียงกระดิ่งระฆังดังขึ้นอีกครา ข้าจึงข้ามมาได้"
ปลายฝันที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะครุ่นคิดในใจ คล้ายนางจำได้ว่าก่อนจะข้ามไปหาเขานางก็ได้ยินเสียงกระดิ่งระฆังเช่นเดียวกัน แต่ยามนั้นหูนางอื้อฟังสิ่งใดสับสนไปหมดจนจับใจความไม่ได้ว่าเสียงใดเป็นเสียงใดกันแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้นปลายฝันจึงจ้องมองไปที่ภาพวาดเมืองจีนโบราณนั้นทันที
เสียงนั้นมันมาจากในภาพหรือ?
"ท่านอ๋อง ตอนที่ข้าข้ามไปไม่เห็นว่าจะมีระฆังแขวนอยู่เลยนะเพคะ"
"มีสิ มันอยู่ที่หน้าต่างห้องนอนข้า เสด็จพี่เป็นคนมอบให้ข้า บอกว่ามันเป็นกระดิ่งระฆังมงคล เสด็จพี่ได้มาจากไต้ซือชื่อดังผู้หนึ่งที่ถือศีลอยู่วัดไป๋หม่านำมาถวายให้ ว่ากันว่ากระดิ่งระฆังนี้ จะนำพาเจ้าของให้พานพบกับเนื้อคู่ของตน"
"ฮะ?"
"เคยมีเรื่องเล่าว่า ระฆังกระดิ่งเดิมทีมันมีเป็นคู่ ส่งเสียงดังกังวานสอดคล้องกัน แต่ไต้ซือบอกว่าระฆังมงคลใบหนึ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงแค่ระฆังใบนี้ที่ท่านพี่มอบให้ข้า มันเป็นระฆังทองคำหายากที่มีเพียงสองใบในเมืองเฟิ่งหวงเท่านั้น"
"เช่นนั้นหรือเพคะ?"
"เจ้าได้ยินมันใช่หรือไม่?"
"ข้าไม่แน่ใจเพคะ"
"ช่างเถิด มันเป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น แต่เรื่องที่ข้ารอจะพบเจ้าเป็นเรื่องจริงนะ"
ปลายฝันรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นี่เขาเฝ้ารอที่จะเจอนางถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
"คราแรกข้าก็ข้ามมาไม่ได้ แต่พอนึกถึงหน้าอกที่ใหญ่โตอวบอิ่มของเจ้า จู่ ๆ ข้าก็ข้ามมาได้ เจ้าว่า ต่อไปข้าจะคิดถึงหน้าอกเจ้าให้มาก ๆ ดีหรือไม่?"
ปลายฝันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่เขา...
"ข้าเป็นโรคเห็นหน้าอกสตรีไม่ได้ เจ้าคงไม่รู้"
นางต้องรู้ด้วยหรือ?
"เสวี่ยเอ๋อร์ข้าหิวน่ะ เจ้ามีสิ่งใดให้ข้ากินหรือไม่?"
"มีข้าวผัดเพคะ"
ปลายฝันยกกล่องข้าวผัดมามอบให้เขา น่าหลานเยี่ยหยิบช้อนพลาสติกสีขาวนั้นขึ้นมาจ้องมองด้วยความสงสัย
"นี่คือสิ่งใดกัน?"
"ช้อนเพคะ ไว้ตักข้าวกิน"
"ประหลาดสิ้นดี ช้อนอันใดกันรูปทรงพิลึก"
ปลายฝันจ้องมองน่าหลานเยี่ยที่ใช้ช้อนตักอาหารขึ้นมาทีละสองสามเม็ดราวกับเด็กน้อยก็รู้สึกขบขันเขาขึ้นมา นางยื่นมือไปแย่งช้อนมาจากเขา ก่อนจะป้อนเขาทีละคำทีละคำ
น่าหลานเยี่ยจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาที่ล้ำลึก
"นอกจากเสด็จแม่แล้ว ก็มีเจ้านี่ละที่ป้อนข้าวให้ข้า"
"จริงหรือเพคะ"
"จริงสิ และก็มีแต่เจ้าที่ป้อนนมจากเต้าให้ข้าได้ดื่มด้วยความจริงใจ มิเคยมีสตรีใดในใต้หล้าที่ทำให้ข้ารู้สึกเช่นนี้ด้วยเลย มันนับเป็นบุญคุณหรือไม่? ข้าต้องตอบแทนด้วยการเป็นสามีที่ดี ปรนเปรอเจ้าทุกคืนเจ้าจะชอบหรือไม่?"
ปลายฝันยกมือขึ้นวางบนหน้าผากอย่างทอดถอนใจ นี่เขาเอ่ยสิ่งใดออกมากัน!
"อะ ข้าให้"
ปลายฝันหันไปมองน่าหลานเยี่ย ก่อนจะต้องตกใจเมื่อพบกับทองคำนับสิบก้อนที่เขายื่นมาให้นาง
"ให้ข้าทำไมเพคะ?"
"ให้ภรรยาผิดด้วยหรือ เจ้าตกเป็นของข้าแล้วรับไปเถิด"
"เอ่อ..."
"จะรั้งรอสิ่งใดกัน อ้อ! รึว่าเจ้าอยากให้ข้านำทองเหล่านี้ยัดไปในร่องอกของเจ้า เจ้าชอบเช่นนั้นใช่หรือไม่? ข้าก็ชอบ!!!"
"อย่านะเพคะ!!! เหตุใดท่านจึงบ้ากามเช่นนี้เล่า!!!"
"ข้าผิดหรือ? บุรุษใดบ้างจะไม่ชอบเรื่องเช่นนี้!"
"ปลายฝัน!!! หนูฝัน"
เสียงพ่อเลี้ยงทำให้ปลายฝันต้องรีบนำตัวน่าหลานเยี่ยไปซ่อนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าทันที ก่อนจะเดินไปเปิดประตูอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก วันนี้แม่ออกไปทำงานยังไม่กลับ ตาแก่นั่นจะมาเรียกนางทำไมกัน
ทันทีที่เปิดประตูออก พ่อเลี้ยงบ้ากามก็พุ่งเข้ามาหาปลายฝันทันที
"ว้ายย!!! จะทำอะไรอะ!!!"
"หนูฝัน แม่หนูไม่อยู่ ลุงขอมีอะไรด้วยสักครั้งเถอะนะ ลุงทนมานานแล้ว นะ!!!"
"ไอ้แก่!!! โรคจิต!!!"
ปลายฝันพยายามต่อสู้ดิ้นรน แต่มีหรือที่จะสู้แรงของตาแก่บ้ากามผู้นี้ได้ มันตบหน้าปลายฝัน ก่อนจะผลักนางลงไปนอนบนเตียง
พลั่ก!!!
ไม่ทันที่มันจะได้ทำสิ่งใด น่าหลานเยี่ยก็พุ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า และกระโดดถีบพ่อเลี้ยงบ้ากามจนมันเซถลาไปชนกับเสาเตียงอย่างรุนแรงจนสลบไป
"ท่านอ๋อง!!!"
"มันเป็นใคร!!!"
"เป็นบิดาบุญธรรมของข้าเพคะ"
"บัดซบ!!! บั่นคอขาดเสียดีหรือไม่!!!"
"อย่าเพคะท่านอ๋อง เอ่อ... ท่านช่วยลากเขาไปไว้ในห้องของแม่ข้าทีนะเพคะ หวังว่าเขาจะไม่เจ็บมาก"
"มันไม่ตายเสียหรอกโดนเพียงเท่านี้ ว่าแต่เจ้าจะปล่อยมันไปเช่นนี้จริง ๆ หรือ?"
"ข้าจะคุยกับแม่ก่อนเพคะ"
น่าหลานเยี่ยพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก ก่อนจะลากร่างของพ่อเลี้ยงไปโยนทิ้งไว้ในห้องนอนอย่างไม่ไยดี ก่อนจะจากไปเขายังยกเท้ากระทืบไปที่หว่างขาของมันหลายคราด้วยความโมโห
เมื่อแม่กลับมาปลายฝันจึงเล่าเรื่องนี้ให้แม่ของเธอฟัง แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่น่าหลานเยี่ยกระโดดถีบพ่อเลี้ยงออกไป แต่ทว่าแม่กลับต่อว่าเธออย่างรุนแรง
"เหลวไหล ลุงเขาเป็นคนดี แกมากกว่าที่ทำตัวไม่เรียบร้อย ไปยั่วยวนเขา!!!"
"แม่!!!"
"หุบปาก!!! ไม่ต้องมาพูด ที่แกมีที่ซุกหัวนอนอย่างทุกวันนี้น่ะเพราะใคร พ่อแกไม่มีปัญญาหรอก!!! จำใส่กะลาหัวของแกเอาไว้ อย่ามาพูดเรื่องทุเรศแบบนี้ให้แม่ฟังอีก!!!"
5 ปีต่อมา จวนอ๋องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ร่วมสองปี ด้วยเพราะน่าหลานเยี่ยต้องการปรับแต่งจวนใหม่ให้งดงามและสะดวกสบายน่าอยู่มากกว่าแต่ก่อน ยามนี้บุตรชายฝาแฝดของเขามีอายุได้สี่ขวบปีแล้วอยู่ในวัยที่ซุกซนและกำลังวิ่งเล่นไปทั่ว เขาจึงตั้งใจก่อสร้างจวนให้กว้างขวางมากกว่าเดิมตามที่เสวี่ยเอ๋อร์แนะนำ นับตั้งแต่กลับมาที่เฟิ่งหวง น่าหลานเยี่ยก็นำกระดิ่งทองคู่นั้นใส่กล่องล็อกกุญแจเอาไว้ในหีบอย่างดี หน้าต่างบานนั้นถูกทุบทิ้งและทำเป็นกำแพงจวนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี "พระชายาเอกเพคะ ชาร้อนเพคะ"เสวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองชิงชิงพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลายปีก่อนชิงชิงเกือบตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ท่านหมอเทวดาผ่านมาพอดี น่าหลานเยี่ยจึงขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยรักษาชิงชิง ทำให้นางฟื้นกลับมาได้อีกครา แม้ว่าสุขภาพจะไม่สู้ดีเท่าแต่ก่อนนัก แต่นางก็ดีใจที่ได้ฟื้นกลับมาพบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา "สำรับในครัวจัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องคงจะกลับมาแล้ว" "เรียบร้อยแล้วเพคะ" "อืม เจ้าไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด" "เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา น่าหลานฉีกับ
เฟิ่งหวง ประเทศจีน เมื่อลงมาจากเครื่องบิน และผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า นางรีบเดินทางไปที่เฟิ่งหวงในทันที การเดินทางมาครั้งแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่นางติดต่อไกด์คนหนึ่งให้เป็นผู้นำทางให้นางได้ ไกด์ผู้นั้นมารอรับนางที่สนามบิน ก่อนจะพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่นางต้องการ ตลอดสองข้างทางแม้จะสวยงามสักเพียงใด แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ใจของนางยามนี้คิดถึงเพียงน่าหลานเยี่ยเท่านั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ในที่สุดนางก็มาถึงเฟิ่งหวง เมืองที่เป็นเป้าหมายในการจะได้พบน่าหลานเยี่ยของนาง เสวี่ยเอ๋อร์จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นภายในห้องพัก นางเปิดม่านห้องนอนออกเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำถั่วเจียงและสะพานหงเฉียว แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยหลายพันปี แต่นางก็ยังจำบรรยากาศเช่นนี้ได้ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่กลิ่นอายและวัฒนธรรมที่คุ้นตาก็ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น เพราะวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางจึงหลับพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เพื่อค้นหาระฆังกระดิ่งทองใบนั้น ไกด์ที่นำทางคนนั้นแม้จะมองนางด้วยท่าทีแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้เอ่ย
น่าหลานเยี่ยยื่นมือไปหยิบระฆังกระดิ่งสีทองใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเอง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ มันอยู่ใกล้เขาจริง ๆ แท้จริงก็อยู่ที่จวนของเสนาบดีตระกูลสวี ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาอยู่ได้เช่นไรนั้น เขาไม่ต้องการค้นหาต้นตอของมัน "พวกเจ้านำสมบัติเหล่านี้ส่งไปที่วังหลวงทั้งหมด""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เพื่อกลับมาเอาระฆังกระดิ่งอีกใบหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ที่พ่อบ้านไป๋มาแขวนเอาไว้ที่ใต้ต้นดอกเหมยหลังเรือน โชคดีที่มันไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย จึงยังพอมีต้นไม้ให้เขาใช้แขวนระฆังกระดิ่งได้"ฝากเจ้าจัดการดูแลเรื่องสร้างจวนใหม่แทนข้าด้วย หากมีสิ่งใดเร่งรีบก็จงส่งคนไปแจ้งข้าที่วัดไป๋หม่า ข้าจะอยู่ที่นั่นในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนข้าจะกลับมาที่นี่" "ท่านอ๋อง พระชายารอง" "ไม่ต้องถามมาก ข้าจะไปตามนางกลับมา เรื่องใดที่ไม่สมควรรู้เจ้าก็จงเงียบปากเสีย อย่าถามให้มากความ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" น่าหลานเยี่ยเอ่ยกับพ่อบ้านไป๋เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปที่วัดไป๋หม่ากับน่
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทะลุกลับมายังโลกอนาคต นางพยายามที่จะหาทางกลับไปยังเฟิ่งหวง แต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือซาก ราวกับว่าเพราะเกิดเพลิงไหม้ที่จวนอ๋อง ภาพนี้จึงถูกเผาไหม้ตามไปด้วย "ไม่จริง!!! แล้วข้าจะกลับไปหาท่านได้เช่นไร น่าหลานเยี่ยได้ยินข้าหรือไม่!!! ฮือออ น่าหลานเยี่ย!!!"เสวี่ยเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ผล นางทรุดลงนั่งบนเตียงก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางเฝ้าระวังตัว แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าคนบ้าอย่างสวีหลันฮวาย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะนางสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้ต่อสวีหลันฮวาจนได้! "ฮืออออ!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนมืดค่ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ภายในห้องก็มืดเช่นเดียวกัน เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เปิดไฟเอาแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ จนเวลาผ่านไปเกือบรุ่งเช้า นางจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หมอดูชรา!!! เมืองเฟิ่งหวง ยามนี้จวนอ๋องถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก หน้าต่างบานนั้นก็ถูกไฟเผาไหม้เช่นเดียวกัน บานหน้าต่างทั้งสองบานร่วงหล่นแตกหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งเอนกายพิงกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง นางจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้วจริง ๆหรือ? "
เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเจ็บป่วย นางจึงกินยาที่ตนเองนำติดมาด้วยเข้าไป จึงพอบรรเทาอาการลงไปได้ไม่น้อย "พระชายารองเพคะ เช้านี้มีโจ๊กรากบัวนะเพคะ" "ขอบใจเจ้ามาก ชิงชิง เหตุใดวันนี้อากาศจึงค่อนข้างเย็นนัก" "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเพราะท้องฟ้าครึ้มจึงทำให้อากาศเย็นลงเพคะ" "อืม" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางยื่นมือไปจับช้อนขึ้นมาเพื่อจะกินโจ๊กรากบัว แต่ทว่ากลับมีเสียงร้องของเหล่าบ่าวไพร่ดังกึกก้องไปทั่วจวน"ชิงชิง เกิดสิ่งใดขึ้น?" "นั่นสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูเองเพคะ" ในขณะที่ชิงชิงกำลังวิ่งออกไปดูสถานการณ์ที่ด้านนอก เสวี่ยเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุสีเงินแหลมคมที่กำลังพาดอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง พร้อมกับแขนของสตรีผู้หนึ่งที่ล็อกคอของนางเอาไว้ "นังสารเลว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่อีก" "สวีหลันฮวา!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นสวีหลันฮวานางก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยิ่งพยายามขัดขืนคมมีดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปบนผิวขาวเนียนของนางจนมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา สวีหลันฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข "ขยับอีกสิ ข้า
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน จวนตระกูลสวีกลับหมดสิ้นอำนาจวาสนาภายในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางเห็นแก่ที่เสนาบดีสวีเคยช่วยเหลือมารดาของตนเอาไว้ จึงละเว้นโทษประหาร แต่เนรเทศคนตระกูลสวีไปยังชายแดนแทน ไม่ให้มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงเฟิ่งหวงอีกเป็นอันขาด ด้านน่าหลานเยี่ยที่กลับมาถึงจวน เมื่อได้ทราบข่าวว่าสวีหลันฮวาหนีออกไปได้แล้ว เขาก็เจ็บใจเป็นอย่างมาก เสนาบดีสวีฉลาดไม่เบาถึงขั้นหาทางรอดให้บุตรสาวอย่างไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี หลิวอิ๋งถูกน่าหลานเยี่ยสอบปากคำอย่างหนัก ท้ายที่สุดนางไม่ยอมปริปาก และสังหารตนเองตกตายไปในทันที ส่วนศพของเซียงเซียงถูกพบที่ท้ายจวนอ๋อง เสวี่ยเอ๋อร์และชิงชิงหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นชิงชิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซียงเซียงและอดีตพระชายารองสวีต้องร่วมมือกันทำบางอย่างเป็นแน่เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางให้บ่าวไพร่ในจวนมานำศพของเซียงเซียงออกไปที่นอกจวน ตลอดทั้งวันนั้นนางรู้สึกว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย รู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใดเช่นกัน น่าหลานเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการสะสางปัญหาต่าง ๆ เมื่อเห็น