ชั้นบนสุดของคอนโด L
ร่างหนาสวมผ้าขนหนูคาดปิดทับท่อนล่างของตนเองยืนกอดอกมองร่างบางกว่าที่กำลังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนวมผืนแพงบนเตียงของตนเอง ชายหนุ่มเดินไปข้างๆ เตียง ก่อนยกเท้าขึ้นไปเขี่ยๆ ร่างนั้น
"ลุกแต่งตัวได้แล้ว กูจะไปส่ง" ฮิลล์ใช้เท้าสะกิดร่างของข้าศึกที่สิ้นฤทธิ์
"อื้ออออ~" ร่างที่โดนสะกิดทำเพียงแค่พลิกกลิ้งหมุนไปอีกฝั่งของเตียง
"อย่าให้กูต้องถีบตกเตียง" ฮิลล์เอ่ยเสียงเข้ม นี่ก็สายแล้วเขาต้องรีบไปแต่งตัวแล้วล่ะ ถ้าเกิดเข้างานสายมีหวังโดนบ่นหูชาเละ ถึงแม้ว่าจะฝึกงานโรงงานของพ่อตนเองก็ตามเถอะ
"โถ่โว๊ย!! มึงก็ไปก่อนสิ กูต้องขับรถของไอ่ไต้ฝุ่นกลับ!" อาโปกระเด้งตัวลุกอย่างหัวเสีย
"แล้วมึงเป็นอะไรกับกูถึงจะอยู่ห้องกูตอนกูไม่อยู่" เขาเป็นคนค่อนข้างจะหวงความเป็นส่วนตัว คงไม่สะดวกใจให้อีกฝ่ายนอนในห้องนี้ต่อในระหว่างที่ตนเองไม่อยู่
"......" อาโปพูดอะไรไม่ออก ก็จริงของอีกฝ่าย เขาเป็นอะไรกับมันก่อน ประโยคเพียงประโยคเดียวสามารถสลัดความง่วงงุนออกไปได้อย่างได้ผลชะงัด
"กูจะไปแต่งตัว หวังว่าออกมาคงไม่เจอมึงนะ" ฮิลล์บอกอีกฝ่ายที่นิ่งงันไป ยอมรับว่าเขาอาจพูดแรงแต่ถ้าถามว่ารู้สึกผิดไหมก็ไม่ ฮิลล์คิดในใจระหว่างที่ร่างสูงของตนเองเดินออกไปยังห้องแต่งตัว
....อพาร์ทเม้น S….
อาโปทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความอ่อนแรง แค่ก้าวขาเดินยังยากนี่ต้องหอบสังขารขึ้นบันไดมาอีก ไอ้บ้านั่นก็ไม่คิดถนอมกันหน่อยเหรอวะ เขาบ่นอุบในใจ
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขายอมจะอยู่ในสภาพนี้ ทั้งๆ ที่รู้พอไอ้นั่นมันกินอิ่ม มันก็ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด เขาคงมีค่าเวลาที่ไอ้ฮิลล์อยากระบายก็เท่านั้นอย่ามาหวังให้มันรู้สึกดีด้วยหน่อยเลย ชาตินี้คงเป็นไปไม่ได้ แต่ทั้งๆ ที่รู้ทุกอย่าง เขาก็ยังเต็มใจอยู่ในสภาพนี้อยู่ดี รักเหรอ? ความสัมพันธ์แบบนี้มันจะเกิดความรักได้จริงเหรอ เขาเฝ้าพร่ำถามตัวเองแต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ
'กฎของกูมีสามข้อ หนึ่งคนที่มีสิทธิ์บอกว่าจะหยุดหรือไปต่อมีแค่กู สองอย่าล้ำเส้นกับคนของกู สามอย่าพยายามแสดงตัวเราสองคนแค่ผูกพันทางกายส่วนทางใจมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น' นี่คือกฎที่เขาเป็นคนยอมรับมันเอง แรกๆ ก็พอรับได้อยู่หรอก นานวันเข้าเป็นตนเสียอีกที่เอาใจลงไปผูกพันกับมัน อาโปนอนหงายหน้าจ้องมองเพดานสักพักใหญ่ก่อนจะปิดเปลือกตาตนเองลง ปล่อยให้หยดน้ำไหลออกตามหางตาเรียวยาวของตน
ครืดๆ ~
อาโปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อเห็นรายชื่อบนหน้าจอที่วิดีโอคอลมาเขารีบเช็ดคราบน้ำตาแล้วทำตัวให้เป็นปกติ
"Hi ลูกรักทำอะไรอยู่จ๊ะ" ปลายสายทักทายลูกชายตัวเองหลังจากอีกฝั่งกดรับ
"โปกำลังจะลุกแต่งตัวไปส่งโปรเจคจบ แม่ล่ะสบายดีไหม" อาโปปรับโทนเสียงให้เป็นปกติก่อนตอบปลายสายที่อยู่ห่างกันคนละซีกโลก
"แม่สบายดีจ้า นี่เห็นไหมแด๊ดเขาตื่นเต้นมากเลย เขากำลังจัดห้องไว้ให้ลูกมาอยู่" ปลายสายหันกล้องโทรศัพท์มือถือไปรอบๆ ห้อง หน้าจอปรากฏภาพชายต่างชาติคนหนึ่งกำลังสาละวนกับข้าวของอยู่ ชายต่างชาติคนนั้นเมื่อเห็นภรรยาตนเองหันกล้องมาจับ เจาจึงหยุดและโบกมือให้กับกล้อง
อาโปยิ้มกว้างโบกมือกลับไป ชายคนนั้นคือพ่อเลี้ยงของเขาเอง ตั้งแต่จำความได้ตนก็เรียกผู้ชายคนนี้ว่าแด๊ดดี้แล้ว แม่ของตนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวจนมาเจอแด๊ดดี้ตอนตนเองอายุได้ 5 ขวบกว่า หลังจากนั้นแด๊ดดี้ลูคัสก็แต่งงานกับแม่และรับอาโปเป็นบุตรบุญธรรม ตัวเขาจึงได้ใช้นามสกุลของแด๊ด พออาโปอยู่ ม.ปลาย แม่กับแด๊ดก็ย้ายไปอยู่อังกฤษ เขาไม่อยากทิ้งยายไว้เพียงลำพังจึงไม่ได้ตามไปด้วย จนกระทั่งเมื่อสองปีที่แล้วยายของตนได้เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา อาโปจึงไม่มีอะไรที่ต้องห่วงกับที่นี่อีก
"แล้วลูกจะมาเมื่อไหร่เหรอ" ปลายสายกรอกเสียงถามมา
"โปยังไม่แน่ใจเลยแม่ ยังไม่ได้เดินเอกสารเลย มหาลัยแค่ตอบรับมา แต่วันนี้แหละโปจะเข้าไปติดต่อ ถ้าได้วันแน่นอนโปจะบอกแม่นะ" อาโปกรอกเสียงตอบไป
"รีบๆ น้า แม่กับแด๊ดคิดถึงหนูมาก" ผู้เป็นแม่เอ่ยด้วยความคิดถึง
"แม่อ่ะ! โปบอกแล้วใช่ไหมอย่าเรียกหนู โปโตแล้วนะ" อาโปโวยวาย เขาไม่ชอบให้แม่เรียกเขาว่าหนูเลย มันดูไม่คูล ไม่เท่
"ก็แม่เรียกหนูแบบนี้มาตั้งแต่เกิดนี่" ผู้เป็นแม่อดแกล้งลูกตนเองไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้อีกฝ่ายจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่แบบเต็มตัวแล้วแต่ในสายตาตนอีกฝ่ายก็ยังเป็นลูกชายตัวน้อยๆ ของตนเองอยู่ดี
"ไม่คุยด้วยแล่ว โปไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ" อาโปกระเง้ากระงอด เอาจริงก็ไม่ได้โกรธหรอกแต่เพียงแค่ไม่อยากให้แม่ไปเรียกแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นๆ ถ้าเกิดไอ้ไต้ฝุ่นได้ยืนเข้ามันล้อเขาตาย
....บริษัท T….
ห้องห้องหนึ่งซึ่งหน้าห้องมีแผ่นป้าย 'ห้องผู้บริหาร' ถูกติดไว้ ภายในห้องกำลังมีเจ้าของร่างสูงขะมักเขม้น,เขม้นขะมักกับกองเอกสาร ถึงแม้ฮิลล์จะเป็นนักศึกษาฝึกงานของคณะเภสัชศาสตร์ แต่ในระหว่างนี้เขาก็ต้องฝึกงานเอกสารของบริษัทตนเองด้วย เท่ากับว่าเขาต้องฝึกทั้งในส่วนของสายการผลิตยาและต้องฝึกทั้งงานบริหารจากคนของพ่อเขาเอง
แอ๊ดด~
"มึงมาทำไม มีธุระอะไร" ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นทักทายผู้ที่เข้ามาใหม่
"เบื่อๆ อ่ะ พอดีกูไปส่งไอ้รุยที่ห้องสตู แล้วก็ไปส่งไอ่ฝุ่นเอารถที่ไอ่...อาโปมา เบื่อ ไม่มีอะไรทำเลยแวะมาหามึง" ไซโคลนปรายตามองปฏิกิริยาของเพื่อนเมื่อเขาพูดถึงชื่อนั้นหลังจากที่เดินไปนั่งเก้าอี้ตรงข้าม มันบอกว่าไม่จริงจังแต่แค่พูดถึงชื่อของไอ้อาโปไอ้ฮิลล์ก็หยุดฟังแล้ว ไซโคลนยิ้นเยาะในใจ
"อือ ว่างเนาะมึง" ฮิลล์ขยับกรอบแว่นแล้วก้มลงสนใจเอกสารในมือต่อ
"ไม่เชิงว่างหรอก ไอ่ฝุ่นชวนกูไปส่งไอ่อาโปเดินเอกสารไปเรียนต่อที่อังกฤษแต่กูขี้เกียจเลยหาเรื่องมาหามึงแทน" ไซโคลนแอบมองปฏิกิริยาของเพื่อนตนเองอีกครั้ง
"แล้วยังไง! มันจะไปก็ปล่อยมันไปสิมึงจะพูดถึงมันทำไม" แฟ้มเอกสารถูกปิดลงอย่างแรงด้วยความลืมตัว
"ไม่จริงจัง แล้วทำไมต้องโมโห" ไซโคลนกอดอกมองเพื่อนตนเอง มุมปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ
"มึงมาหากูถึงบริษัทเพื่อจะกวนโมโหกูเหรอ" ใบหน้าหล่อเหลากล่าวเสียงเข้ม
"เปล๊า! กูเบื่อจริงๆ" ไซโคลนไหวไหล่ขึ้น แต่ก็ยังไม่หยุดอมยิ้ม
ฟิ้ว~ ปึ๊ก!
"มึงออกไปเลยไอ่เชี่ยนี่" แฟ้มเอกสารถูกปามาทางร่างของไซโคลนแต่เคราะห์ดีที่เขาหลยได้ทัน ไอ้นี่ชอบใช้ความรุนแรงกลบเกลื่อน
"กูตายได้เลยนะไอ่ฮิลล์!" ไซโคลนแหวเพื่อนที่เล่นกันแรง ถ้าเขาหลบไม่ทันหัวเขามีสิทธิ์เลือดอาบได้เลยนะ
"ใครใช้ให้มึงกวนประสาทกูล่ะ" ฮิลล์กอดอกมองอีกฝ่ายก่อนแสยะยิ้มเลือดเย็นส่งให้
ก๊อกๆ แอ๊ด~ ประตูถูกเปิดโดยผู้มาใหม่อีกครั้ง
"สองคนนี้ทะเลาะกันอีกละ" ร่างโปร่งของผู้มีใบหน้าหวานละมุน กลิ่นอายรอบตัวบ่งบอกว่าอีกฝ่ายมาจากชาติตระกูลที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัยเดินเข้ามาหาผู้ชายร่างใหญ่ที่กำลังแกล้งกันไปมาราวกับเด็ก
"อ้าว มาร์คมาได้ยังไง" ฮิลล์ยิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของแขกที่เข้ามา
"มาร์คมีถ่ายงานแถวนี้พอดี เลยเข้ามาให้คนแถวนี้เลี้ยงข้าว" อีกฝ่ายยิ้มหวานตอบ
"ได้สิ ฮิลล์เสร็จงานพอดี" ฮิลล์เอ่ยบอกด้วยความกระตือรือร้น ต่อให้งานเขาไม่เสร็จถ้าเป็นคนคนนี้เขาสามารถทิ้งทุกอย่างได้
"หึ! กูไปละหมั่นไส้" ไซโคลนเอ่ยแซวเพื่อนก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้สองคนนั้นได้อยู่ด้วยกันตามลำพังดีกว่า ไอ้อาโปจะเอาอะไรไปสู้มาร์คได้วะ ไซโคลนคิดในใจ
'ไม่ส่งนะเว้ย' ฮิลล์ตะโกนไล่หลังเพื่อนตนเองออกไป วันนี้เขาอภัยให้มันในฐานะที่มันรู้งาน
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมนอนเหม่ออยู่อย่างนั้น แต่แล้วเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นติ๊ง!ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากริว: “ว่างไหม?”หัวใจผมกระตุกวูบแปลก ๆ ก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไปฝุ่น: “มีอะไร?”รออยู่ครู่หนึ่ง ข้อความถัดไปก็เด้งขึ้นมาริว: “มาหาหน่อย”ผมนิ่วหน้า อะไรของเขาวะ?ฝุ่น: “นายอยู่บ้าน?”ริว: “หน้าห้องนาย”หน้าห้อง?!ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที กวาดตามองนาฬิกา…จะเที่ยงคืนแล้วหมอนี่มันคิดอะไรอยู่ถึงมาโผล่แถวนี้เวลานี้วะ?ผมหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกไปตามที่เขาบอกผมเปิดประตูออกไปก็เจอเขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนทุกครั้ง แต่มีบางอย่างในแววตาที่ดูไม่เหมือนเดิม“มาทำไม?” ผมถามพลางกอดอก“คุยกันหน่อย”“เรื่องอะไร?”“เรื่องของเรา”คำว่า ‘เรา’ ทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย“ไม่มีอะไรให้คุย” ผมบอกเสียงเรียบ “ฉันพูดไปหมดแล้ว”ริวไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขาแค่ยกบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้แล้วจุดไฟ สูดมันเข้าปอดก่อนจะพ่นควันออกมาช้า ๆ“…ฉันไม่ชอบความไม่แน่นอน” เขาพูดขึ้นในที่สุด“หืม?”“ฉันไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ” เขาเอียงหน้ามองผม “แล้วฉัน
ผมกอดอกมองสองพี่น้องเถียงกันอย่างไม่รู้จะทำยังไง เรื่องระหว่างผมกับริวมันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้รุยเข้าใจได้"กูสองคนแค่จูบกันไอ้รุย ยังไม่ได้เอากัน"พวกยากูซ่านี่เชื่อถือไม่ได้จริงๆ ไม่ได้เอาพ่อง!"ถ้าจูบกันแล้วก็ต้องเป็นแฟนกันสิ จะมาแอบกินกันเฉยๆ เหมือนไอ้ฮิลล์ไม่ได้นะ" รุยเถียงต่อ"เราแค่จูบกันรุย นายอย่างี่เง่า" น้ำเสียงของไอ้ยากูซ่าขี้เก๊กเริ่มระอา"นายอย่ามาโมโหกลบเกลื่อน" รุยยังคงไม่ยอม"วุ้ยย! มึงจะอะไรนักหนากะอีแค่จูบ ใครๆ เขาก็จูบกันได้ตอนเมา" ผมพูดแทรกขึ้นมา ถ้าผมไม่มีปัญหาทุกอย่างก็น่าจะจบสินะ"พ่องมึงดิ จะมีกี่คนที่จูบพี่ของเพื่อนตอนเมา"มากกว่าจูบกูก็ทำกันมาล่ะ"เออ…มันก็แค่อุบัติเหตุ ใช่ไหม?" ประโยคหลังผมหันไปหาริว เพื่อขอกำลังสนับสนุน"อือ…" ริวพยักหน้า“กูไม่ใช่เด็กแล้วนะริว!"ปั่ก!"ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ..." ริวตบหัวรุย"อู้ยยส์...เจ็บนะ พะ..พี่" ไอ้รุยเริ่มกลัวเมื่อเห็นสายตาของพี่ชายตัวเองริวถอนหายใจก่อนล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เขาพ่นควันออกจากปากก่อนพูดประโยคที่สิ้นคิดที่สุดออกมา"คบก็คบสิ""ชะ...ช่ายย ห๊ะ!! เดี๋ยวๆ คบอะไร ใครคบกัน" ผมถามด้วยความตกใจ"
…ไซโคลน Talk…ผมยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องพักในโรงแรม มองแสงไฟของโตเกียวที่ส่องสว่างอยู่เบื้องล่าง แต่ความคิดของผมกลับไม่ได้อยู่ที่ทิวทัศน์เหล่านั้นเลยโทรศัพท์ในมือสั่นอีกครั้ง แจ้งเตือนข้อความจากไต้ฝุ่น“มาถึงแล้ว”ผมกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วโป้งแตะไปบนหน้าจอโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบชักมือกลับราวกับของร้อนสารวัตร… มาถึงญี่ปุ่นแล้วจริง ๆผมถอนหายใจแรง กดโทรศัพท์ปิดเสียงก่อนจะโยนมันลงบนโต๊ะ ผมเงยหน้ามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นภาพสะท้อนของชายหนุ่มที่พยายามทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นผมคิดว่า… ถ้าออกมาห่างไกลขนาดนี้แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นผมคิดว่า… ถ้าหายไปจากสายตาเขาแล้ว อีกฝ่ายก็คงไม่รู้สึกอะไรแต่เปล่าเลย…สารวัตรตามมาถึงที่นี่และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่ได้แน่ใจว่าตัวเองอยากให้เขาหาเจอหรือไม่…สไนเปอร์ Talk…ผมยืนอยู่หน้าโรงแรมหรูใจกลางโตเกียว มองขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นห้องพักของไซโคลนไต้ฝุ่นเป็นคนบอกผมว่าไซโคลนอยู่ที่นี่ และถึงแม้เขาจะไม่ได้บอกเลขห้องตรง ๆ แต่แค่มีข้อมูลนี้ก็มากพอแล้วผมกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆถ้าผมขึ้นไป
…สไนเปอร์ Talk…ผมมองจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แต่มันกลับเบลอไปหมดคดียังคงเดินหน้า งานทุกอย่างยังคงต้องทำเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างในใจที่คอยฉุดรั้งให้ผมไม่มีสมาธิไซโคลนไม่อยู่แล้วจริง ๆเขาหายไปจากชีวิตผมแบบสมบูรณ์แบบ… ไม่มีร่องรอย ไม่มีการติดต่อกลับ ไม่มีแม้แต่เงาของเขาให้เห็นผมถอนหายใจ กวาดสายตามองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวจะโทรไปดีไหม?นิ้วผมเลื่อนไปที่ชื่อของเขา ก่อนจะชะงัก… และกดปิดหน้าจอไปถ้าเขาอยากให้ผมตามหา… เขาคงจะทิ้งอะไรไว้ให้ผมบ้างแต่เขาเลือกที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ แปลว่าเขาคงต้องการแบบนั้นจริง ๆ“เฮ้อ…” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน“เข้ามา”จ่าแชมป์โผล่หน้าเข้ามา “สารวัตร ผมมีข่าวบางอย่าง”ผมเลิกคิ้ว “ข่าวอะไร?”“คนของเราสืบมาให้แล้วครับ…” จ่าแชมป์ส่งแฟ้มเอกสารให้ผม “คุณไซโคลนอยู่ที่ญี่ปุ่นจริง ๆ และดูเหมือนเขาจะตั้งใจอยู่ที่นั่นอีกนาน”ผมนิ่งไป ก่อนจะเปิดแฟ้มออกดู รายละเอียดที่ระบุอยู่ตรงหน้ามันชัดเจนจนผมปฏิเสธไม่ได้และมีรูปที่ไซโคลนไปไหนมาไหนกับริวอย่างสนิทสนม…ใจผมคล้ายๆ มีอะไรหนักๆ กดทับไว้จนเจ็บผม… กำลังจะเสียเขาไปแล้วจริง ๆ
…ไซโคลน Talk…ผมไม่ได้หลบหน้าเล่น ๆ แต่ผมเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมไม่ได้ติดต่อกลับไปหาสารวัตรอีกเลย ไม่มีการส่งกาแฟ ไม่มีการไปหา ไม่มีแม้แต่ข้อความทิ้งไว้เหมือนทุกทีผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อรั้นและไม่เคยยอมแพ้ แต่ครั้งนี้… บางทีผมอาจต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือจริง ๆตอนแรกมันก็ยากอยู่หรอก กว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึง ไม่ให้เผลอกดโทรหาหรือส่งข้อความไป ผมต้องข่มใจตัวเองอยู่หลายครั้ง ต้องดื่มให้หนักขึ้น ต้องเอางานมากลบความคิด แต่สุดท้ายแล้ว… มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักทุกคืนก่อนนอน ผมยังคงเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หวังว่าบางทีสารวัตรอาจจะเป็นฝ่ายส่งข้อความมาก่อน หรืออย่างน้อยอาจจะมีมิสคอลสักสายแต่ไม่มีเลย…เหมือนเขาหายไปจากชีวิตของผมโดยสมบูรณ์ผมเอนตัวพิงกระจกห้องพักโรงแรมในโตเกียว มองแสงไฟของเมืองที่ยังคงสว่างไสว ทว่าความเงียบในห้องมันกลับกดดันผมยิ่งกว่าความวุ่นวายข้างนอกผมคิดถึงสารวัตร…คิดถึงคนที่เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยเวลาถูกแหย่ คิดถึงคนที่บ่นว่าผมกวนประสาทแต่ก็ยังยอมให้มากวนอยู่ทุกวันผมไม่ได้อยากหนีมาไกลขนาดนี้หรอก แต่ผมรู้ว่า ถ้ายังอยู่ที่เดิม ผมคงไม่มีวันอดใจไม่ไหวแล้วกระโจนไปหาเขาอีกตาม
…สไนเปอร์ Talk…ไซโคลนไม่ได้พูดเล่น เขาเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้รับข้อความหรือสายโทรศัพท์จากไซโคลนอีกเลย ไม่มีการแวะมาหา ไม่มีใครส่งกาแฟมาให้ที่โรงพักตอนเช้า และแน่นอน… ไม่มีใครมารอผมเลิกงานอีกเลยผมคิดว่าตัวเองควรจะโล่งใจ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเหรอ? ผมอยากให้ไซโคลนออกไปจากชีวิต อยากให้ไซโคลนอยู่ห่างจากปัญหาทั้งหมด เขาอยากปกป้องไซโคลนจากความวุ่นวายนี้…แต่ทำไมมันถึงรู้สึกไม่ใช่แบบนั้นวะ?ในช่วงแรกผมพยายามไม่คิดอะไรมาก มันก็ดีแล้วที่เขาได้ไปใช้ชีวิตปกติของตัวเอง ไม่ต้องมาลำบากกับผมแต่พอผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไซโคลนก็ยังไม่ติดต่อมา“หมอนั่นคงจะลืมฉันไปแล้วจริง ๆ” ผมพึมพำช่วงเวลาที่ไม่มีไซโคลนอยู่รอบตัว ทำให้รู้ว่า… ชีวิตของผมขาดอะไรบางอย่างไปจริง ๆไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าที่ปกติจะมีกาแฟจากร้านประจำส่งมาให้พร้อมโน้ตแซว ๆ จากไซโคลน หรือแม้แต่ช่วงเย็นที่ผมมักจะเจอเขามานั่งรออยู่ในห้อง พอไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว วันเวลาของผมกลับดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาดผมทำงานเหมือนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม ออกไปสืบคดีเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันผิดแปลกไปหมด“สารวัตร… คุณโอเคหรือเปล่า?”เส