Masukเสียงแจ้งเตือนไลน์กลุ่มดังจนคนที่เอนตัวนอนในรถตู้คันหรูต้องผงกศีรษะขึ้นมาเปิดดูโทรศัพท์เครื่องบางที่ถือไว้ในมือ เขาเพียงแค่คิดจะเปิดเข้าไปเพื่อปิดการแจ้งเตือน แต่แล้วรูปภาพที่ถูกส่งเข้ามาหลายสิบรูปทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมองชัดๆ นิ้วเรียวเผลอถางออกเพื่อขยายรูปภาพนั้นดูให้ชัดแต่แล้วก็มีอีกรูปที่ถูกส่งเข้ามาจนเขาไม่ต้องซูมดูให้แน่ใจ เพราะเป็นรูปที่ถ่ายกันสองคน
จากเดิมที่คิดจะกลับไปนอนพัก เพราะเช้ามีงานด่วน แต่ทันทีที่เขาถึงสนามบิน ในเวลาเกือบจะเที่ยงคืน กลุ่มไลน์เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยก็กระหน่ำส่งทั้งรูปทั้งคุยกันจนเขาต้องโงหัวขึ้นมาดูเพราะทนเสียงไม่ไหว และก็จะเป็นปกติแบบนี้ทุกครั้ง ถ้ากลุ่มมีเรื่องให้ฮือฮาปาร์ตี้ เขาก็จะปิดแจ้งเตือนเสีย แต่พอปาร์ตี้จบเขาก็จะเปิดแจ้งเตือนเพื่ออัปเดตข่าวสารของเพื่อน แต่แล้วรูปใบนี้กลับเรียกความสนใจให้เขาต้องบอกคนขับรถให้ไปสถานบันเทิงกลางกรุงในเวลาที่คิดจะกลับไปพักผ่อน นอกจากไลน์กลุ่มยังมีไลน์จากไอ้อ้น ที่มันส่งส่วนตัวมาให้เขาอีก รูปของเธอที่ถ่ายคู่กับเฟิร์น รูปเดียวกับที่ส่งในไลน์กล่ม แต่รูปนี้เป็นมุมแอบถ่ายที่ถ่ายจากโทรศัพท์ของไอ้อ้น แล้วส่งให้เขา อ้นครับ : พลาดแล้วมึง ปีนี้มีดาวมาด้วยนะ อ้นครับ : (สติกเกอร์รูปคนหัวเราะเยาะ) อ้นครับ : หรือเขารู้ว่ามึงไม่มา ก็เลยมา B.Trai : ถึงกรุงเทพพอดี เดี๋ยวแวะเข้าไป จะด้วยเหตุผลอะไรเขาก็อยากรู้ เพราะอะไรวันนี้เธอถึงมารวมกลุ่มกับเพื่อนได้ เพราะตลอดเวลาเกือบสิบปี ที่เธอแทบจะไม่เคยติดต่อใคร คงนอกจากเฟิร์นคนเดียวนั่นกระมัง หลังจากสอบเสร็จเขาก็ยังเคยติดต่อเธอ แต่ทุกครั้งที่โทรไปเธอก็จะไม่รับสาย หรือบางครั้งที่เธออาจจะเผลอกดรับ แต่ก็แค่บอกว่ายุ่งอยู่เดี๋ยวโทรกลับบ้าง จนแล้วจนรอดเกือบสิบปีเธอก็ยังไม่เคยโทรกลับหาเขาเลยสักครั้ง เฟซบุ๊กที่ไอ้อ้นให้เขามา เขาขอเธอเป็นเพื่อนเมื่อสิบปีที่แล้วก็ยังไม่ได้รับการตอบรับเช่นกัน คงเพราะครั้งนั้น ที่เขาปฏิเสธเธอ หลังส่งวิทยานิพนธ์เสร็จ เธอดักรอเขาอยู่ที่โต๊ะม้าหินประจำของกลุ่มเรา "ไตร เรามีเรื่องจะคุยด้วย" "มีไรบี๋" "เอ่อ.. คบกับเราได้ไหม" เขายังจำได้ ก่อนที่จะปฏิเสธเธอไป ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของเธอ สองมือที่ไขว้อยู่ด้านหลังยืนบิดตัวนิดๆ ริมฝีปากบางที่เคลือบสีอ่อนๆ ไว้ถูกเม้มสนิทคล้ายรอฟังคำตอบจากเขา เขายังจำได้แม้กระทั่งสายตาตัวเองที่เหลือบไปเห็นคนที่ยืนอยู่ที่ริมบันไดหนีไฟชั้นสองที่มองลงมา ก่อนที่เขาจะเอ่ยปฏิเสธกับเธอไป "ขอโทษนะบี๋ เราเห็นเธอเป็นแค่เพื่อนน่ะ" และนับแต่นั้น เธอก็หายออกไปจากชีวิตเขา "ถึงแล้วครับคุณไตร" เสียงคนขับรถเอ่ยเรียกเมื่อรถตู้สีดำคันใหญ่มาจอดที่หน้าสถานบันเทิง เขาเผลอคิดเรื่องของเธอเพลินจนลืมดูว่าถึงไหนแล้ว เมื่อรู้ว่างานเลี้ยงรุ่นถูกจัดขึ้นที่ห้องไหน เขาก็รีบก้าวเท้ายาวๆ เดินไปถามพนักงานต้อนรับด้านหน้า ทันทีที่ไตรฉัตรเปิดประตูห้องเข้าไปเสียงผู้ชายที่ยืนร้องเพลงกันอยู่ข้างหน้าก็ส่งเสียงดัง เรียกสายตาของสาวๆ ไม่กี่คนด้านในให้หันไปมอง "ไหนแกบอกไม่มา" เหมือนแพรหันไปส่งสายตาคาดโทษเพื่อน พลางกระซิบเบาๆ พอได้ยินกันสองคน "ก็ตอนแรกนายนั่นมันบอกไปเชียงราย กลับมาไม่ทัน ใครจะไปรู้วะ" เหมือนแพรทำท่าจะลุก แต่ก็ถูกเพื่อนข้างๆ ที่เห็นจะเมาหนักรั้งไว้ ทั้งซบทั้งกอดจนเธอขยับตัวไปทางไหนไม่ได้ เสียงสาวๆ ทักทายผู้มาใหม่ จนทำให้เธอต้องหันไปก้มหน้าให้น้อยๆ เป็นการทักทายเพราะไม่อยากผิดสังเกต แต่ไอ้ไตรบ้านั่นกลับเดินตรงมาทางเธอ เขาโยนเสื้อสูทคลุมมาที่หัวเธอ "ว้าย ไอ้บ้าไตร ทำอะไรของนาย" เหมือนแพรโวยวายลั่น สองมือตลบเสื้อสูทตัวใหญ่ออกจากหัวจนมันหล่นมาคลุมที่ขาเธอ สายตามองหน้าจะเอาเรื่อง แต่พลันได้เห็นสายตาเขามองมาที่หน้าขาขาวๆ นั่น ทำให้เธอเพิ่งรู้สึกตัวว่ากระโปรงมันร่นขึ้นมาจนเกือบจะเห็นอะไรต่อมิอะไร เธอได้แต่ระงับอารมณ์ แล้วก็พาดเสื้อสูทของเขาไว้อย่างนั้น "ไง ปีนี้ว่างหรือ นึกว่าดาวคณะไปเป็นดาวตกอยู่ที่ไหนสะแล้ว" "ไปตกอยู่บนหัวกบาลนายหรือไง" เสียงเถียงของเธอเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้อย่างดี "คิดถึงตอนสมัยเรียนเลย คู่หู คู่นี้ก็กัดกันดี๊ดี จนป่านนี้ยังไม่เลิกกัดกันอีก" เสียงเพื่อนสาว ที่ยังหัวเราะเอ่ยแซวคนทั้งคู่ โดยไม่รู้เรื่องอะไร มีแต่สายตาของคนสองคนที่มองกันแล้วรู้ว่าพวกเธอสองคนไม่ใช่คู่กัด หรือคู่หูที่ดีต่อกันสักเท่าไหร่ จนเกือบจะกลายเป็นคนไม่รู้จักกันไปแล้วเสียด้วยซ้ำ "ขาดไอ้มอสอีกคนไม่งั้นครบแก๊ง" เสียงใครไม่รู้เอ่ยออกมา ทำให้เหมือนแพรหันไปกลอกตาใส่เฟิร์น โดยไม่ให้คนอื่นเห็น คงมีแต่สายตาของไตรฉัตรที่แอบมองเธออยู่ และเขาก็เผลอทำหน้าตึงขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของคนนี้สวนลำธารบ้านลุงเอี่ยม ในวันที่ลูกสาวคนโตของบ้านกำลังจะมีคนมาสู่ขอ พ่อเอี่ยมและแม่ศรีในฐานะเจ้าของบ้านก็ตระเตรียมต้อนรับทั้งจัดบ้านใหม่อย่างที่เคยเอ่ยกับลูกสาว ชุดสวยที่ใส่ต้อนรับแขกราวกับมีเทศกาลงานบุญ อีกทั้งซุ้มที่เคยต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาเช่าเล่นน้ำ วันนี้ก็ถูกกันเอาไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อต้อนรับแขกจากกรุงเทพ เดิมทีพ่อเอี่ยมจะปิดทั้งหมด แต่ก็กลัวลูกค้าที่เข้ามาแล้วจะเสียเที่ยวจึงได้เปิดไว้บางส่วนต้อนรับลูกค้าด้วย อาหารทั้งไทย อีสาน ถูกจัดเตรียมเอาไว้ครบครัน ปรางทิพย์มาถึงพร้อมอาจารย์วิทย์ในช่วงสาย ทีแรกเธอจะมาก่อนแต่ไตรวิทย์ก็ไม่อยากให้เธอขับรถมาคนเดียว เพราะเขาต้องมาพร้อมกับพ่อแม่ และยังมีสมาชิกอย่างไตรฉัตรกับภรรยาที่ตามมาพักผ่อนด้วย ไม่เว้นแม้แต่มิลินที่ยังขอติดสอยห้อยตามมาด้วย ขาดก็แต่ไตรคุณที่วันนี้ต้องเข้าไปที่โรงแรม เพราะมีลูกค้าสำคัญเข้ามาพักที่โรงแรม ทำให้เขาต้องไปต้อนรับ "แม่ บ้านเรามีงานบุญหรือ" ปรางทิพย์เอ่ยถามตอนที่ลงรถมาเห็นแม่ศรีในชุดผ้าไหม "ก็ต้องแต่งตัวให้ดีหน่อยซิ ดูแกซิทำตัวมอซอ ไปเปลี่ยนชุดซะไป" คนโดนว่ามอซอแทบจะทำหน้าไม่ถูก เพราะไตรวิทย์ยืนอยู่ข้างๆ เธอหั
อีกวันที่ล่วงผ่านปรางทิพย์เพิ่งได้มีโอกาสสะสางข้อความตั้งแต่เกิดเรื่องจนวันนี้ข้อความที่ถูกส่งเข้ามาเกือบร้อยข้อความไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัวหรือเพื่อน กระทั่งน้องๆ พยาบาลที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่ถามไถ่หรือตลอดจนข้อความให้กำลังใจ เธอไล่ตอบอยู่นานจนครบทุกข้อความ และถึงได้โทรหาแม่ศรีบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้แม่ได้สบายใจ เย็นวันนั้นไตรวิทย์จึงได้พาเธอกลับมาทานข้าวที่บ้าน คุณแม่ประไพรยังต้อนรับเธออย่างอบอุ่นอยู่เสมอ แค่เห็นหน้าผู้มากวัยก็รีบเข้ามาสวมกอด "หมดทุกข์หมดโศกแล้วนะลูก" อ้อมกอดที่อบอุ่นแทบไม่ต่างจากลูกชาย "ไปๆ กินข้าวกันดีกว่า ยายมิลินยังไม่มาอีกหรือ" คุณนายประไพรรีบเกณฑ์บรรดาลูกๆ ของท่านเข้าห้องอาหาร แต่ก็ยังไม่ลืมมองหาคนอีกคน "มาแล้วค่ะ คุณป้า" แค่เพียงถามหา เสียงใสลากยาวก็ขานรับทันที เพราะมาถึงพอดีที่คุณป้าถามหา "อ้าวมาพอดี ไปๆ ทานข้าวกันลูก" แต่คนตัวเล็กกลับตรงเข้าไปหาคุณหมอปรางทิพย์สวมกอดเอาไว้ดุจให้กำลังใจ "เจ๊ปราง" มือที่สวมกอดพร้อมน้ำเสียงออดอ้อนโดยไม่ต้องเอ่ยเรื่องราวอะไร ปรางทิพย์ก็เข้าใจได้ "ขอบใจมากนะมิลิน" "โอเคแล้วใช่เปล
ผู้ชายตัวสูงสองคนที่ใส่สูทสีดำเรียบร้อย แม้อีกคนจะดูเตี้ยกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่าทางภูมิฐานนั้นลดน้อยลงเลย คนตัวสูงถือพวงหรีดดวงไม้สดสีขาวเข้ามาด้วย ข้อความบนนั้นมีเพียง ด้วยความอาลัย ไม่ได้บ่งบอกชื่อว่าเป็นใคร ศาลาเล็กภายในวัดของชุมชน ที่ไม่ใหญ่โตมากนัก ศาลาก็ไม่ได้ติดแอร์อย่างวัดใหญ่มีชื่อเสียง ผู้คนภายในงานก็ล้วนเป็นชาวบ้านแถวนั้น การแต่งกายของสองคนที่เดินมาจนถึงหน้าศาลา เรียกสายตาของคนในงานให้หันไปสนใจ เจ้าภาพของงานรีบเดินออกมาต้อนรับแขกไม่คุ้นหน้า "คุณมางานนี้หรือ รู้จักกับน้องชายฉันหรือคะ" น้ำเสียงตะกุกตะกักเอ่ยถาม ผู้ชายชุดดำสองคนอย่างไม่มั่นใจ แต่เมื่อเขาส่งพวงหรีดให้ เธอก็รีบรับแล้วส่งต่อให้ใครอีกคนที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง แต่เหมือนไตรวิทย์และณัฐกรจะจำผู้หญิงคนนี้ได้ดี เธอคนนี้ที่อยู่ในภาพข่าวเกือบทุกสำนัก "เอ๊ะ คุณทนายณัฐกร" น้ำเสียงออกจะตื่นเต้นไม่น้อยที่เห็นณัฐกร ทั้งที่สองคนยังไม่ทันได้แนะนำตัวกลับมีคนจำคุณทนายได้เสียก่อน "อ๋อครับ สวัสดีครับ ผมมาแสดงความเสียใจด้วยน่ะครับ แล้วนี่คุณไตรวิทย์ เป็นแฟนของคุณหมอปรางทิพย์ครับ" แค่ณัฐกรแนะนำตัว ผู้หญิงคนนั้นก็ห
ไตรวิทย์ขมวดคิ้วฟังที่ณัฐกรเอ่ยแล้วก็ยังไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายนัก จนเมื่อณัฐกรกดโทรศัพท์ตัวเองคล้ายหาอะไรสักอย่าง แล้วก็ส่งโทรศัพท์นั้นให้ไตรวิทย์ ภาพข่าวดูจากสถานที่น่าจะเป็นโรงพยาบาล แล้วสักครู่ภาพก็ตัดมาที่ญาติของผู้เสียชีวิตและคนข้างๆ ที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี พัสรา แต่วันนี้เธอเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นแถมยังเป็นทนายให้กับฝ่ายนั้นอีกด้วย เสียงสัมภาษณ์ของนักข่าวที่ถามถึงเหตุการณ์ ญาติผู้เสียชีวิตก็เล่าเหตุการณ์ตามที่เกิดขึ้นจนกระทั่งหมอปรางเข้ามาช่วยคนเจ็บด้วยการทำซีพีอาร์ แต่สุดท้ายคนเจ็บก็เสียชีวิต โดยญาติคนไข้ยังติดใจเรื่องการเสียชีวิตเพราะหมอที่เข้ามาช่วยมีอาการเมา เพิ่งออกจากผับ ส่วนทนายพัสเพียงให้สัมภาษณ์ว่าทุกอย่างคงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพียงเท่านั้น อะไรก็จะไม่ร้ายแรงเท่าคอมเมนต์ของคนที่เรียกชาวเน็ต แต่ไตรวิทย์สะดุดตากับคอมเมนต์หนึ่งจนต้องใช้นิ้วจิ้มเพื่อดูโปร์ไฟล์ของคอมเมนต์นั้น อีกหน่อยใครจะกล้าช่วย คนดีๆ หมอดีๆ คงต้องอยู่เฉยๆ ดูคนขาดใจตายไปต่อหน้า คอมเมนต์ตอบกลับเจ้าปัญหานั้น ที่เขาสนใจ หมอดีๆ คงไม่เคยถูกคนไข้ฟ้องร้องหรอกมั้ง ไตรวิทย์ส่งโทรศัพท์นั้นให้ณัฐ
ไตรวิทย์ลากปรางทิพย์ออกมาจากพัสราได้แล้ว เพียงครู่เดียวมิลินก็รีบวิ่งตามมา ทิ้งให้ผู้หญิงคนที่ตัวเองไม่รู้จักไว้ตรงนั้น "มากันยังไง" ไตรวิทย์เอ่ยถามมิลิน เพราะดูท่าคนที่เขาจับแขนไว้อยู่คงจะไม่มีทางตอบแน่ "บังเอิญเจอกันที่นี่ค่ะ" มิลินเอ่ยตอบพร้อมกับมองหน้าเจ๊คนสวยที่ยังมีใบหน้าบึ้งตึง "ไปกลับบ้าน ค่อยไปคุยกันที่บ้าน" "ไม่กลับ ไม่คุย" ปรางทิพย์สะบัดแขนอย่างแรงจะให้พ้นการเกาะกุมของมือใหญ่ แต่มันก็ไม่หลุดง่ายๆ "บอกให้กลับบ้าน" ไตรวิทย์เน้นเสียง "ฉันขับรถมา" เมื่อเขาเสียงแข็ง เธอเองก็เริ่มเสียงแข็งขึ้นไม่แพ้กัน แถมยังเปลี่ยนวิธีเรียกตัวเองให้ดูห่างเหินอีกด้วย "จอดไว้นี่แหละ กลับบ้าน" คราวนี้ไตรวิทย์ไม่สนใจว่าคนตัวเล็กจะเถียงหรือดื้ออีก เขาออกแรงรั้งให้เธอเดินตาม แต่เธอก็ยังขืนตัวไว้ "จะให้อุ้มใช่ไหม" ได้ผลปรางทิพย์ยอมเดินแต่น้ำหนักที่ก้าวออกจะหนักกว่าปกติ รถของไตรวิทย์ขับออกมาได้เพียงนิดเดียว ถนนที่วิ่งขนาบกับคลองเล็กๆ ก่อนจะออกถนนใหญ่ ไตรวิทย์ชะลอรถลงเพราะรถคันหน้าเริ่มเคลื่อนตัวช้าเหมือนด้านหน้าจะมีอุบัติเหตุ จนเมื่อรถเขาขับผ่านกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ริมถ
ปรางทิพย์ไม่แน่ใจว่าคุณพัสเตรียมเรื่องจะเปิดสำนักงานกฎหมายเสร็จไปถึงไหนแล้ว แต่ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอได้ยินชื่อผู้หญิงคนนี้จากปากแฟนของตัวเองบ่อยเหลือเกิน ถึงแม้เขาจะคุยโทรศัพท์ให้เธอได้ยินก็ตาม แต่เมื่อนึกถึงการเจอกันครั้งแรกของคุณพัสนั่นแล้ว ก็ทำเธอหงุดหงิดทุกที ในทุกวันที่ปรางทิพย์ออกเวรจากโรงพยาบาลเธอก็จะกลับคอนโดของไตรวิทย์ทันที ไม่ได้ตรงมาที่ร้านกาแฟเหมือนอย่างวันนี้ เพราะถ้าไม่เพราะมีเอกสารด่วนเกี่ยวกับการยื่นภาษีที่เธอต้องเข้าไปเซ็นด้วยตนเอง เมื่อมาถึงแล้วก็อดไม่ได้ที่เธอจะต้องอยู่ช่วยน้องๆ จนกระทั่งร้านปิด รถยนต์คันเก่าของเธอที่วันนี้ต้องจอดหลังร้าน เพราะตอนที่มาถึงบริเวณหน้าร้านไม่มีที่จอดเหลืออยู่เลย แล้วตอนที่ขับออกมาจากถนนหลังร้าน รถคันของเธอต่อท้ายรถอีกคัน จึงทำให้รถยนต์คันหรูของไตรวิทย์ที่ขับผ่านไม่ทันได้เห็น แล้วเธอก็ลืมส่งข้อความบอกเขาด้วยว่าวันนี้เข้ามาที่ร้านกาแฟ เธอขับออกถนนมาได้แล้วก็ตามรถของไตรวิทย์มาติดๆ แม้จะถูกแซงไปหลายคันแล้ว แต่รถคันหรูของเขามันออกจะสะดุดตาอยู่เธอจึงยังเห็นคันของเขาในสายตา จนถึงทางแยกที่จะต้องเลี้ยวไปทางคอนโด เธอกำลังจะตบไฟเลี้







