ปลายฝันรู้สึกผิดหวังในคำพูดของแม่เป็นอย่างยิ่ง เหตุใดแม่จึงพูดเช่นนี้ได้ นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว แม่ไม่คิดห่วงใยนางบ้างเลยหรือ?
"หากแกไม่พอใจแกก็ย้ายออกไปเสีย แม่รู้ว่าแกโตแล้ว แต่แกอย่ามาพูดจาต่อว่าลุงเขาแบบนั้น"
"แม่!!! ฝันพูดความจริงนะ!!!"
"ฝัน!!!"
ปัง!!!
ปลายฝันและแม่หันไปมองตามเสียงนั้นทันที มันเป็นเสียงปืนที่ดังมาจากทางหน้าบ้าน ปลายฝันสังเกตเห็นว่าแม่มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก มือของแม่จับมือของปลายฝันเอาไว้แน่น สายตาก็คอยมองไปที่หน้าบ้านด้วยความหวาดระแวง
"ฝัน"
"แม่นั่นมันเสียงอะไร?"
"แกเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้อง!!! หากได้ยินเสียงอะไรห้ามออกมาเด็ดขาด หากเข้าตาจนจริง ๆ แกก็หนีไปทางหน้าต่างเสีย แม่ไม่มีเงินให้แกหรอกนะ ลุงเขาติดพนันบอลตอนนี้แม่นำเงินของพ่อแกให้ลุงเขาไปใช้หนี้หมดแล้ว แต่มันไม่พอ มันจะตามมาฆ่าลุงเขา"
"แม่!!! แต่นั่นมันเงินของพ่อนะ"
"แกไปเถอะ ดูแลตัวเองให้ดีนะฝัน"
"แม่!!!"
แม่ผลักปลายฝันให้เข้าไปในห้อง ก่อนจะหากุญแจมาล็อกที่หน้าประตูห้องของปลายฝันเอาไว้
"เกิดสิ่งใดขึ้น!!!"
น่าหลานเยี่ยเดินเข้ามาหาปลายฝันด้วยแววตาที่สงสัยใคร่รู้ เขาเห็นใบหน้าของนางซีดเผือดก็รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
"ท่านอ๋อง ทองนั่นข้าขอยืมไปให้แม่ใช้หนี้ได้หรือไม่เพคะ?"
"เจ้าเอ่ยสิ่งใดกันข้าไม่เข้าใจ"
"คือข้า!!!"
ปังปังปัง!
เสียงปืนยิงรัวดังสามนัดจนปลายฝันสะดุ้งเฮือก นางค่อย ๆ เดินเข้าไปมองลอดที่ช่องตาแมวตรงประตู ภาพตรงหน้าทำให้นางแทบจะทรุดตัวลงไปกองกับพื้น ดีที่น่าหลานเยี่ยรีบเข้ามาประคองนางเอาไว้ได้ทัน
แม่กับพ่อเลี้ยงถูกยิงที่กลางหน้าผากเสียชีวิตทั้งคู่ ชายร่างสูงใหญ่สองสามคนที่เข้ามาเป็นคนลงมือ ตอนนี้กำลังสอดส่ายสายตามองไปโดยรอบเพื่อตามหาคนที่ยังหลงเหลืออยู่ พวกมันไม่มีทางปล่อยให้มีพยานเหลือรอดไปได้แม้แต่คนเดียว
สายตาของพวกมันมองตรงมาที่ห้องของปลายฝันที่ถูกล็อกประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัดตรงประตู น่าหลานเยี่ยที่รับรู้ได้ถึงภัยอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น เขารีบอุ้มปลายฝันที่ตอนนี้สติกระเจิดกระเจิงร้องไห้เหมือนคนบ้าขึ้นมาพาดไว้บนบ่า สายตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองไปที่ประตูเขาเห็นเช่นกันว่ามารดาของนางถูกคนฆ่าตายไปแล้ว ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับนางอีกต่อไป เขาจะต้องพานางไปอยู่กับเขา เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกวาดสายตามองหาสิ่งที่สามารถใส่ของใช้จำเป็นของนางติดตัวไปด้วยได้ เขาจัดการเก็บข้าวของและสิ่งของของนางใส่ถุงผ้าใบใหญ่ใบหนึ่ง มือหนาใหญ่ไม่ลืมที่จะยื่นไปหยิบแท่งหรรษาสั่นสามร้อยหกสิบองศาของนางใส่ลงไปในถุงผ้าด้วย
น่าหลานเยี่ยพาเสวี่ยเอ๋อร์พุ่งทะยานข้ามภาพวาดนั้นมาที่ตำหนักชินอ๋องของเขา เหล่าองครักษ์ที่ได้เห็นเช่นนั้นก็พากันตื่นตระหนกตกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ ท่านอ๋องของพวกเขาก็แบกสตรีกระโดดเข้ามาทางหน้าต่างเช่นนี้
"พวกเจ้าจงฟัง!!!"
"พ่ะย่ะค่ะชินอ๋อง"
"สั่งคนให้มาทุบหน้าต่างบานนี้ทิ้งเสีย แล้วทำการสร้างบูรณะกำแพงของข้าใหม่ ห้ามให้มีหน้าต่างเช่นนี้อีก!"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เหล่าองครักษ์แม้จะรู้สึกงุนงงสงสัยแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม ทำได้เพียงก้มหน้าทำตามคำสั่งของน่าหลานเยี่ย
น่าหลานเยี่ยครุ่นคิดในจิตใจ ที่เขาสั่งให้คนจัดการหน้าต่างนั้นทิ้งเสียข้อแรกคือเขากังวลว่าจะมีคนที่ไม่หวังดีสามารถข้ามมาได้เช่นเดียวกับเขา ข้อสองก็คือเขาไม่อยากให้นางจากเขาไป ในเมื่อนางไร้ที่พึ่งพิงแล้ว เขาก็จะดูแลชีวิตของนางเอง
น่าหลานเยี่ยอุ้มร่างบางวางลงบนเตียงนอน ก่อนจะสั่งให้นางกำนัลนำผ้าชุบน้ำมาให้เขา น่าหลานเยี่ยค่อย ๆ เช็ดตามใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาให้นางอย่างทะนุถนอม เขาไม่เคยเห็นสตรีใดจะร้องไห้ได้งดงามเช่นนางอีกแล้ว
เขาหลงรักนางเข้าเสียแล้ว
ปลายฝันยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ที่ไหลไม่ยอมหยุด เหตุการณ์ที่เลวร้ายเมื่อครู่นั้นราวกับฝันไป แต่มันก็คือเรื่องจริง แม่ได้จากเธอไปแล้ว
"ท่านอ๋อง ฮือออออ"
ปลายฝันโผเข้าไปกอดเขาเอาไว้แน่น ใบหน้าสวยซุกอยู่ที่แผงอกของเขาพลางร่ำไห้สะอึกสะอื้น น่าหลานเยี่ยที่มิเคยปลอบใจสตรีใดมาก่อนก็รู้สึกทำสิ่งใดไม่ถูก สายตาของเขาเหลือบไปเห็นแท่งหรรษาของนางที่หยิบติดมือมาด้วย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้าคม เขาผละออกจากนางก่อนจะเดินไปหยิบแท่งหรรษามามอบให้แก่นาง ปลายฝันขมวดคิ้วมุ่นจ้องมองเขาด้วยแววตาสงสัย คนกำลังโศกเศร้าเขาหยิบมันมายื่นให้นางทำไมกัน?
"ท่านอ๋อง"
"ข้าเห็นว่าเจ้าชอบเล่นกับมัน เจ้าเล่นเถิดเผื่ออาการโศกเศร้าจะได้บรรเทาลง ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนเจ้า นั่งดูเจ้าเล่นกับมัน หากเจ้าเมื่อยมือแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าเอง"
ปลายฝันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่เขาหื่นได้ทุกที่ทุกเวลาขนาดนี้เชียวหรือ?
"ท่านอ๋องปลอบใจสตรีเช่นนี้หรือเพคะ?"
"มิใช่ ข้ามิเคยปลอบใจสตรี มีแต่ลากพวกนางเข้าห้อง พอข้าปล่อยมวลน้ำสวรรค์มอบให้แก่พวกนาง พวกนางก็อารมณ์ดีเสียแล้ว เจ้าจะลองดูหรือไม่?"
"ท่านอ๋อง!!! ข้าเสียใจอยู่นะเพคะ!!!"
น่าหลานเยี่ยสะดุ้งตัวโยนเมื่อถูกนางเอ่ยตะคอกเช่นนี้ เขาจึงเดินเข้าไปหานางและโอบกอดนางเอาไว้ เขายอมนางเพียงผู้เดียวเชียวนะ หากเป็นสตรีอื่นเขาคงบั่นคอทิ้งไปเสียแล้ว
"เจ้าหักห้ามใจเสียเถิด มารดาเจ้าก็สิ้นไปแล้ว อยู่กับข้าเสียที่นี่ ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี"
ปลายฝันจ้องมองน่าหลานเยี่ยด้วยความรู้สึกที่หวาดหวั่น
นางไม่ใช่คนในยุคนี้ นางมาจากอีกโลกหนึ่ง โลกที่ต่างจากเขาเป็นอย่างมาก
"แต่ข้าไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้นะเพคะ"
"ข้าไม่สน ตอนนี้เจ้าอยู่กับข้าแล้ว เจ้าเป็นคนของข้า ต่อไปนี้เจ้าคือเสวี่ยเอ๋อร์ของข้า ลืมทุกสิ่งที่ผ่านมาเสียให้หมด เจ้าจะเป็นชายาเอกของข้า ข้าจะมอบทุกสิ่งให้แก่เจ้า เจ้าอยากจะพูดกับข้าเช่นไรก็ย่อมได้ ไม่ต้องมากพิธีใดใดกับข้าทั้งสิ้น เจ้าเข้าใจหรือไม่?"
ปลายฝันเม้มริมฝีปากแน่น จะกลับไปก็คงไม่ได้เสียแล้ว
เอาเถิดในเมื่อกลับไปไม่ได้ นางก็จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับเขา นับแต่นี้ไปนางคือเสวี่ยเอ๋อร์ของเขา
"เพคะ ข้าจะอยู่ที่นี่กับท่านอ๋อง"
น่าหลานเยี่ยฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เขาดึงร่างของนางมากอดเอาไว้อย่างทะนุถนอม
"เสวี่ยเอ๋อร์"
"เพคะ"
"หน้าอกเจ้ามันบดเบียดกายข้า ข้าทนไม่ไหวเสียแล้ว"
"ท่านอ๋อง!!! เหตุใดท่านจึงบ้ากามเช่นนี้เล่าเพคะ!!!"
"ข้าเป็นโรคแพ้นมเจ้าก็รู้!!!"
5 ปีต่อมา จวนอ๋องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ร่วมสองปี ด้วยเพราะน่าหลานเยี่ยต้องการปรับแต่งจวนใหม่ให้งดงามและสะดวกสบายน่าอยู่มากกว่าแต่ก่อน ยามนี้บุตรชายฝาแฝดของเขามีอายุได้สี่ขวบปีแล้วอยู่ในวัยที่ซุกซนและกำลังวิ่งเล่นไปทั่ว เขาจึงตั้งใจก่อสร้างจวนให้กว้างขวางมากกว่าเดิมตามที่เสวี่ยเอ๋อร์แนะนำ นับตั้งแต่กลับมาที่เฟิ่งหวง น่าหลานเยี่ยก็นำกระดิ่งทองคู่นั้นใส่กล่องล็อกกุญแจเอาไว้ในหีบอย่างดี หน้าต่างบานนั้นถูกทุบทิ้งและทำเป็นกำแพงจวนแทน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี "พระชายาเอกเพคะ ชาร้อนเพคะ"เสวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองชิงชิงพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลายปีก่อนชิงชิงเกือบตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ท่านหมอเทวดาผ่านมาพอดี น่าหลานเยี่ยจึงขอให้ท่านหมอเทวดาช่วยรักษาชิงชิง ทำให้นางฟื้นกลับมาได้อีกครา แม้ว่าสุขภาพจะไม่สู้ดีเท่าแต่ก่อนนัก แต่นางก็ดีใจที่ได้ฟื้นกลับมาพบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกครา "สำรับในครัวจัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องคงจะกลับมาแล้ว" "เรียบร้อยแล้วเพคะ" "อืม เจ้าไปทำสิ่งใดก็ไปเถิด" "เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา น่าหลานฉีกับ
เฟิ่งหวง ประเทศจีน เมื่อลงมาจากเครื่องบิน และผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่รอช้า นางรีบเดินทางไปที่เฟิ่งหวงในทันที การเดินทางมาครั้งแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่นางติดต่อไกด์คนหนึ่งให้เป็นผู้นำทางให้นางได้ ไกด์ผู้นั้นมารอรับนางที่สนามบิน ก่อนจะพานางไปยังจุดหมายปลายทางที่นางต้องการ ตลอดสองข้างทางแม้จะสวยงามสักเพียงใด แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ใจของนางยามนี้คิดถึงเพียงน่าหลานเยี่ยเท่านั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ในที่สุดนางก็มาถึงเฟิ่งหวง เมืองที่เป็นเป้าหมายในการจะได้พบน่าหลานเยี่ยของนาง เสวี่ยเอ๋อร์จัดการเก็บข้าวของที่จำเป็นภายในห้องพัก นางเปิดม่านห้องนอนออกเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำถั่วเจียงและสะพานหงเฉียว แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยหลายพันปี แต่นางก็ยังจำบรรยากาศเช่นนี้ได้ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่กลิ่นอายและวัฒนธรรมที่คุ้นตาก็ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น เพราะวันนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า นางจึงหลับพักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เพื่อค้นหาระฆังกระดิ่งทองใบนั้น ไกด์ที่นำทางคนนั้นแม้จะมองนางด้วยท่าทีแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้เอ่ย
น่าหลานเยี่ยยื่นมือไปหยิบระฆังกระดิ่งสีทองใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า เขายกแขนขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเอง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ มันอยู่ใกล้เขาจริง ๆ แท้จริงก็อยู่ที่จวนของเสนาบดีตระกูลสวี ส่วนเรื่องที่ว่ามันมาอยู่ได้เช่นไรนั้น เขาไม่ต้องการค้นหาต้นตอของมัน "พวกเจ้านำสมบัติเหล่านี้ส่งไปที่วังหลวงทั้งหมด""พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว น่าหลานเยี่ยจึงกลับมาที่จวนของตน เพื่อกลับมาเอาระฆังกระดิ่งอีกใบหนึ่งที่เขาเก็บเอาไว้ที่พ่อบ้านไป๋มาแขวนเอาไว้ที่ใต้ต้นดอกเหมยหลังเรือน โชคดีที่มันไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย จึงยังพอมีต้นไม้ให้เขาใช้แขวนระฆังกระดิ่งได้"ฝากเจ้าจัดการดูแลเรื่องสร้างจวนใหม่แทนข้าด้วย หากมีสิ่งใดเร่งรีบก็จงส่งคนไปแจ้งข้าที่วัดไป๋หม่า ข้าจะอยู่ที่นั่นในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนข้าจะกลับมาที่นี่" "ท่านอ๋อง พระชายารอง" "ไม่ต้องถามมาก ข้าจะไปตามนางกลับมา เรื่องใดที่ไม่สมควรรู้เจ้าก็จงเงียบปากเสีย อย่าถามให้มากความ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" น่าหลานเยี่ยเอ่ยกับพ่อบ้านไป๋เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปที่วัดไป๋หม่ากับน่
เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทะลุกลับมายังโลกอนาคต นางพยายามที่จะหาทางกลับไปยังเฟิ่งหวง แต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับถูกไฟเผามอดไหม้จนไม่เหลือซาก ราวกับว่าเพราะเกิดเพลิงไหม้ที่จวนอ๋อง ภาพนี้จึงถูกเผาไหม้ตามไปด้วย "ไม่จริง!!! แล้วข้าจะกลับไปหาท่านได้เช่นไร น่าหลานเยี่ยได้ยินข้าหรือไม่!!! ฮือออ น่าหลานเยี่ย!!!"เสวี่ยเอ๋อร์พยายามตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ผล นางทรุดลงนั่งบนเตียงก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น นางเฝ้าระวังตัว แต่นางลืมไปเสียสนิทว่าคนบ้าอย่างสวีหลันฮวาย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะนางสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้ต่อสวีหลันฮวาจนได้! "ฮืออออ!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ทรุดกายนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้นจนมืดค่ำ ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ภายในห้องก็มืดเช่นเดียวกัน เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เปิดไฟเอาแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ จนเวลาผ่านไปเกือบรุ่งเช้า นางจึงนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ หมอดูชรา!!! เมืองเฟิ่งหวง ยามนี้จวนอ๋องถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก หน้าต่างบานนั้นก็ถูกไฟเผาไหม้เช่นเดียวกัน บานหน้าต่างทั้งสองบานร่วงหล่นแตกหักกระจัดกระจายอยู่บนพื้นน่าหลานเยี่ยกำลังนั่งเอนกายพิงกำแพงอย่างคนสิ้นหวัง นางจะไม่กลับมาหาเขาอีกแล้วจริง ๆหรือ? "
เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นไม่น้อย เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะเจ็บป่วย นางจึงกินยาที่ตนเองนำติดมาด้วยเข้าไป จึงพอบรรเทาอาการลงไปได้ไม่น้อย "พระชายารองเพคะ เช้านี้มีโจ๊กรากบัวนะเพคะ" "ขอบใจเจ้ามาก ชิงชิง เหตุใดวันนี้อากาศจึงค่อนข้างเย็นนัก" "ไม่รู้สิเพคะ อาจจะเพราะท้องฟ้าครึ้มจึงทำให้อากาศเย็นลงเพคะ" "อืม" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีก นางยื่นมือไปจับช้อนขึ้นมาเพื่อจะกินโจ๊กรากบัว แต่ทว่ากลับมีเสียงร้องของเหล่าบ่าวไพร่ดังกึกก้องไปทั่วจวน"ชิงชิง เกิดสิ่งใดขึ้น?" "นั่นสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปดูเองเพคะ" ในขณะที่ชิงชิงกำลังวิ่งออกไปดูสถานการณ์ที่ด้านนอก เสวี่ยเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุสีเงินแหลมคมที่กำลังพาดอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง พร้อมกับแขนของสตรีผู้หนึ่งที่ล็อกคอของนางเอาไว้ "นังสารเลว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้กลับมาที่นี่อีก" "สวีหลันฮวา!!!" เสวี่ยเอ๋อร์ที่รู้ว่าเป็นสวีหลันฮวานางก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยิ่งพยายามขัดขืนคมมีดก็ยิ่งบาดลึกเข้าไปบนผิวขาวเนียนของนางจนมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา สวีหลันฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข "ขยับอีกสิ ข้า
เวลาเพียงชั่วข้ามคืน จวนตระกูลสวีกลับหมดสิ้นอำนาจวาสนาภายในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น่าหลานหลิงหวางเห็นแก่ที่เสนาบดีสวีเคยช่วยเหลือมารดาของตนเอาไว้ จึงละเว้นโทษประหาร แต่เนรเทศคนตระกูลสวีไปยังชายแดนแทน ไม่ให้มีโอกาสได้กลับเข้าเมืองหลวงเฟิ่งหวงอีกเป็นอันขาด ด้านน่าหลานเยี่ยที่กลับมาถึงจวน เมื่อได้ทราบข่าวว่าสวีหลันฮวาหนีออกไปได้แล้ว เขาก็เจ็บใจเป็นอย่างมาก เสนาบดีสวีฉลาดไม่เบาถึงขั้นหาทางรอดให้บุตรสาวอย่างไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี หลิวอิ๋งถูกน่าหลานเยี่ยสอบปากคำอย่างหนัก ท้ายที่สุดนางไม่ยอมปริปาก และสังหารตนเองตกตายไปในทันที ส่วนศพของเซียงเซียงถูกพบที่ท้ายจวนอ๋อง เสวี่ยเอ๋อร์และชิงชิงหันมาสบตากัน ก่อนจะเป็นชิงชิงที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด เซียงเซียงและอดีตพระชายารองสวีต้องร่วมมือกันทำบางอย่างเป็นแน่เพคะ" เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด นางให้บ่าวไพร่ในจวนมานำศพของเซียงเซียงออกไปที่นอกจวน ตลอดทั้งวันนั้นนางรู้สึกว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย รู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใดเช่นกัน น่าหลานเยี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการสะสางปัญหาต่าง ๆ เมื่อเห็น