LOGINรีบ
คืนนี้เป็นคืนแรกที่เธอกลับมาร้องเพลงในผับอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นสถานบันเทิงเหมือนกัน ทว่าการตกแต่งมันช่างต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งความหรูหราทั้งแขกเหรื่อที่มายังสถานที่แห่งนี้จนเธออดประหม่าไม่ได้ มือที่กุมกันอยู่ชื้นเหงื่อเล็กน้อย แม้ว่าจะอยู่ในห้องที่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ
“คุณอลิซพร้อมไหมครับใกล้จะขึ้นเวทีแล้ว คุณอิริคให้มาตาม ถ้าคุณอลิซพร้อมแล้วก็เตรียมตัวได้เลยนะครับ” ชาร์ลเดินมาตามหญิงสาวตามคำสั่งเจ้านายหนุ่ม
“ตอนนี้ไม่พร้อมก็คงต้องพร้อมแล้วละค่ะ”
“งั้นเชิญครับ” ชาร์ลผายมือให้หญิงสาวเดินนำออกไปก่อน ก่อนจะก้าวเท้ามาเดินเคียงข้างหญิงสาว “วันนี้คุณอลิซร้องแค่ 2 เพลงพอนะครับ เสร็จแล้วก็ไปพักได้เลย”
“ค่ะ มีอะไรอีกไหมคะที่ฉันจะต้องทำ”
“ไม่มีแล้วครับ” หลังจากแจ้งตารางงานให้ทราบ ชาร์ลก็ขอตัวออกไปก่อนปล่อยให้หญิงสาวทำสมาธิและมีเวลาเตรียมตัวก่อนจะขึ้นแสดง
“อ๋อ ถ้าร้องเพลงเสร็จแล้วให้ไปพบคุณอิริคที่ห้องนะครับ”
“ค่ะ”
เพลงที่อลิษาเลือกในวันนี้คือ ‘เพลงลึกซึ้งกินใจ’ ทันทีที่เสียงหวานเปล่งออกมา ผู้ชมทั่วทั้งร้านต่างเงียบเสียงลงและจับจ้องไปยังหญิงสาวบนเวที ทุกคนตั้งใจฟังเสียงร้องของอลิษาพร้อมกับโยกกายตามจังหวะเพลงช้า ๆ ดื่มด่ำกับเสียงดนตรีที่กำลังถูกถ่ายทอดจากหญิงสาวตัวเล็ก ๆ แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันยังตกอยู่ในห้วงอารมณ์
ไม่เว้นแม้กระทั่งชายหนุ่มผู้เย็นชา ดุดัน และท่าทางน่าเกรงขามที่กำลังยืนมองหญิงสาวอยู่บนชั้น 3 ของสถานบันเทิงกำลังขับกล่อมผู้คนให้หลงใหลอยู่ในอารมณ์เดียวกันกับเธอ
“งานที่ฉันสั่งเรียบร้อยดีไหม?” อิริคถามความคืบหน้าที่เขาสั่งให้ชาร์ลไปจัดการเมื่อสัปดาห์ก่อนขณะที่สายตาไม่ละไปจากภายหญิงสาวร่างเพรียวบางในชุดเกาะอกรัดรูปสีดำและกางเกงหนังสีดำทรงเข้ารูป ใบหน้าเรียบเฉยเผยรอยยิ้มจาง ๆ ตรงมุมปากเพียงชั่วครู่ ทว่าไม่มีใครสังเกตทัน
“เรียบร้อยแล้วครับ ลูกค้าชอบคุณอลิซมากเลยนะครับ”
อิริคยืนนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์จนไม่ได้ยินว่าลูกน้องคนสนิทพูดอะไรด้วย
“แล้วเรื่องเรือ… เราจะตามต่อไหมครับ”
“…”
“เจ้านาย… เจ้านาย…” เมื่อไม่ได้คำตอบจากผู้เป็นนาย เขาก็มองตามทิศทางที่อิริคกำลังจ้องมองไม่วางตา เจ้านายเขาสนใจคุณอลิษาอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่เดินเข้ามาเจ้านายก็เอาแต่มองออกไปด้านนอกกระจกบานใหญ่บนชั้น 3 ของผับตลอด
“วันนี้คุณอลิซสวยมากเลยนะครับ มิน่าแขกที่เข้ามาต่างชมชอบเธอกันยกใหญ่” ชาร์ลเอ่ยขึ้นลอย ๆ ข้างเจ้านายหนุ่ม ก่อนจะหันไปส่งยิ้มกวน ๆ ให้อิริค “คุณอิริคว่าไหมครับ?”
“ถ้าว่างมาก… ก็ไปช่วยคนอื่นเสิร์ฟอาหาร” อิริคหันมาสบตาชาร์ลพร้อมรอยยิ้มเย็นยะเยือก เล่นเอาชาร์ลเสียวสันหลังวาบ
“อะ เอ่อ มะ ไม่ดีกว่าครับ ผมมีงานที่จะต้องไปทำ ผมขอตัวก่อนนะครับ” ชาร์ลพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก รีบถอยหลังออกจากห้องทำงานเจ้านายอย่างเร่งรีบ
เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วทั้งผับ อลิษาก้มศีรษะเป็นการขอบคุณและรู้สึกดีใจที่มีคนชอบในการแสดงของเธอ ขณะที่กำลังจะก้าวลงจากเวที บรรดาแขกต่างกรูกันเข้ามามอบทิปให้จนเธอรับเอาไว้ไม่ไหว ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
และแล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เธอได้ทิปเยอะมากกว่าตอนที่ร้องเพลงอยู่บนเรือสำราญถึง 10 เท่า อลิษาก้มลงมองเงินที่ถือไว้ในมือหลังจากตรวจนับเสร็จเรียบร้อยแล้วคล้ายกับมีแสงสว่างส่องนำทางในการหาเงิน ได้มากกว่าบนเรืออีก…
แบบนี้ถ้าเธอทำงานที่นี่รอเรือกลับมา เธอก็ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวันอีกต่อไป
“คุณอลิซเชิญทางนี้ครับ” เสียงเรียกของชาร์ลทำให้เธอหลุดออกภวังค์ของความคิด คิ้วเรียวสวยยกขึ้นเล็กน้อย
“คะ จะพาอลิซไปไหนเหรอคะ?” เธอถามชาร์ลด้วยความสงสัย
“คุณอิริคเรียกให้คุณอลิซไปพบครับ”
“เขาบอกอะไรไหมคะ”
“ไม่ได้บอกอะไรครับ แค่บอกว่า ถ้า… คุณอลิซร้องเพลงเสร็จแล้ว ก็ให้พาคุณไปพบ”
“ค่ะ”
อลิษาเดินผ่านขึ้นมาทีละชั้น เธอไม่เคยเดินสำรวจผับแห่งนี้เลยสักครั้ง ส่วนมากเธออาศัยอยู่แค่ชั้น 3 และชั้น 1 เฉพาะเวลาทำงานเท่านั้น ซึ่งบริเวณชั้นสองที่เธอมองผ่าน ๆ น่าจะเป็นโซน VIP สำหรับแขกหรือคนสำคัญที่แวะเวียนเข้ามา
ภายในห้องทำงานหรือห้องพักส่วนตัวมาเฟียหนุ่ม ร่างสูงใหญ่กำลังเปิดแฟ้มเอกสารในมืออ่านอย่างเคร่งเครียด ก่อนจะวางมันลงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู แล้วเงยหน้าหันไปยังทิศทางที่มาของเสียง
ก๊อก ก๊อก
ชาร์ลเคาะประตูห้อง 2-3 ทีก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
“คุณอลิซเชิญเลยครับ”
“คุณไม่เข้าไปเหรอคะ”
ชาร์ลไม่ยอมตอบแถมยังปิดประตูให้พร้อมเสร็จสรรพ และยังยืนรออยู่หน้าห้องราวกับว่ากลัวเธอจะหนีออกไป
ความอึดอัดเริ่มก่อตัวจนเธอไม่กล้าขยับตัวไปไหน จะเอ่ยถามเขาก่อนดีไหมนะ เขาก็ไม่ยอมเปิดปากคุยกับเธอ แล้วจะเรียกเธอมาทำไมให้เสียเวลา เธอจึงยืนปักหลักอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปที่ไหน
อิริคเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาว “เชิญนั่งครับ จะยืนค้ำหัวผมอีกนานไหม” แต่อลิษาก็ยังไม่ยอมไปนั่งที่โซฟา
“คุณพูดเรื่องธุระของคุณมาเลยดีกว่าค่ะ”
“รีบ!!”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณพูดธุระของคุณมาเลยดีกว่า ฉันจะได้กลับไปพักผ่อน”
“คุณก็มีความสามารถเหมือนกัน เรียกลูกค้าได้ดีเลยทีเดียว ต่อไปให้คุณร้องเพลงเพิ่มเป็นคืนละ 2-3 เพลง ส่วนกลางวันคุณอยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไปได้ตามสบาย ผมจะให้จาริคหรือไม่ก็ชาร์ลไปเป็นเพื่อนถ้าไม่รู้จักเส้นทาง คุณสามารถเรียกใช้ได้ตามสบาย”
“เรื่องไปข้างนอกไม่ต้องรบกวนคุณหรอกค่ะ ขอแค่อย่างเดียว”
อิริคยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนจะอ่านความคิดของเธอออก ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วแจงรายละเอียดให้หญิงสาวฟัง
“ถ้าเรื่องค่าจ้างผมจะให้เป็นรายวันตามความเหมาะสม อาจจะมีโบนัสให้ถ้าคุณสามารถเรียกลูกค้าด้วยเสียงดนตรีของคุณได้” อิริคเงยหน้ามองหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยถาม
“คุณมีข้อสงสัยอะไรไหม”
“ไม่มีค่ะ” อลิษาเตรียมจะเดินออกจากห้องทำงานของมาเฟียหนุ่มไป ทว่าเขากลับเรียกเธอเอาไว้ก่อน
“อย่าเพิ่งไป ถ้าต้องการอะไรเป็นพิเศษให้แจ้งกับชาร์ลหรือจาริคได้เลย พวกเขา 2 คนจะจัดการให้คุณเอง” เขายังคงพูดจาเคร่งขรึมอยู่เป็นนิจ ทั้ง ๆ ที่ในใจกลับใส่ใจเธออยู่ไม่น้อย
“ขอบคุณค่ะ”
รีบคืนนี้เป็นคืนแรกที่เธอกลับมาร้องเพลงในผับอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นสถานบันเทิงเหมือนกัน ทว่าการตกแต่งมันช่างต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งความหรูหราทั้งแขกเหรื่อที่มายังสถานที่แห่งนี้จนเธออดประหม่าไม่ได้ มือที่กุมกันอยู่ชื้นเหงื่อเล็กน้อย แม้ว่าจะอยู่ในห้องที่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ“คุณอลิซพร้อมไหมครับใกล้จะขึ้นเวทีแล้ว คุณอิริคให้มาตาม ถ้าคุณอลิซพร้อมแล้วก็เตรียมตัวได้เลยนะครับ” ชาร์ลเดินมาตามหญิงสาวตามคำสั่งเจ้านายหนุ่ม“ตอนนี้ไม่พร้อมก็คงต้องพร้อมแล้วละค่ะ”“งั้นเชิญครับ” ชาร์ลผายมือให้หญิงสาวเดินนำออกไปก่อน ก่อนจะก้าวเท้ามาเดินเคียงข้างหญิงสาว “วันนี้คุณอลิซร้องแค่ 2 เพลงพอนะครับ เสร็จแล้วก็ไปพักได้เลย”“ค่ะ มีอะไรอีกไหมคะที่ฉันจะต้องทำ”“ไม่มีแล้วครับ” หลังจากแจ้งตารางงานให้ทราบ ชาร์ลก็ขอตัวออกไปก่อนปล่อยให้หญิงสาวทำสมาธิและมีเวลาเตรียมตัวก่อนจะขึ้นแสดง“อ๋อ ถ้าร้องเพลงเสร็จแล้วให้ไปพบคุณอิริคที่ห้องนะครับ”“ค่ะ”เพลงที่อลิษาเลือกในวันนี้คือ ‘เพลงลึกซึ้งกินใจ’ ทันทีที่เสียงหวานเปล่งออกมา ผู้ชมทั่วทั้งร้านต่างเงียบเสียงลงและจับจ้องไปยังหญิงสาวบนเวที ทุกคนตั้งใจฟังเสียงร้องของอลิษาพร้อ
งานใหม่ แต่หน้าที่เดิม…อลิษานั่งทรุดอยู่บนม้านั่งริมท่าเรือพลางร้องไห้โวยวายเสียงดังและน้ำตาไหลเป็นสาย มือ 2 ข้างกุมหน้าอกและไหล่ตัวเอง“เพราะนาย! เพราะนายทั้งหมดเลยนะ! ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ฉันคงขึ้นเรือทันแล้ว! แล้วฉันจะอยู่ที่นี่ยังไง ต่อไปนายต้องรับผิดชอบ!” เธอสะอื้นโฮและตะโกนเสียงสั่นชายแปลกหน้ามองเธอด้วยสายตานิ่งขรึม ปากเม้มเข้ากันเล็กน้อย เขาไม่ชอบเห็นผู้หญิงร้องไห้ ทั้งรำคาญทั้งหงุดหงิด แต่ใจลึก ๆ ก็อดสงสารไม่ได้เพราะนี่คือผู้หญิงคนเดียวที่เพิ่งช่วยเขาไว้เมื่อวาน“หยุดร้องก่อนได้ไหม!” เสียงทุ้มเรียบ ๆ แต่ทรงพลังและน่าเกรงขามเป็นอย่างมากดังขึ้นอลิษายังคงสะอื้นไม่ยอมหยุดและยิ่งร้องไห้แรงขึ้นด้วยความสิ้นหวัง ชายคนนั้นถอนหายใจแรงแล้วเดินออกไปอย่างหัวเสียทิ้งหญิงสาวเอาไว้ที่เดิม แต่เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาอย่างรวดเร็วมือหนากระชากร่างเล็กให้ลุกขึ้นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวจนอลิษาเสียหลัก แต่กลับกลายเป็นว่าเธอถูกรวบเข้ามาในอ้อมกอดแกร่งแทน“หยุดร้องนะ” เขากระซิบเบา ๆ ข้างหูพลางกอดเธอแน่นกว่าเดิมอลิษาเงยหน้ามองใบหน้าคมที่ใกล้จนแทบสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ทั้งความตกใจและความซาบ
ผมไม่ไปเช้าวันถัดมา อลิษาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยอาการมึนงงเล็กน้อย สิ่งแรกที่เธอทำคือหันมามองโซฟา “ว่างเปล่า”ไม่มีเงาของชายแปลกหน้าคนนั้นอีกต่อไป เธอถึงกับถอนหายใจออกมายาว ๆ อย่างโล่งอก “ดีแล้ว… คงไปแล้วสินะ” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะลุกจากเตียง ตั้งใจจะเก็บห้องให้เรียบร้อยแล้วออกไปหาอะไรอร่อย ๆ กินตอนเช้าแต่ไม่ทันได้ก้าวพ้น 2 ก้าว เสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้นแอ๊ด…อลิษาหันไปมองด้วยความตกใจพร้อมดวงตาที่เบิกกว้างในทันที ชายแปลกหน้าคนนั้นเดินออกมาจากห้องน้ำ เส้นผมเปียกเล็กน้อย หยดน้ำยังเกาะอยู่บนแผงอก เขาพันผ้าขนหนูไว้ที่เอวเพียงผืนเดียวแถมยังพันแบบลวก ๆ จนแทบจะหลุดอยู่รอมร่อ“กรี๊ด!” อลิษาร้องเบา ๆ แล้วรีบยกมือขึ้นปิดตาทันที “นาย! ทำไมไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนออกมาเล่า!”เสียงทุ้มของเขาดังขึ้นอย่างเรียบเฉย “เสื้อผ้าเปื้อนเลือด… ผมซักไว้ ยังไม่แห้ง”อลิษายังคงยืนหลับตาแน่น “งั้นก็รอก่อนสิ ฉัน… ฉันหาของให้” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือทั้งจากความเขินและความหงุดหงิดปนกันเธอเดินถอยหลังไปยังกระเป๋าเดินทางแล้วล้วงหาเสื้อผ้าอย่างรีบร้อน ก่อนจะคว้าเสื้อฮูดตัวใหญ่สีเทาออกมาได้ “นี่ ใส่ต
ชายหนุ่มยืนนิ่งมองหน้าเธออยู่เช่นนั้นและไม่รีบร้อนนัก “ผมไม่ไป”คำตอบที่ได้รับทำเอาอลิษาอึ้งไป 2 วินาที ก่อนที่ใบหน้าเธอจะร้อนผ่าวด้วยความโกรธและความเครียด “อะไรนะ! นายพูดว่าไม่ไปเหรอ!”เขาพยักหน้าเรียบ ๆ “ผมมีธุระของผมเอง คุณหาทางไปเอาเองแล้วกัน”“ธุระบ้าอะไรของนาย!” เธอตะโกนออกไปโดยไม่คิดจากอารมณ์โมโห “รู้ไหมว่าฉันต้องเสียงาน ต้องโดนตัดเงิน เพราะนาย! ถ้าเมื่อคืนฉันไม่ช่วยนาย ถ้าไม่พาเข้ามาที่ห้องนี้ ฉันคงอยู่บนเรือแล้ว!”ชายหนุ่มมองเธอเงียบ ๆ แววตาคมสงบนิ่งจนน่าหงุดหงิดอลิษากำหมัดแน่น “เพราะนายแท้ ๆ เลย นายรู้ไหมว่าฉันทำงานตรงนั้นแทบตายกว่าจะได้ขึ้นร้องเพลงบนเรือนั่น แล้วตอนนี้… ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว!”น้ำเสียงเธอสั่นเครือในตอนท้าย พอพูดจบก็เม้มปากแน่นอย่างคนที่ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือจะตะโกนออกไปอีกดีในความเงียบที่ถาโถมเข้ามา ชายแปลกหน้าสบตาเธอครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงแววบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก “งั้นผมจะพาไป”อลิษาชะงักแล้วเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง“แต่ก่อนจะไป… เธอต้องเตรียมใจไว้หน่อย” เขาพูดต่อช้า ๆ “เพราะฟังจากที่เธอพูดมา ผมว่าเรือมันคงไปแล้วไม่ว่าท่าไหนก็ตาม”
ห้ามทำร้ายฉันเด็ดขาดแววตาเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “ผมสัญญา” เสียงทุ้มของเขานุ่มลงจนเกือบจะอ่อนโยนอลิษามองหน้าเขาอีกครั้งเพื่อยืนยันความมั่นใจก่อนจะยื่นมือออกไปให้พยุง เธอรู้สึกถึงน้ำหนักตัวเขาที่เอนพิงมาเล็กน้อยตอนเดินออกจากตรอกนั้นเมื่อมาถึงห้อง อลิษารีบเปิดไฟจนห้องสว่างขึ้นในทันที ตามด้วยเสียงประตูปิดดัง ‘แกร๊ก’ เบา ๆ เธอวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียง ก่อนหันกลับมามองชายแปลกหน้าที่พิงกรอบประตูอยู่ ใบหน้าเขาขาวซีดและเต็มไปด้วยเหงื่อ“นั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวฉันเอากล่องยามาให้” เธอพูดเสียงเรียบแต่ใจเต้นแรงไม่หยุดอลิษาเปิดกระเป๋าเดินทางของตัวเองแล้วหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา จากนั้นนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าเขา เริ่มจัดการล้างแผลที่แขนด้วยมือที่สั่นน้อย ๆ เพราะทั้งกลัวและระแวงในเวลาเดียวกัน“เจ็บไหมคะ?” อลิษาถามเสียงเบา“ไม่เท่าไร” เขาตอบสั้น ๆ ดวงตาคมมองเธออยู่นานจนเธอต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา หลังจากพันผ้าเสร็จ เธอก็ถอนหายใจโล่งอกขึ้นนิดหนึ่ง“เรียบร้อยแล้วค่ะ... เอ่อ ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”ชายแปลกหน้าขยับสายตาขึ้นมองเธอแล้วพูดเสียงนิ่ง“แค่เจอกันครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องรู้จักชื
ห้ามทำร้ายฉันเด็ดขาดอลิษาสะดุ้งสุดตัว ถุงของในมือแทบหล่น เธอชะงักค้างอยู่ตรงนั้น ใจเต้นแรงจนแทบกลืนเสียงหายใจของตัวเองไม่ลง มือที่เย็นเฉียบจับข้อเท้าเธอแน่น ทำให้เธอเผลอกรีดร้องในลำคอเบา ๆ ก่อนเสียงนั้นจะตามมา“ชะ… ช่วยด้วย” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่าราวกับเป็นแรงเฮือกสุดท้าย“คนไทย!!” อลิษาร้องออกมาด้วยความตกใจเป็นอย่างมากอลิษาเบิกตากว้าง เธอหันมองรอบตัวทันทีแต่ก็พบเพียงแค่ทางเดินมืดมิดและเงียบงัน ก่อนจะก้มลงช้า ๆ ให้แสงจากโทรศัพท์ส่องไปยังร่างของใครบางคนที่นอนฟุบอยู่ข้างถังขยะ เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นและคราบเลือดบางจุด ดูเหมือนจะบาดเจ็บหนัก“คุณ… คุณพูดภาษาไทยเหรอ!” อลิษารีบพูด มือสั่นน้อย ๆ เพราะทั้งตกใจและกลัวในเวลาเดียวกันร่างตรงหน้าขยับเล็กน้อยและพยายามเงยหน้าขึ้น เสียงครางเบา ๆ หลุดออกมาอีกครั้ง “ช่วย… ด้วย…”อลิษากลืนน้ำลาย เธอย่อตัวลงนั่งยองใกล้ ๆ พลางยกโทรศัพท์ขึ้นส่องดูให้ชัด และทันทีที่แสงไฟส่องถึงใบหน้า... เธอก็ชะงักนิ่งงันเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนอลิษามองร่างตรงหน้าด้วยความตกใจและสับสน แต่เมื่อเห็นเลือดซึมตรงแขนเสื้อของเขา ความกลัวก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยความเป็นห่วง“คุณ… เป็







