Masuk
เสียงเครื่องดนตรีหยุดลง เหลือเพียงเสียงกีตาร์โปร่งที่ขับกล่อมอย่างนุ่มนวลภายใต้แสงไฟที่ส่องจากเพดาน อลิษากำลังขับร้องและเล่นกีตาร์โปร่งกลางผับแห่งหนึ่งใจกลางกรุง
นักดนตรีสาวผู้มากด้วยพรสวรรค์ อลิซ อลิษา อายุ 25 ปี ผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวย ใบหน้าเรียวยาว ริมฝีปากหยักได้รูปชวนมอง ดวงตาเรียวสวยแฝงไปด้วยความเศร้า
หญิงสาวร่างบางในเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนและกางเกงยีนสีเข้ม ผมยาวถูกรวบไว้ลวก ๆ เผยให้เห็นใบหน้าเรียวหวานได้รูปเปล่งประกายภายใต้แสงไฟ กำลังก้มมองสายกีตาร์ที่ปลายนิ้วเรียวกำลังเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล เสียงสายดีดประสานกับเสียงร้องของเธอ มีเสน่ห์ดึงดูดสะกดทุกสายตา
อลิษาระบายยิ้มบาง ๆ ระหว่างท่อนอินโทรที่เธอเล่นต่อเอง เธอหลับตาลงปล่อยให้นิ้วไล่ไปตามสายกีตาร์อย่างเป็นธรรมชาติ เกิดเป็นเสียงดังคลอเบา ๆ ไปตามจังหวะ
ที่มุมหนึ่งของบาร์ มีชายคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นจากแก้ววิสกี้ของตัวเอง ลูคัส เจ้าของธุรกิจเรือสำราญหลายแห่งมองไปยังเวทีอย่างตั้งใจและสนใจอย่างประหลาด ก่อนจะยกมือขึ้นกวักเรียกพนักงานในร้าน
“ไปเรียกผู้จัดการมาคุยกับฉันหน่อย”
“ครับ” พนักงานโน้มศีรษะเล็กน้อยรับคำสั่งลูกค้าคนสำคัญ
“คุณลูคัสมีอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้จัดการวัยกลางคน ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลทุกอย่างในผับแห่งนี้เดินเข้ามาหาด้วยความนอบน้อมในชุดสูทเข้ารูปร่าง
“ผมอยากให้นักร้องคนที่อยู่บนเวทีไปร้องเพลงบนเรือสำราญของผม ผมให้ราคามากกว่าที่นี่ 2 เท่าหรือเธออยากได้มากกว่านี้ผมก็ให้ได้”
“เอ่อ ผมไม่แน่ใจว่าเธอจะยอมไปหรือเปล่านะครับ”
ผู้จัดการลังเล เขาไม่แน่ใจว่าอลิษาจะยอมไปทำงานบนเรือสำราญหรือเปล่าเพราะคุณพ่อของเธอล้มป่วย และอีกอย่างหนึ่งคือคนที่ชวนอลิษาไปร่วมงานเป็นถึงมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลที่แม้แต่เขาก็ยังไม่กล้าปฏิเสธ ถึงอย่างไรเขาก็รักอลิษาเหมือนน้องสาวคนหนึ่งและห่วงความปลอดภัยของเธอไม่น้อย ถ้าจะต้องไปพัวพันกับพวกมาเฟีย
“ถ้าคุณทำสำเร็จ ผมมีรางวัลก้อนโตให้คุณ”
“คะ ครับ”
ถึงลูกค้าคนสำคัญจะเสนอเงินเป็นจำนวนมากแต่เขาก็ไม่อยากบังคับให้ใครไปทำงานที่ตัวเองไม่ยินยอม อย่างไรเขาก็ต้องให้อลิษาเป็นคนตัดสินใจเอง
เมื่อบทเพลงสุดท้ายจบลง เสียงปรบมือก็ก้องไปทั่วร้าน อลิษาส่งยิ้มบาง ๆ พลางก้มศีรษะขอบคุณ ก่อนจะวางกีตาร์ลงข้างตัวและเดินลงจากเวทีอย่างเรียบง่าย เธอกำลังจะกลับไปหลังร้าน แต่เสียงเรียกของผู้จัดการร้านก็ดังขึ้นเสียก่อน
“อลิซ มานี่หน่อย มีคนเสนอเงินให้ 2 เท่า อยากให้อลิซไปทำงานบนเรือสำราญ ถ้าอลิซไม่เต็มใจจะไปก็บอกพี่ได้นะ พี่จะช่วยคุยให้” น้ำเสียงของผู้จัดการแปลกไปจากทุกครั้ง ทั้งที่ปกติมักจะชอบเย้าแหย่เธอเสียมากกว่า
“เขาอยู่ที่ไหนคะ อลิซจะคุยกับเขาเอง”
อลิษาเดินตามผู้จัดการร้านไปหาชายหนุ่มท่าทางน่าเกรงขาม เสียงเพลงเบา ๆ จากวงดีเจดังขึ้นด้านหลัง ฟลายด์ยืนประเมินชายหนุ่มในชุดสบาย ๆ ใบหน้าคมสันของเขาฉายแววอ่อนโยนแฝงไปด้วยความดุดัน
“คุณลูคัส คนที่คุณต้องการพบมาแล้วครับ”
“สวัสดีครับ ผมลูคัส” ชายหนุ่มเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “เชิญคุณ…” ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม
“อลิซครับ” เป็นผู้จัดการที่แนะนำให้รู้จัก
“เชิญคุณอลิซนั่งครับ”
อลิษานั่งลงตามคำเชิญชวนของชายหนุ่ม ความประหม่าครอบงำไปทั้งร่างจนต้องหลุบตาลงเล็กน้อย ก่อนจะได้ยินเสียงของชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล
“ผมจะไม่เสียเวลาพูดอะไรมาก ผมเห็นว่าคุณมีความสามารถ อยากให้คุณไปทำงานบนเรือสำราญ ผมให้ค่าจ้าง 2 เท่าของที่นี่…” เขาหยุดเล็กน้อยให้เธอมีเวลาพิจารณาข้อเสนอของเขา
“ขอบคุณนะคะสำหรับข้อเสนอที่น่าสนใจ แต่… ฉันคงไม่ไป” อลิษาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ดวงตาคมเงยหน้ามองหญิงสาวนิ่ง ขณะที่หยิบนามบัตรออกมาวางบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปตรงหน้าหญิงสาว ก่อนจะทิ้งมันเอาไว้ตรงนั้น
“ถ้าคุณเปลี่ยนใจติดต่อผมมาได้ทุกเมื่อ” อลิษามองนามบัตรบนโต๊ะด้วยความสับสน
ผู้จัดการตบไหล่เธอเบา ๆ “อลิซจะไม่ลองพิจารณาดูหน่อยเหรอ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ นะ คราวที่แล้วก็พลาดไปทีหนึ่งแล้ว พี่ว่าครั้งนี้มันก็น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปทำงานบนเรือสำราญตามที่ฝันเอาไว้”
“แต่…”
งานใหม่ แต่หน้าที่เดิม…อลิษานั่งทรุดอยู่บนม้านั่งริมท่าเรือพลางร้องไห้โวยวายเสียงดังและน้ำตาไหลเป็นสาย มือ 2 ข้างกุมหน้าอกและไหล่ตัวเอง“เพราะนาย! เพราะนายทั้งหมดเลยนะ! ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ฉันคงขึ้นเรือทันแล้ว! แล้วฉันจะอยู่ที่นี่ยังไง ต่อไปนายต้องรับผิดชอบ!” เธอสะอื้นโฮและตะโกนเสียงสั่นชายแปลกหน้ามองเธอด้วยสายตานิ่งขรึม ปากเม้มเข้ากันเล็กน้อย เขาไม่ชอบเห็นผู้หญิงร้องไห้ ทั้งรำคาญทั้งหงุดหงิด แต่ใจลึก ๆ ก็อดสงสารไม่ได้เพราะนี่คือผู้หญิงคนเดียวที่เพิ่งช่วยเขาไว้เมื่อวาน“หยุดร้องก่อนได้ไหม!” เสียงทุ้มเรียบ ๆ แต่ทรงพลังและน่าเกรงขามเป็นอย่างมากดังขึ้นอลิษายังคงสะอื้นไม่ยอมหยุดและยิ่งร้องไห้แรงขึ้นด้วยความสิ้นหวัง ชายคนนั้นถอนหายใจแรงแล้วเดินออกไปอย่างหัวเสียทิ้งหญิงสาวเอาไว้ที่เดิม แต่เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาอย่างรวดเร็วมือหนากระชากร่างเล็กให้ลุกขึ้นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวจนอลิษาเสียหลัก แต่กลับกลายเป็นว่าเธอถูกรวบเข้ามาในอ้อมกอดแกร่งแทน“หยุดร้องนะ” เขากระซิบเบา ๆ ข้างหูพลางกอดเธอแน่นกว่าเดิมอลิษาเงยหน้ามองใบหน้าคมที่ใกล้จนแทบสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ทั้งความตกใจและความซาบ
ผมไม่ไปเช้าวันถัดมา อลิษาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยอาการมึนงงเล็กน้อย สิ่งแรกที่เธอทำคือหันมามองโซฟา “ว่างเปล่า”ไม่มีเงาของชายแปลกหน้าคนนั้นอีกต่อไป เธอถึงกับถอนหายใจออกมายาว ๆ อย่างโล่งอก “ดีแล้ว… คงไปแล้วสินะ” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะลุกจากเตียง ตั้งใจจะเก็บห้องให้เรียบร้อยแล้วออกไปหาอะไรอร่อย ๆ กินตอนเช้าแต่ไม่ทันได้ก้าวพ้น 2 ก้าว เสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้นแอ๊ด…อลิษาหันไปมองด้วยความตกใจพร้อมดวงตาที่เบิกกว้างในทันที ชายแปลกหน้าคนนั้นเดินออกมาจากห้องน้ำ เส้นผมเปียกเล็กน้อย หยดน้ำยังเกาะอยู่บนแผงอก เขาพันผ้าขนหนูไว้ที่เอวเพียงผืนเดียวแถมยังพันแบบลวก ๆ จนแทบจะหลุดอยู่รอมร่อ“กรี๊ด!” อลิษาร้องเบา ๆ แล้วรีบยกมือขึ้นปิดตาทันที “นาย! ทำไมไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนออกมาเล่า!”เสียงทุ้มของเขาดังขึ้นอย่างเรียบเฉย “เสื้อผ้าเปื้อนเลือด… ผมซักไว้ ยังไม่แห้ง”อลิษายังคงยืนหลับตาแน่น “งั้นก็รอก่อนสิ ฉัน… ฉันหาของให้” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือทั้งจากความเขินและความหงุดหงิดปนกันเธอเดินถอยหลังไปยังกระเป๋าเดินทางแล้วล้วงหาเสื้อผ้าอย่างรีบร้อน ก่อนจะคว้าเสื้อฮูดตัวใหญ่สีเทาออกมาได้ “นี่ ใส่ต
ชายหนุ่มยืนนิ่งมองหน้าเธออยู่เช่นนั้นและไม่รีบร้อนนัก “ผมไม่ไป”คำตอบที่ได้รับทำเอาอลิษาอึ้งไป 2 วินาที ก่อนที่ใบหน้าเธอจะร้อนผ่าวด้วยความโกรธและความเครียด “อะไรนะ! นายพูดว่าไม่ไปเหรอ!”เขาพยักหน้าเรียบ ๆ “ผมมีธุระของผมเอง คุณหาทางไปเอาเองแล้วกัน”“ธุระบ้าอะไรของนาย!” เธอตะโกนออกไปโดยไม่คิดจากอารมณ์โมโห “รู้ไหมว่าฉันต้องเสียงาน ต้องโดนตัดเงิน เพราะนาย! ถ้าเมื่อคืนฉันไม่ช่วยนาย ถ้าไม่พาเข้ามาที่ห้องนี้ ฉันคงอยู่บนเรือแล้ว!”ชายหนุ่มมองเธอเงียบ ๆ แววตาคมสงบนิ่งจนน่าหงุดหงิดอลิษากำหมัดแน่น “เพราะนายแท้ ๆ เลย นายรู้ไหมว่าฉันทำงานตรงนั้นแทบตายกว่าจะได้ขึ้นร้องเพลงบนเรือนั่น แล้วตอนนี้… ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว!”น้ำเสียงเธอสั่นเครือในตอนท้าย พอพูดจบก็เม้มปากแน่นอย่างคนที่ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือจะตะโกนออกไปอีกดีในความเงียบที่ถาโถมเข้ามา ชายแปลกหน้าสบตาเธอครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงแววบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก “งั้นผมจะพาไป”อลิษาชะงักแล้วเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง“แต่ก่อนจะไป… เธอต้องเตรียมใจไว้หน่อย” เขาพูดต่อช้า ๆ “เพราะฟังจากที่เธอพูดมา ผมว่าเรือมันคงไปแล้วไม่ว่าท่าไหนก็ตาม”
ห้ามทำร้ายฉันเด็ดขาดแววตาเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “ผมสัญญา” เสียงทุ้มของเขานุ่มลงจนเกือบจะอ่อนโยนอลิษามองหน้าเขาอีกครั้งเพื่อยืนยันความมั่นใจก่อนจะยื่นมือออกไปให้พยุง เธอรู้สึกถึงน้ำหนักตัวเขาที่เอนพิงมาเล็กน้อยตอนเดินออกจากตรอกนั้นเมื่อมาถึงห้อง อลิษารีบเปิดไฟจนห้องสว่างขึ้นในทันที ตามด้วยเสียงประตูปิดดัง ‘แกร๊ก’ เบา ๆ เธอวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียง ก่อนหันกลับมามองชายแปลกหน้าที่พิงกรอบประตูอยู่ ใบหน้าเขาขาวซีดและเต็มไปด้วยเหงื่อ“นั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวฉันเอากล่องยามาให้” เธอพูดเสียงเรียบแต่ใจเต้นแรงไม่หยุดอลิษาเปิดกระเป๋าเดินทางของตัวเองแล้วหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา จากนั้นนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าเขา เริ่มจัดการล้างแผลที่แขนด้วยมือที่สั่นน้อย ๆ เพราะทั้งกลัวและระแวงในเวลาเดียวกัน“เจ็บไหมคะ?” อลิษาถามเสียงเบา“ไม่เท่าไร” เขาตอบสั้น ๆ ดวงตาคมมองเธออยู่นานจนเธอต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา หลังจากพันผ้าเสร็จ เธอก็ถอนหายใจโล่งอกขึ้นนิดหนึ่ง“เรียบร้อยแล้วค่ะ... เอ่อ ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”ชายแปลกหน้าขยับสายตาขึ้นมองเธอแล้วพูดเสียงนิ่ง“แค่เจอกันครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องรู้จักชื
ห้ามทำร้ายฉันเด็ดขาดอลิษาสะดุ้งสุดตัว ถุงของในมือแทบหล่น เธอชะงักค้างอยู่ตรงนั้น ใจเต้นแรงจนแทบกลืนเสียงหายใจของตัวเองไม่ลง มือที่เย็นเฉียบจับข้อเท้าเธอแน่น ทำให้เธอเผลอกรีดร้องในลำคอเบา ๆ ก่อนเสียงนั้นจะตามมา“ชะ… ช่วยด้วย” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่าราวกับเป็นแรงเฮือกสุดท้าย“คนไทย!!” อลิษาร้องออกมาด้วยความตกใจเป็นอย่างมากอลิษาเบิกตากว้าง เธอหันมองรอบตัวทันทีแต่ก็พบเพียงแค่ทางเดินมืดมิดและเงียบงัน ก่อนจะก้มลงช้า ๆ ให้แสงจากโทรศัพท์ส่องไปยังร่างของใครบางคนที่นอนฟุบอยู่ข้างถังขยะ เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นและคราบเลือดบางจุด ดูเหมือนจะบาดเจ็บหนัก“คุณ… คุณพูดภาษาไทยเหรอ!” อลิษารีบพูด มือสั่นน้อย ๆ เพราะทั้งตกใจและกลัวในเวลาเดียวกันร่างตรงหน้าขยับเล็กน้อยและพยายามเงยหน้าขึ้น เสียงครางเบา ๆ หลุดออกมาอีกครั้ง “ช่วย… ด้วย…”อลิษากลืนน้ำลาย เธอย่อตัวลงนั่งยองใกล้ ๆ พลางยกโทรศัพท์ขึ้นส่องดูให้ชัด และทันทีที่แสงไฟส่องถึงใบหน้า... เธอก็ชะงักนิ่งงันเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนอลิษามองร่างตรงหน้าด้วยความตกใจและสับสน แต่เมื่อเห็นเลือดซึมตรงแขนเสื้อของเขา ความกลัวก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยความเป็นห่วง“คุณ… เป็
กรุงโรมยินดีต้อนรับเสียงประกาศจากกัปตันดังขึ้น“เรือกำลังเทียบท่าที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ขอให้ผู้โดยสารและลูกเรือทุกท่านเตรียมสัมภาระและผ่านจุดตรวจตามลำดับ...”อลิษาสะพายกระเป๋าเป้เล็ก ๆ เดินตามขบวนพนักงานลงจากเรือ เสียงผู้คนมากมายหลายภาษาคุยกันเสียงดังจอแจ “โอ้... แค่กลิ่นอากาศก็ไม่เหมือนที่ไหนเลย” เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ พลางสูดกลิ่นอากาศที่ปนกลิ่นกาแฟและกลิ่นขนมอบจากร้านใกล้ท่าเรือ“โรมยินดีต้อนรับเธอจ้ะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ลิเดียในชุดสูทลำลองสีเบจเดินมาพร้อมรอยยิ้ม“เราได้ห้องพักที่ Hotel Serafina อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ แต่เส้นทางค่อนข้างวกวนไปหน่อยนะ เตรียมใจไว้ได้เลย”อลิษาหัวเราะออกมาเบา ๆ “ฟังดูเหมือนการผจญภัยเล็ก ๆ เลยค่ะ”“ใช่สิ เรามาเที่ยวทั้งที ต้องเดินทางที่เหมือนกับการผจญภัยบ้างถึงจะสนุก” ลิเดียตอบพลางเรียกรถแท็กซี่คันสีเหลืองสด ทั้ง 2 คนขึ้นรถไปพร้อมกระเป๋าใบเล็กในมือการเดินทางใช้เวลาไม่นาน แต่ถนนในโรมแคบและเต็มไปด้วยโค้งหักศอกทำเอาทั้งสองต้องนั่งโยกไปมาตามแรงรถ ลิเดียหัวเราะจนอลิษาอดขำตามไม่ได้ เมื่อมาถึง Hotel Serafina โรงแรมเก่าที่ตกแต่งสไตล์ยุโรปคลาสสิก ผนัง







