LOGINภายในห้องรับรองขนาดใหญ่ บรรยากาศที่ตึงเครียดที่เกิดจากเหตุการณ์วุ่นวายในงานแต่งยังคงคลุมเครือ ลูกหยี ยืนอยู่ท่ามกลางความสับสน ในขณะที่คุณวิภาหรือที่เธอเรียกว่าแม่ใหญ่ เดินเข้ามาใกล้เธอ ดวงตาคมดุจะแผดเผา
“ลูกหยี ไม่ต้องมาทำหน้างอแงเลย ลูกต้องแต่งแทนพี่สาว”
ถึงแม้ลูกหยีจะตอบรับที่จะแต่งงานแต่สีหน้าของเธอก็แสดงออกชัดว่าโดนบังคับ ทั้งๆ ที่เธอรับปากแล้วแต่เสียงของแม่ใหญ่ก็ยังมาตอกย้ำอย่างไม่มีทางเลี่ยง ลูกหยีเงยหน้าขึ้นมองแม่ด้วยสายตาที่แสดงความไม่พอใจ
“ทำไมต้องเป็นหนูด้วยคะ แม่รู้ใช่ไหมว่าพี่ลูกเกดเขาหนีไปเพราะอะไร” ลูกหยีเถียงกลับ เสียงสั่นเล็กน้อย “เขาหนีไปเพราะไม่อยากแต่งกับลุงณัฐ ไม่ใช่ความผิดของหนู”
แม่ใหญ่ยืนตรงสีหน้าแสดงความโกรธที่ลูกหยีพูดตรงเกินไปแบบไม่ไว้หน้าเธอกับพี่สาว
“ใช่ พี่ลูกเกดหนี แต่เรื่องนี้มันจะจบแค่นี้ไม่ได้ มันเกี่ยวกับหน้าตาของครอบครัว พวกเราเป็นหนี้บุญคุณลุงณัฐมากมายตั้งแต่สมัยที่พ่อของลูกป่วยหนักและเขาเป็นคนช่วยไว้ ถ้าเราไม่แต่งตามสัญญา จะทำให้ครอบครัวเราดูแย่ในสายตาของทุกคน”
ลูกหยี ฟังคำพูดของแม่แล้วรู้สึกถึงความกดดันที่ถาโถม เธอไม่เคยสนใจเรื่องของหนี้บุญคุณหรือสัญญาครอบครัวมาก่อน สิ่งที่เธอรู้สึกคือความอยุติธรรมที่พี่สาวของเธอหนีไป แต่เธอกลับต้องแบกรับภาระนี้แทน
“แต่แม่คะ หนูไม่ใช่พี่ลูกเกด หนูไม่เหมือนเขา” ลูกหยีพูดเสียงดังขึ้น พลางส่ายหัว
“ลุงณัฐก็ไม่ได้ชอบหนู หนูรู้” หญิงสาวหันหน้าไปมองทางเจ้าบ่าวที่ยืนฟังอยู่อีกด้านอย่างเงียบๆ
แม่ใหญ่ขยับเข้าใกล้ ดวงตาแข็งกร้าวขึ้น
“ใช่ ลูกไม่เหมือนพี่สาว แต่ลูกต้องทำเพื่อครอบครัวนี้ จะชอบหรือไม่ชอบมันไม่สำคัญ ลูกเกดทำให้เราต้องเสียหน้า แต่เราจะแก้ไขเรื่องนี้ด้วยการแต่งงานของลูก มันคือหน้าที่ของลูก เข้าใจไหมลูกหยี ลูกอย่าลืมว่าลูกเป็นหนี้บุญคุณครอบครัวเราด้วย”
เสียงของแม่ใหญ่ดังชัดเจนพร้อมกับการทวงบุญคุณ มันเหมือนการตัดสินใจที่ไม่เปิดช่องให้ลูกหยีมีทางเลือกใด ๆ ลูกหยีกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกดดัน หัวใจเต้นแรง ความคิดภายในสมองวิ่งวุ่น เธอรู้สึกเหมือนถูกกดดันให้ทำสิ่งที่ไม่ต้องการอย่างหนัก ความรู้สึกโกรธและไม่พอใจท่วมท้นขึ้น แต่เธอก็รู้ว่าการปฏิเสธแม่ใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย
“แม่จะทำยังไงถ้าหนูไม่แต่ง” ลูกหยีถามเสียงสั่นเล็กน้อยแต่ก็ยังมีความถือดีและท้าทาย
แม่ใหญ่จ้องเธอนิ่ง ก่อนพูดออกมาช้า ๆ
“ถ้าลูกไม่แต่ง ครอบครัวเราจะล้มละลาย เราจะไม่มีที่ดิน ไม่มีบ้าน ทุกอย่างที่พ่อของลูกสร้างมาจะหายไปหมด ลูกคิดว่าอยากเห็นอย่างนั้นหรือ”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าไปในใจลูกหยีอย่างแรง นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการแต่งงาน แต่มันเป็นเรื่องของความอยู่รอดของครอบครัว เธอคิดถึงพ่อที่เธอรักและพยายามปกป้องครอบครัวเสมอมา แล้วหันไปมองแม่ใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยแววตาที่ไม่ยอมแพ้
“ก็ได้หนูจะทำเพื่อครอบครัว” ลูกหยีพูดเบา ๆ น้ำเสียงขมขื่น เธอรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หลังจากการเผชิญหน้ากับแม่ใหญ่ ลูกหยีกลับไปยังห้องที่ถูกจัดไว้เพื่อใช้เป็นห้องพักของเจ้าสาวในงานแต่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น เธอนั่งลงบนเตียง มองกระจกที่สะท้อนภาพตัวเองก่อนที่จะให้ทีมช่างแต่งตัวให้ใหม่
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ขัดจังหวะ เอกณัฐก้าวเข้ามาในห้องดวงตาเขาเย็นชาและดูเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักบางอย่าง
“ตกลงเธอจะยอมแต่งงานกับฉันจริง ๆ หรือเด็กน้อย”
เขาถามเสียงเรียบ แต่มันเจือความสงสัยในใจว่าเด็กสาวคนนี้จะยอมรับชะตากรรมที่เธอไม่ได้เลือกได้จริงหรือไม่
“ลุงก็เห็นว่าแม่บังคับให้หนูแต่ง” ลูกหยีตอบเสียงแผ่ว เธอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อดี
เอกณัฐถอนหายใจยาว มองเธอด้วยสายตาที่แฝงความรู้สึกบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก
“ฉันไม่ใช่ผู้ชายที่เธอจะพอใจหรอก ฉันไม่ได้อ่อนโยนเหมือนพ่อหนุ่มในฝันของเธอ แต่ถ้าเธอต้องการทำตามหน้าที่ ฉันจะไม่บังคับเธอ”
คำพูดของเอกณัฐทำให้ลูกหยีสับสน เธอคาดหวังว่าเขาจะบังคับหรือพูดอะไรที่ทำให้เธอตัดสินใจง่ายขึ้น แต่เขากลับปล่อยให้เธอเลือกเอง
“ใช่ หนูไม่อยากแต่งกับลุง แต่นี่เป็นเรื่องของครอบครัว หนูไม่มีทางเลือกและลุงก็ไม่อยากได้หนูเป็นเมียหรอกหนูรู้ เพราะหนูไม่ใช่พี่ลูกเกด” ลูกหยีตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเจ็บปวด เอกณัฐพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันหลังเตรียมจะออกจากห้อง
“ถ้าเธอพร้อม เราจะไปต่อกัน”
ประตูปิดลง ปล่อยให้ลูกหยีนั่งให้ช่างแต่งหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับความคิดมากมายที่วนเวียนในหัว เธอรู้สึกได้ถึงความกลัวและความไม่แน่นอนของชีวิตหลังจากนี้
หลังจากที่วันนี้ทั้งวันเต็มไปด้วยความท้าทายทั้งจากงานในไร่ชาและการเรียนรู้การทำอาหารจากเอกณัฐ ลูกหยี รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ เธอใช้พลังงานไปเยอะมาก แต่เธอก็ภาคภูมิใจในความสำเร็จเล็ก ๆ ของตัวเอง และก็ทำให้เธอรู้สึกพอใจ แม้จะต้องพบกับความยากลำบาก แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอกำลังค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับชีวิตที่ไร่ชาได้ ค่ำวันนั้น หลังจัดการเรื่องในครัวเสร็จ เมื่อเธอเดินกลับเข้าห้องนอน เธอพบว่าเอกณัฐนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะเล็ก ๆ ใกล้เตียง เขายังคงดูเคร่งขรึมและสงบเงียบเหมือนเคย แต่บรรยากาศในห้องตอนนี้กลับทำให้ลูกหยีรู้สึกแปลก ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องร่วมอยู่ในห้องเดียวกันกับเขาตอนที่สติครบถ้วน ไม่มีความเมาหรือความโกรธเป็นตัวขวางกั้น ที่ผ่านมานอกจากวันที่เธอเมาแล้ว ส่วนมากเอกณัฐก็จะไปทำงานต่อที่ห้องทำงานกลับมาอีกทีเธอก็หลับไปแล้ว ตอนนี้วันนี้เธอมีสติเต็มที่และเอกณัฐที่ปกติเวลานี้จะต้องอยู่ที่ห้องทำงาน แต่ตอนนี้เขากลับยังอยู่ที่นี่ สำหรับลูกหยีความตึงเครียดและความอึดอัดค่อย ๆ แทรกเข้ามาในอากาศเธอยืนอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ใจเธอเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “นั่งสิ” เ
หลังจากการสนทนานั้น ลูกหยีตัดสินใจรับความท้าทาย แม้ว่าภายในใจจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่เธอรู้ดีว่าถ้าเธอจะอยู่ที่นี่และใช้ชีวิตในฐานะภรรยาของเอกณัฐ เธอก็ต้องเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง เธอไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นภาระหรือผู้หญิงที่ไร้ประโยชน์ วันต่อมาหลังจากกลับมาจากทำงานในไร่ชา ลูกหยีก็ตรงเข้าไปในครัวทันที เธอมองดูเครื่องครัวและวัตถุดิบที่มีอยู่เพื่อที่จะเตรียมประกอบอาหาร ตอนนี้ลูกหยีทั้งรู้สึกตื่นเต้นและกังวลไปพร้อมกัน เพราะแม้ว่าเธอจะเคยทำอาหารบ้างแต่เธอก็ไม่เคยทำให้ใครกินแบบนี้ ถึงแม้ว่าเอกณัฐจะไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ในตอนนี้ แต่เขาก็เฝ้าดูเธออยู่เงียบ ๆ จากห้องนั่งเล่น เขาอยากรู้ว่าเธอจะทำได้ดีแค่ไหน ความคาดหวังในตัวเธอที่เขามีไม่ได้สูงมาก แต่เขาต้องการให้เธอพยายามจริง ๆ แค่นั้น ส่วนเรื่องการพัฒนาฝีมือเขารู้ว่าสำหรับเด็กรุ่นใหม่อย่างลูกหยีมันต้องค่อยเป็นค่อยไป ลูกหยีเริ่มทำอาหารอย่างตั้งใจ เธอเลือกทำเมนูง่ายๆ จากวัตถุดิบที่มีอยู่ เธอเลือกที่จะทำไข่เจียวและต้มจืด ที่เธอพอจะมีความถนัดอยู่บ้างและรู้ว่ามันต้องใส่อะไรลงไปบ้าง แม้ว่าในระหว่างการทำ เธอจะมีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการหา
หลังจากการเผชิญหน้ากับเอกณัฐที่กลางไร่ชา ความเงียบก็เข้ามาครอบคลุมทั้งสองคน ลูกหยีแสดงออกถึงความไม่พอใจกับชีวิตที่ถูกบังคับ กำลังหายใจลึกเธอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มสับสนไม่รู้จะทำอะไรต่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือเธอไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตในฐานะภรรยาที่เธอไม่ได้เลือกเอง ในที่สุดลูกหยีหันมองไปที่ไร่ชาอันกว้างใหญ่ที่ยืดไปสุดสายตา เธอคุ้นเคยกับไร่ชาแห่งนี้ เพราะตอนเด็ก ๆ เธอเคยมาที่นี่กับพ่อบ่อยครั้ง มันเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกสงบ แต่วันนี้มันกลับให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป“ถ้าลุงไม่อยากให้หนูหนี หนูมีข้อเสนอ” ลูกหยีพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เอกณัฐหันมามองเธอด้วยความสงสัย“ข้อเสนออะไร” เขาถามเสียงแข็ง แต่ก็กำลังสงสัยในคำพูดของเธอ เขาอยากรู้ว่าเธอจะมาไม้ไหน เพราะตั้งแต่เด็กที่เขารู้จักลูกหยีเป็นเด็กฉลาดแต่เจ้าเล่ห์พอตัว ลูกหยีหยุดครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความคิด ก่อนจะพูดออกมาอย่างด้วยท่าทางจริงจัง“หนูจะไม่หนีอีก แต่หนูไม่อยากเป็นแค่ภรรยาที่เป็นเพียงตัวแทนพี่ลูกเกด หนูจะอยู่กับลุง หนูอยากรับจ้างทำงานในไร่ชา ลุงให้หนูทำงานที่นี่ได้ไหม” เอกณัฐจ้องเธอด้วยสายตาที่
หลังจากที่ลูกหยีหลับสนิท เอกณัฐยืนมองดูเธอครู่หนึ่ง เขารู้สึกถึงความอ่อนล้าและความวุ่นวายทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในคืนแรกของชีวิตแต่งงาน เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและลูกหยีจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ที่แน่ ๆ คือพวกเขาทั้งคู่ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับชีวิตแต่งงานจริง ๆ “บางที การที่เธอเมาอาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่าก็ได้” เขาคิดในใจขณะมองดูเธอหลับสนิทบนโซฟาก่อนที่จะตัดสินใจช้อนเอาร่างบางมาไว้ในอ้อมแขน แล้วออกแรงอุ้มเธอให้มานอนบนเตียงให้สบายก่อนที่จะห่มผ้าให้ และนอนลงเคียงข้างกันเพื่อพักผ่อนจากเรื่องเครียดๆ มาทั้งวัน คืนแรกของการแต่งงานผ่านพ้นไปโดยที่บ่าวสาวไม่ได้เข้าหอกันจริง ๆ เพราะความเมาของลูกหยี รุ่งเช้าหลังคืนแต่งงานที่วุ่นวาย เอกณัฐตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ตามปกติเหมือนทุกวัน เขาเป็นคนที่รักษาระเบียบและมีวินัยในชีวิตประจำวันอย่างเคร่งครัด การดูแลไร่ชาขนาดใหญ่ของเขาที่เชียงใหม่ต้องใช้เวลาและความทุ่มเทเป็นอย่างมาก แต่ในวันนี้ความคิดของเขากลับถูกครอบงำด้วยเรื่องเมื่อคืนและสถานการณ์การแต่งงานที่ยุ่งเหยิง เขาคาดหวังว่าลูกหยีจะตื่นมาและพวกเขาจะเริ่มพูดคุยกันถึงชีวิตแต่งงานที่เพิ่งเริ่มต้
หลังจากงานแต่งเสร็จสิ้น บ่าวสาวเดินทางไปยังไร่ชาของเอกณัฐที่เชียงใหม่ บ้านหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเนินเขาและไร่ชาสีเขียวขจี ลูกหยีนั่งอยู่ในรถ เธอจ้องมองไร่ชาและบ้านหลังใหญ่ตรงหน้า ความรู้สึกหวาดหวั่นเกิดขึ้นเมื่อเธอตระหนักว่านี่คือสถานที่ที่เธอจะต้องใช้ชีวิตต่อจากนี้ “ตั้งแต่วันนี้ไป ที่นี่จะเป็นบ้านของเธอ” เอกณัฐกล่าวขณะที่เขาพาเธอเข้าไปในบ้าน บรรยากาศภายในบ้านเงียบสงบและเย็นชาเหมือนตัวเขา ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ไร้ความอบอุ่น ลูกหยีเดินตามเอกณัฐเข้าไปในห้องนอนใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ “เธอจะพักที่นี่ ฉันจะไปเคลียร์งานที่ห้องทำงานอีกห้อง” เอกณัฐพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ และไม่รอคำตอบใด ๆ ก่อนจะหันหลังออกจากห้อง ปล่อยให้ลูกหยียืนอยู่คนเดียวความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวท่วมท้น ลูกหยีเดินไปที่เตียงแล้วทรุดตัวลงนั่ง เธอหันไปมองกระจก เธอเห็นเงาของตัวเองในชุดเจ้าสาวที่ยังไม่ถอดออก “นี่คือชีวิตแต่งงานของฉันเหรอ” เธอถามตัวเองเบา ๆ น้ำตาค่อย ๆ ไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอพยายามกักเก็บมันไว้ แต่ความรู้สึกกดดัน ความผิดหวัง และความเหงากลับพุ่งเข้ามาอย่างหนัก หลังจากวันที่
ภายในงานที่เต็มไปด้วยแขกจำนวนมาก เสียงดนตรีไทยกลับมาบรรเลงอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงซุบซิบของแขกผู้ร่วมงานที่ยังคงไม่หายจากความตกใจ พิธีการถูกจัดการขึ้นใหม่อย่างเร่งด่วน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นปกติภายนอก แต่ภายในใจของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างเต็มไปด้วยความสับสนและกดดัน ลูกหยี ในชุดเจ้าสาวสีขาวงดงามที่เคยถูกเตรียมไว้ให้พี่สาวของเธอ เดินออกมาจากห้องด้วยท่าทีที่มั่นใจในสายตาของคนอื่น แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในฝันร้ายที่ไม่อาจหลีกหนีได้ เมื่อเธอเดินเข้ามาในบริเวณพิธี สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เธอ“เปลี่ยนเจ้าสาวเหรอ” เสียงซุบซิบเบาๆ จากแขกเริ่มดังขึ้นขณะที่พวกเขาสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างลูกหยีกับลูกเกด ทั้งสองสาวมีบุคลิกที่ต่างกันจนใคร ๆ ก็มองเห็นได้ชัดเจน เอกณัฐยืนอยู่ตรงหน้าเธอในชุดสูทสีขาวเรียบง่าย เขามองเธอด้วยสายตาที่นิ่งขรึมและไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แม้ว่าข้างในเขาจะยังคงไม่สามารถลืมความจริงที่ว่าเจ้าสาวตัวจริงหนีไปก็ตาม“ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะมาถึงจุดนี้” เอกณัฐคิดในใจ เขามองลูกหยีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา หญิงสาวที่เขาไม่เคยคิดว่าจะเอามาเป็นภรรยาของเขา







