"มาร์ครอฮิลล์อยู่บนรถดีกว่า ฮิลล์ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวมานะครับ" ตาคมยิ้มหวานส่งให้ร่างที่นั่งเบาะนั่งข้างคนขับในรถหรู
"ขอบคุณครับฮิลล์" หนุ่มเจ้าของใบหน้าหวานยิ้มหวานขอบคุณ
มาร์ค รามิล วรเตชะทรัพทย์ นักร้องนักแสดงหนุ่มผู้มากความสามารถทอดสายตาตามแผ่นหลังกว้างของฮิลล์ไป เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นรู้สึกอย่างไรกับตน เขาเองไม่ได้รังเกียจอีกฝ่ายแต่เพียงแค่รอเวลาให้เขาคนนั้นกล้าที่จะเดินเข้ามาบอกตนเองตรงๆ เสียทีก็เท่านั้น เขาชอบความชัดเจนไม่ชอบอะไรที่ต้องมานั่งเดาตามประสาคนที่มีความมั่นใจสูง
....ร้านกาแฟชื่อดัง....
ร่างสูงของฮิลล์กำลังยืนรอเครื่องดื่มที่เพิ่งสั่งไปไม่นาน แต่พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าคุ้นตากำลังนั่งคุยกะหนุงกะหนิงมีความสุขอยู่กับใครอีกคนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ตาคู่คมหรี่เล็กจดจ้องสองร่างนั้นด้วยความสนใจ
'พี่ตฤณกลับมาเมื่อไหร่ครับ'
'พี่เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่เดือนเอง พี่ไปหาโปที่บ้านมาถึงรู้ว่ายายไม่อยู่แล้ว พี่เสียใจด้วยนะ'
'ขอบคุณครับพี่ แต่ยายแกไปสบายแล้วล่ะครับไม่ต้องเหนื่อยต้องทุกข์แล้ว ก็คงมีแต่คนอยู่นี่แหละที่ต้องอยู่ให้ได้'
'โตขึ้นเยอะเลยน้าาา เจ้าก้อนข้าวเหนียวของพี่' อีกฝ่ายเอื้อมมือมาลูบหัวคู่สนทนาด้วยความเอ็นดู
'ไม่ต้องเลย ชิ~ ไปแล้วก็ไม่เคยติดต่อมาเลย' น้ำเสียงกระเง้ากระงอดออกมาจากคนที่กำลังทำปากยื่นจู๋ขมุบขมิบด้วยความน้อยใจ
เปรี๊ยะ!
สองเท้าของเจ้าของร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสแล็กสีดำย่างเดินเข้ามายังร่างของบุคคลทั้งสอง ดวงตาภายใต้กรอบแว่นปรากฏร่องรอยแห่งความไม่พอใจผุดขึ้นรางๆ
"อ้าว อาโปมาทำอะไรอ่ะ" ร่างหนาแทรกตัวนั่งที่ว่างข้างๆ ร่างบางกว่า
"O_O" อาโปเบิกตาตกใจ เหตุไม่คาดคิดว่าจะเจออีกฝ่ายที่นี่
"ว่ายังไงล่ะ" ผู้มาใหม่ยิ้มถามย้ำอีกครั้ง แต่ดวงตาใต้กรอบแว่นนั้นไม่ปรากฏร่องรอยของความเฟรนด์ลี่เฉกเช่นภาพลักษณ์ที่กำลังแสดงออก
"อ่าา...เอาะ...อ่อ บังเอิญเจอเพื่อนเลยมานั่งคุยกันอ่ะ" อาโปหลบสายตาที่กำลังจ้องกดดันตนเองตอบ
"อ่ออ...เพื่อน?" ฮิลล์มองบุคคลที่สามอย่างพินิจพิเคราะห์ ไอ้หมอนี่กล้าโกหก! เขาได้อย่างไร หมามันยังดูรู้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่เพื่อนมัน ดูจะอายุมากกว่าเขาและมันเสียด้วยซ้ำ
"อื้อ" อาโปผงกหัวขึ้นลงย้ำคำตอบ ทำไมเขาต้องกังวลว่ามันจะเข้าใจผิดด้วยวะ
"ไม่เชิงเพื่อนหรอกครับ ผมเป็นพี่ชายที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก" ผู้ถูกจ้องด้วยสายตาไม่วางตาแก้แทน
"อ้ออ...แค่คนรู้จัก" มุมปากบนใบหน้าคมแสยะยิ้ม
"ไม่ใช่แค่รู้จักครับ เราโตมาด้วยกันจะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าเพื่อนสนิทก็ไม่เชิง จะเรียกว่าพี่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องทางดีเอ็นเอ งั้นเรียกว่าพี่ชายที่สนิทก็แล้วกันครับ" ตฤณตอบอย่างใจเย็น แต่นั่นกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายปรากฏร่องรอยของความไม่พอใจบนใบหน้ามากยิ่งขึ้น มุมปากที่กำลังแสยะยิ้มถูกหุบลง ดวงตาคมจ้องนิ่งมาที่ตนเอง ถ้าคิดจะตีฝีปากกันละก็เขาเองก็เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร เจ้าเด็กไม่มีมารยาทคนนี้จะต้องถูกสั่งสอน
เปรี๊ยะ!
หัวคิ้วบนใบหน้าหล่อเหลากระตุกเล็กน้อย เพราะมึงคนเดียวทำให้กูต้องโดนมองด้วยสายตาแบบนั้น เขาฮิลล์ไม่ชอบให้ใครมองด้วยสายตาแบบไอ้นี่ เขาไม่ใช่เด็ก! (แกมันเด็กไม่รู้จักโตจ๊ะฮิลล์)
ครืดด~
เสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนดังขึ้นขัดจังหวะบรรยากาศอึมครึมที่กำลังเริ่มก่อตัว เจ้าของโทรศัพท์รีบหยิบขึ้นแนบหูเมื่อเห็นรายชื่อบนหน้าจอ
"ฮิลล์กำลังจะไปครับ" ชายหนุ่มพูดกับปลายสาย
"เชิญตามสบายนะครับ พอดีต้องไปแล้ว" เขาเอ่ยกับชายหนุ่มสองคนนั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบเครื่องดื่มจากพนักงานซึ่งกำลังถือใส่ถาดมาให้
อาโปมองตามหลังคนที่กำลังเดินลุกจากไป หลังจากร่างของคนคนนั้นเดินออกจากร้านได้ไม่กี่ก้าวก็พลันมีร่างของชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามารับเครื่องดื่มในมือฮิลล์ไป ปกติมันไม่ได้เป็นคนที่จะบริการคนอื่นแบบนี้ แสดงว่าคนคนนั้นต้องมีความสำคัญกับมันมากพอดู แค่เห็นไกลๆ ก็รู้ว่าตนเองไม่มีอะไรจะไปเทียบได้เลย อาโปชะเง้อคอมองตามร่างของทั้งคู่ตาละห้อย
"มันเป็นยังไงฮึ๊ กับไอ่หนุ่มนั่น" ตฤณถามคนที่นั่งตรงข้าม
"เปล่า ไม่ยังไง แค่เพื่อน"
"เพื่อน" ตฤณเลิกคิ้วประหลาดใจอย่างยากจะเชื่อในคำตอบ
"อือ เพื่อน" อาโปหลุบสายตาลงตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า
"เพื่อนก็เพื่อน เย็นนี้กินข้าวกันหน่อยไหม" ตฤณเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายลำบากใจ ดูก็รู้ว่าน้องไม่อยากตอบ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมนอนเหม่ออยู่อย่างนั้น แต่แล้วเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นติ๊ง!ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากริว: “ว่างไหม?”หัวใจผมกระตุกวูบแปลก ๆ ก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไปฝุ่น: “มีอะไร?”รออยู่ครู่หนึ่ง ข้อความถัดไปก็เด้งขึ้นมาริว: “มาหาหน่อย”ผมนิ่วหน้า อะไรของเขาวะ?ฝุ่น: “นายอยู่บ้าน?”ริว: “หน้าห้องนาย”หน้าห้อง?!ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที กวาดตามองนาฬิกา…จะเที่ยงคืนแล้วหมอนี่มันคิดอะไรอยู่ถึงมาโผล่แถวนี้เวลานี้วะ?ผมหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกไปตามที่เขาบอกผมเปิดประตูออกไปก็เจอเขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนทุกครั้ง แต่มีบางอย่างในแววตาที่ดูไม่เหมือนเดิม“มาทำไม?” ผมถามพลางกอดอก“คุยกันหน่อย”“เรื่องอะไร?”“เรื่องของเรา”คำว่า ‘เรา’ ทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย“ไม่มีอะไรให้คุย” ผมบอกเสียงเรียบ “ฉันพูดไปหมดแล้ว”ริวไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขาแค่ยกบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้แล้วจุดไฟ สูดมันเข้าปอดก่อนจะพ่นควันออกมาช้า ๆ“…ฉันไม่ชอบความไม่แน่นอน” เขาพูดขึ้นในที่สุด“หืม?”“ฉันไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ” เขาเอียงหน้ามองผม “แล้วฉัน
ผมกอดอกมองสองพี่น้องเถียงกันอย่างไม่รู้จะทำยังไง เรื่องระหว่างผมกับริวมันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้รุยเข้าใจได้"กูสองคนแค่จูบกันไอ้รุย ยังไม่ได้เอากัน"พวกยากูซ่านี่เชื่อถือไม่ได้จริงๆ ไม่ได้เอาพ่อง!"ถ้าจูบกันแล้วก็ต้องเป็นแฟนกันสิ จะมาแอบกินกันเฉยๆ เหมือนไอ้ฮิลล์ไม่ได้นะ" รุยเถียงต่อ"เราแค่จูบกันรุย นายอย่างี่เง่า" น้ำเสียงของไอ้ยากูซ่าขี้เก๊กเริ่มระอา"นายอย่ามาโมโหกลบเกลื่อน" รุยยังคงไม่ยอม"วุ้ยย! มึงจะอะไรนักหนากะอีแค่จูบ ใครๆ เขาก็จูบกันได้ตอนเมา" ผมพูดแทรกขึ้นมา ถ้าผมไม่มีปัญหาทุกอย่างก็น่าจะจบสินะ"พ่องมึงดิ จะมีกี่คนที่จูบพี่ของเพื่อนตอนเมา"มากกว่าจูบกูก็ทำกันมาล่ะ"เออ…มันก็แค่อุบัติเหตุ ใช่ไหม?" ประโยคหลังผมหันไปหาริว เพื่อขอกำลังสนับสนุน"อือ…" ริวพยักหน้า“กูไม่ใช่เด็กแล้วนะริว!"ปั่ก!"ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ..." ริวตบหัวรุย"อู้ยยส์...เจ็บนะ พะ..พี่" ไอ้รุยเริ่มกลัวเมื่อเห็นสายตาของพี่ชายตัวเองริวถอนหายใจก่อนล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เขาพ่นควันออกจากปากก่อนพูดประโยคที่สิ้นคิดที่สุดออกมา"คบก็คบสิ""ชะ...ช่ายย ห๊ะ!! เดี๋ยวๆ คบอะไร ใครคบกัน" ผมถามด้วยความตกใจ"
…ไซโคลน Talk…ผมยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องพักในโรงแรม มองแสงไฟของโตเกียวที่ส่องสว่างอยู่เบื้องล่าง แต่ความคิดของผมกลับไม่ได้อยู่ที่ทิวทัศน์เหล่านั้นเลยโทรศัพท์ในมือสั่นอีกครั้ง แจ้งเตือนข้อความจากไต้ฝุ่น“มาถึงแล้ว”ผมกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วโป้งแตะไปบนหน้าจอโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบชักมือกลับราวกับของร้อนสารวัตร… มาถึงญี่ปุ่นแล้วจริง ๆผมถอนหายใจแรง กดโทรศัพท์ปิดเสียงก่อนจะโยนมันลงบนโต๊ะ ผมเงยหน้ามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นภาพสะท้อนของชายหนุ่มที่พยายามทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นผมคิดว่า… ถ้าออกมาห่างไกลขนาดนี้แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นผมคิดว่า… ถ้าหายไปจากสายตาเขาแล้ว อีกฝ่ายก็คงไม่รู้สึกอะไรแต่เปล่าเลย…สารวัตรตามมาถึงที่นี่และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่ได้แน่ใจว่าตัวเองอยากให้เขาหาเจอหรือไม่…สไนเปอร์ Talk…ผมยืนอยู่หน้าโรงแรมหรูใจกลางโตเกียว มองขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นห้องพักของไซโคลนไต้ฝุ่นเป็นคนบอกผมว่าไซโคลนอยู่ที่นี่ และถึงแม้เขาจะไม่ได้บอกเลขห้องตรง ๆ แต่แค่มีข้อมูลนี้ก็มากพอแล้วผมกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆถ้าผมขึ้นไป
…สไนเปอร์ Talk…ผมมองจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แต่มันกลับเบลอไปหมดคดียังคงเดินหน้า งานทุกอย่างยังคงต้องทำเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างในใจที่คอยฉุดรั้งให้ผมไม่มีสมาธิไซโคลนไม่อยู่แล้วจริง ๆเขาหายไปจากชีวิตผมแบบสมบูรณ์แบบ… ไม่มีร่องรอย ไม่มีการติดต่อกลับ ไม่มีแม้แต่เงาของเขาให้เห็นผมถอนหายใจ กวาดสายตามองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวจะโทรไปดีไหม?นิ้วผมเลื่อนไปที่ชื่อของเขา ก่อนจะชะงัก… และกดปิดหน้าจอไปถ้าเขาอยากให้ผมตามหา… เขาคงจะทิ้งอะไรไว้ให้ผมบ้างแต่เขาเลือกที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ แปลว่าเขาคงต้องการแบบนั้นจริง ๆ“เฮ้อ…” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน“เข้ามา”จ่าแชมป์โผล่หน้าเข้ามา “สารวัตร ผมมีข่าวบางอย่าง”ผมเลิกคิ้ว “ข่าวอะไร?”“คนของเราสืบมาให้แล้วครับ…” จ่าแชมป์ส่งแฟ้มเอกสารให้ผม “คุณไซโคลนอยู่ที่ญี่ปุ่นจริง ๆ และดูเหมือนเขาจะตั้งใจอยู่ที่นั่นอีกนาน”ผมนิ่งไป ก่อนจะเปิดแฟ้มออกดู รายละเอียดที่ระบุอยู่ตรงหน้ามันชัดเจนจนผมปฏิเสธไม่ได้และมีรูปที่ไซโคลนไปไหนมาไหนกับริวอย่างสนิทสนม…ใจผมคล้ายๆ มีอะไรหนักๆ กดทับไว้จนเจ็บผม… กำลังจะเสียเขาไปแล้วจริง ๆ
…ไซโคลน Talk…ผมไม่ได้หลบหน้าเล่น ๆ แต่ผมเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมไม่ได้ติดต่อกลับไปหาสารวัตรอีกเลย ไม่มีการส่งกาแฟ ไม่มีการไปหา ไม่มีแม้แต่ข้อความทิ้งไว้เหมือนทุกทีผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อรั้นและไม่เคยยอมแพ้ แต่ครั้งนี้… บางทีผมอาจต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือจริง ๆตอนแรกมันก็ยากอยู่หรอก กว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึง ไม่ให้เผลอกดโทรหาหรือส่งข้อความไป ผมต้องข่มใจตัวเองอยู่หลายครั้ง ต้องดื่มให้หนักขึ้น ต้องเอางานมากลบความคิด แต่สุดท้ายแล้ว… มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักทุกคืนก่อนนอน ผมยังคงเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หวังว่าบางทีสารวัตรอาจจะเป็นฝ่ายส่งข้อความมาก่อน หรืออย่างน้อยอาจจะมีมิสคอลสักสายแต่ไม่มีเลย…เหมือนเขาหายไปจากชีวิตของผมโดยสมบูรณ์ผมเอนตัวพิงกระจกห้องพักโรงแรมในโตเกียว มองแสงไฟของเมืองที่ยังคงสว่างไสว ทว่าความเงียบในห้องมันกลับกดดันผมยิ่งกว่าความวุ่นวายข้างนอกผมคิดถึงสารวัตร…คิดถึงคนที่เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยเวลาถูกแหย่ คิดถึงคนที่บ่นว่าผมกวนประสาทแต่ก็ยังยอมให้มากวนอยู่ทุกวันผมไม่ได้อยากหนีมาไกลขนาดนี้หรอก แต่ผมรู้ว่า ถ้ายังอยู่ที่เดิม ผมคงไม่มีวันอดใจไม่ไหวแล้วกระโจนไปหาเขาอีกตาม
…สไนเปอร์ Talk…ไซโคลนไม่ได้พูดเล่น เขาเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้รับข้อความหรือสายโทรศัพท์จากไซโคลนอีกเลย ไม่มีการแวะมาหา ไม่มีใครส่งกาแฟมาให้ที่โรงพักตอนเช้า และแน่นอน… ไม่มีใครมารอผมเลิกงานอีกเลยผมคิดว่าตัวเองควรจะโล่งใจ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเหรอ? ผมอยากให้ไซโคลนออกไปจากชีวิต อยากให้ไซโคลนอยู่ห่างจากปัญหาทั้งหมด เขาอยากปกป้องไซโคลนจากความวุ่นวายนี้…แต่ทำไมมันถึงรู้สึกไม่ใช่แบบนั้นวะ?ในช่วงแรกผมพยายามไม่คิดอะไรมาก มันก็ดีแล้วที่เขาได้ไปใช้ชีวิตปกติของตัวเอง ไม่ต้องมาลำบากกับผมแต่พอผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไซโคลนก็ยังไม่ติดต่อมา“หมอนั่นคงจะลืมฉันไปแล้วจริง ๆ” ผมพึมพำช่วงเวลาที่ไม่มีไซโคลนอยู่รอบตัว ทำให้รู้ว่า… ชีวิตของผมขาดอะไรบางอย่างไปจริง ๆไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าที่ปกติจะมีกาแฟจากร้านประจำส่งมาให้พร้อมโน้ตแซว ๆ จากไซโคลน หรือแม้แต่ช่วงเย็นที่ผมมักจะเจอเขามานั่งรออยู่ในห้อง พอไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว วันเวลาของผมกลับดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาดผมทำงานเหมือนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม ออกไปสืบคดีเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันผิดแปลกไปหมด“สารวัตร… คุณโอเคหรือเปล่า?”เส