ログイン‘โอ๊ย...จะเอาที่ไหนมาให้ ทุกวันนี้ก็หาเช้ากินค่ำ ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ต้องเรียน แล้วไม่ต้องคิดจะไปค้ำประกันกู้ กยศ.ให้เลยนะ ไม่เคยได้ยินเหรอที่พวกยืมแล้วไม่คืน ถ้าลูกพี่ยืมแล้ว
ไม่ใช้ คนลำบากก็คือฉันกับลูก’เสียงของเมียใหม่พ่อดังลั่นมาตามสาย และแน่นอนว่าพ่อไม่เถียงสักคำ
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ”
‘เอ่อ น้ำ...’ พ่อเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่ทันได้พูดเมื่ออีกเสียงดังขึ้นมาก่อน
‘ให้มันไปขายตัวเหมือนแม่มันโน่น ไม่ต้องรงต้องเรียนแล้ว หาผัวแล้วเกาะผัวกินไปสิ แต่ลูกพี่หน้าตามันขี้เหร่ คงไม่มีใครเอา..’
ตู๊ด...ตู๊ด... ไม่ใช่พ่อที่ตัดสายทิ้ง เป็นฉันนี่แหละที่
ไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว ทนฟังไม่ไหว เมียใหม่ของพ่อเกลียดฉันยิ่งกว่าอะไร ทำไมฉันจะไม่รู้ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีใครให้พึ่งแล้วน้ำตาไหลอีกครั้ง ไม่อยากร้องไห้หรอกนะ แต่ตอนนี้ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้
หรือฉันควรจะเลิกเรียนดีไหม อีกตั้งสองปีกว่าเลยนะ
ปิดเทอมอีกตั้งหลายวัน เดี๋ยวเปิดเทอมฉันค่อยไปปรึกษาอาจารย์ปรึกษาเพื่อนดีกว่าว่าจะทำยังไงได้บ้าง
คงเพราะว่าร้องไห้หนักเกินไปทำให้ฉันปวดหัวจนต้องพึ่งยาพารากับยาแก้แพ้ ฉันอยากหายจากอาการปวดหัวและอยากหลับให้เต็มตื่น เมื่อคืนฉันก็แทบไม่ได้นอน
ฉันคิดว่าชีวิตคงถึงจุดต่ำสุดแล้วตอนนี้ แต่ใครจะคิดว่ายังมีสิ่งต่ำสุดในชีวิตรอฉันอยู่
‘ไฟไหม้ ไฟไหม้’ เสียงร้องดังลั่นของใครบางคนทำให้ฉันที่กึ่งหลับกึ่งตื่นไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงหรือความฝัน
แคก ๆ
มันไม่ใช่ความฝัน เมื่อฉันตื่นขึ้นมาและรู้ว่าตัวเองกำลังเหงื่อเต็มตัว ควันรอบตัวทำให้ฉันสำลักและมองไม่เห็นทาง
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วยค่ะ” ฉันร้องเรียกให้คนช่วย พลางวิ่งตรงไปยังประตูห้องนอนของตัวเอง
“โอ๊ย!” ฉันผงะออกจากลูกบิดทันที ลูกบิดร้อนจนลวกมือฉัน ถึงจะมองไม่เห็นว่ามือพุพองแค่ไหน แต่ฉันก็รู้ว่าต้องพุพองมากเพราะความแสบร้อนทั้งฝ่ามือ ทางออกเดียวของฉันคือหน้าต่าง
“เปิดไม่ออก ใครก็ได้ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” ฉันพยายามดันหน้าต่างที่เป็นบานไม้ออก แต่มันออกยากเหลือเกิน เพราะสนิมตรงกลอนหน้าต่างที่ไม่เคยเปิดมานาน ช่องของหน้าต่างมีกระจกใสที่ตอนนี้มันแทบไม่ใส
อย่างน้อยฉันก็พอมองเห็นข้างนอก และหวังว่าคน
ข้างนอกจะเห็นฉันบ้าง ฉันมองหาบางอย่างที่จะทุบกระจกหน้าต่าง ค้อนใต้เตียงของฉัน ใช่ ฉันมีค้อน ยายให้ฉันเก็บไว้ป้องกันตัว ฉันยังนึกขำตลอดว่าจะได้ใช้ตอนไหน ไม่คิดว่าสิ่งที่ยายเตรียมให้จะเป็นทางรอดเดียวของฉันฉันจับค้อนแน่นทุบไปที่กระจกเพราะต้องการอากาศหายใจ ไม่อย่างนั้นฉันต้องตายแน่ ทันทีที่กระจกโดนทุบแตก เสียงกรีดร้องเสียงคนดังระงม ฉันทุบกระจกทั้งหมดแปดช่อง ตอนนี้เริ่มมีอากาศหายใจ แต่ประตูห้องของฉันก็เริ่มมีไฟลามเข้ามาแล้ว ฉันทุบโครงของหน้าต่างทั้งแปดช่อง สลับกับทุบไปที่กลอนของหน้าต่างหวังว่ามันจะหักออกจากกันและปลดปล่อยฉันออกไป
“ช่วยด้วยค่ะ แคก ๆ ” ฉันยังตะโกนเรียกไม่หยุด เรี่ยวแรงของฉันที่มีในตอนแรก นาทีนี้ไม่มีแม้แต่แรงจะยกค้อนนั้นขึ้นมา
หรือฉันจะต้องตายอยู่ที่นี่
ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่มีใครต้องการฉันอยู่แล้ว ยายคงเป็นห่วง ยายคงจะมารับฉันไปอยู่ด้วยสินะ
น้ำตาของฉันไหลอาบทั้งสองข้างแก้ม ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะตอนนี้ความร้อนและควันไฟกำลังจะเผาร่างของฉัน
“ยายพาน้ำไปด้วย”
ในม่านหมอกที่ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากควันสีขาวขุ่น ฉันหันไปมองรอบ ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องเดินไปทางไหนกันแน่ ฉันร้องเรียกอยู่นานก็ไม่เห็นใครสักคน
ฉันตายแล้วสินะ
ตายแล้วต้องไปที่ไหนต่อกันนะ ฉันจะได้เจอกับยายไหมนะ
“ยาย ยายจ๋า ยายได้ยินน้ำไหม” ฉันร้องเรียกและเริ่มเดินไปข้างหน้าอย่างไร้หนทาง เพราะทุกทิศทุกทางเหมือนกันหมด นั่นคือหมอกสีขาวทั้งหนาและเย็นจัด
“ยาย ยาย” ฉันยังคงร้องเรียกและเดินต่อไป แม้จะมองไม่เห็นอะไรนอกจากหมอกหนา
“น้ำ!”
“ยาย ยายจ๋า”
“น้ำมาทำไม” เสียงของยาย แต่ฉันมองไม่เห็นยายเลย ฉันพยายามวิ่งตามเสียง แต่ก็ไม่เห็นยายอยู่ดี ได้ยินแต่เสียงของยายเท่านั้น
“มาทำไม กลับไป ไม่ใช่ที่ของเรา” เสียงยายเกรี้ยวกราดอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน
“น้ำจะไปอยู่กับยาย” ฉันร้องไห้ดีใจที่ได้ยินเสียงของยาย แต่ก็เสียใจที่มองไม่เห็นยาย
“กลับไปก่อน แล้วยายจะไปอยู่ด้วย ไปทางนั้น” ทันทีที่ยายบอกว่าทางนั้น ฉันก็เห็นแสงจากม่านหมอกกลายเป็นอุโมงค์แสงสีทอง
“น้ำรีบไปเร็ว ๆ ไว้ยายจะไปอยู่ด้วยนะ รีบไป!” น้ำเสียงของยายร้อนรน ทำให้ฉันต้องออกวิ่งไปตามทางของอุโมงค์แสง
สีทองฉันวิ่งสุดกำลังไปทางที่ยายบอก แสงสีทองของอุโมงค์เริ่มริบหรี่ลงเรื่อย ๆ ฉันต้องวิ่งไปถึงตรงนั้นก่อนที่แสงของมันจะดับลง
“รอด้วย รอด้วย” ฉันร้องบอกแสงของอุโมงค์ว่าให้รอฉันด้วย ตอนนี้ฉันกำลังจะไปถึงที่นั่นแล้ว รอด้วย รอด้วย!
วันจันทร์ที่แสนเหนื่อยล้าพวกเราต้องราวนด์วอร์ดกันตั้งแต่เช้าโดยวันนี้ผมอยู่แผนกสูตินรีเวช วันนี้มีเพียงผมกับเพื่อนนักศึกษาแพทย์อีกสามคนเท่านั้นซึ่งทั้งสองคนก็เป็นผู้หญิง กระอักกระอ่วนเล็กน้อยถึงจะบอกตัวเองว่านี่เป็นเรื่องปกติ ร่างกายของคนไข้ไม่ต่างจากร่างของอาจารย์ใหญ่ที่พวกเราผ่ากัน“คนไข้อายุสิบเก้า เป็น Endometriosis[1] ต้องได้รับการผ่าตัดเพราะเป็นค่อนข้างรุนแรง” ผมเงยหน้าจากชาร์ตแล้วต้องนิ่งอึ้งคนที่ตามหามาเกือบสี่ปีกำลังนอนบนเตียง ใบหน้าของเธอซีดเผือดและญาติคนไข้คือไอ้ผู้ชายที่โอบไหล่เธอในวันนั้นที่อ่างเก็บน้ำ“ญาติคนไข้ยืนยันจะผ่าตัดใช่ไหมคะ” อาจารย์แพทย์ถามย้ำอีกครั้ง“ใช่ครับ”ผมสบนัยน์ตาดำขลับคู่นั้นนิ่ง ขาที่ต้องก้าวออกจากห้องก็ก้าวไม่ออก[1] Endometriosis หรือ ซ็อกโกแลตซีสยี่สิบชั่วโมงก่อนหน้านี้เป็นเมนส์อีกแล้วฉันไม่ชอบที่สุดคือช่วงเวลาที่เป็นประจำเดือน เพราะอาการปวดท้องของฉันมันมักรุนแรงขึ้นทุกวันและวันนี้ก็เช่นกัน“เหมยลี่ยังไม่ดีขึ้นเหรอลูก” แม่เอากระเป๋าน้ำร้อนวางไว้ตำแหน่งท้องน้อยให้ฉัน ถามอย่างเป็นห่วง“อืม เจ็บแม่ เจ็บมากเลย”“ไหวไหมไปหาหมอดีไหม” เวลานี้ทั้งบ้านต่
“ชื่ออะไรนะมึง”“เมลดา แซ่ตั้ง” ผมย้ำชื่อของเธอคนนั้นพร้อมทั้งเขียนในสมุดดันไปให้เพื่อนเอกคอมพิวเตอร์ค้นหารายชื่อนักศึกษาใหม่“เจอไหมมึง” ผมร้อนใจถามเพื่อนอีกครั้ง“เจอแต่เมลดา หลายคนเลยแต่นามสกุลไม่ใช่” คำพูดของเพื่อนทำให้ผมคอตก หลังจากพูดไม่ดีกับน้องวันนั้น ผมกลับบ้านไปทบทวนสิ่งที่ตัวเองที่บอกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วพูดกับเด็กอายุสิบห้าแบบนั้นได้อย่างไรผมเองก็ไม่แน่ใจตัวเองว่าสิ่งที่พูดออกไปเป็นเพราะอารมณ์แบบไหนกันเมื่อได้มองหน้าน้องสาวตัวเอง ถ้ามีไอ้ผู้ชายสักคนที่มาพูดแบบนี้กับน้องสาวตัวเองผมสาบานได้เลยว่าผมคงต้องต่อยหน้ามันสักหมัดสองหมัดอยากจะขอโทษเธอ วันที่โรงเรียนเปิดเทอมตอนที่น้องอยู่มอสี่ผมแสร้งแวะไปหาอาจารย์เพื่อจะแวะไปหาน้องและขอโทษน้องสักคำ แต่ข่าวที่ได้รับคือน้องไม่ได้เรียนต่อที่นั่น มีคนบอกว่าน้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯเชียงใหม่ว่ากว้างใหญ่แล้ว กรุงเทพฯ ยิ่งกว่าใหญ่กว่านี้หลายสิบเท่า โอกาสที่ผมจะหาเธอเจอคงเป็นศูนย์ เพราะการเรียนที่หนักหนาสาหัสกว่าจะผ่านแต่ละชั้นปีไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆปีนี้ผมอยู่ชั้นปีที่สี่ของคณะแพทย์และหวังว่าเธอจะเข้าเรียนในระดับปอตรีที่เดียวกัน แต่เมื่อให
สำนักงานของที่จอดรถเป็นคาเฟขนาดใหญ่ ซึ่งฉันก็เลือกนั่งรอเขาอยู่ตรงนี้ตามที่เขาสั่ง เกือบบ่ายสี่โมงฉันเห็นเขายืนอยู่หน้าคาเฟเขากำลังคุยกับรุ่นพี่ “พี่แซน ดาวมอสี่นี่นา” ฉันใจแป้วหนักกว่าเดิม ขนาดพี่แซนยังเดินคอตกกลับไปแล้วฉันละ แต่ถ้าไม่สารภาพวันนี้ก็ไม่รู้จะได้สารภาพอีกเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้คลินิกเขาก็ไม่ไปแล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่เขามาเรียนเป็นวันสุดท้าย ถ้าไม่ใช่วันนี้ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว เมื่อพี่แซนเดินจากไปแล้วฉันก็รีบลุกขึ้นเดินตรงไปยังหน้าร้านที่เขายืนอยู่ “พี่เหนือ” เมื่อเห็นว่าเป็นฉันเขาก็ออกคำสั่ง “ไปคุยกันที่รถ” 8888 ป้ายทะเบียนจำง่ายและจอดอยู่ในตำแหน่งใกล้ที่สุด ปึก! เสียงปิดประตูรถของเขาทำฉันสะดุ้ง “มีอะไรจะคุยกับพี่” “หนูชื่อเมล เมลดา” ฉันแนะนำตัวเพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะจำได้หรือเปล่า ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันคือวาเลนไทน์ซึ่งก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว “อืม พูดธุระมาเลย” เขาว่าห้องโดยสารที่เงียบกริบกำลังหนาวยะเยือกสำหรับฉัน มือไม้เย็นไปหมด หัวใจก็เต้นแรงราวกำลังจะออกจากอก “ถ้าไม่พูดก็ลงไป” เขาพ่นลมหายใจอย่า
“เออเราผ่านรอบพอร์ตใช่ไหม” รอบพอร์ตที่พ่อหมายความถึงคือ “โควต้ารอบหนึ่ง” หรือ “รอบ Portfolio” คือรอบการรับสมัครนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยในระบบ TCAS ที่เน้นการพิจารณาจาก แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) และคุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้สมัครเป็นหลัก เช่น ผลการเรียน ความสามารถพิเศษ หรือประสบการณ์ โดยเกณฑ์การพิจารณาจะแตกต่างกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัยและคณะ ซึ่งแน่นอนว่าผมผ่านได้อย่างง่ายดายเพราะเตรียมตัวมาตั้งแต่อยู่มอต้น“พี่เหนือของพ่อเก่ง” พ่อตบไหล่ผมไม่เบามือเลยแต่นั่นกลับทำให้ผมภาคภูมิใจ“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มรับ“ที่ไม่ไปโรงเรียนเพราะวันนี้วันวาเลนไทน์เหรอ” พ่อกระซิบถามเมื่อเห็นว่าแม่เดินออกจากบ้านไปแล้วซึ่งน่าจะตรงไปยังแปลงพืชผักสวนครัวที่แม่มักวุ่นกับเจ้าพวกนั้นตลอดช่วงเช้า“ครับพ่อ”“มันเป็นเรื่องปกติของคนตระกูลเรา” หนึ่งในความภาคภูมิใจของคนในตระกูลโชติภิวรรธคือความหน้าตาดีที่สืบเชื้อสายมาจากพันธุกรรม“ความหล่อมันก็ดีครับ แต่บางทีมันก็ทำให้คนเข้าหาเยอะ มันทำให้เราคัดคนจริงใจยาก” เพราะเคยโดนทั้งเพื่อน ทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้องเข้าหาเพราะผลประโยชน์ ทำให้พักหลัง ๆ นี้ผมไม่ค่อยสนิทกับใครมากนัก ส่วนมากที่คบอยู
ฝีมือเขาแน่“เราทำไมซุ่มซ่าม” พี่เหนือว่าและพยุงให้ฉันยืนได้ด้วยตัวเอง“ขอบคุณค่ะ หนูกลับก่อนนะคะ” ฉันรีบยกมือไหว้ขอบคุณและเดินเร็วไปยังหน้าประตูโรงเรียน ซึ่งวันนี้เฮียมังกรจะแวะมารับฉันกลับบ้าน“เป็นอะไรหน้าแดง” ทันทีที่ฉันขึ้นนั่งบนรถเฮียมังกรก็ถามทันที ฉันใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างจับแก้มตัวเองและแน่นอนว่ามันร้อน“หนูวิ่งมาหาเฮียไงก็เลยร้อน” ฉันโกหกหน้านิ่ง“หึ เชื่อก็โง่แล้ว หน้าแบบนี้แกมีคนที่ชอบใช่ไหม เหมยลี่ อย่าให้เฮียรู้นะว่ามันเป็นใคร” พ่อของฉันขึ้นชื่อว่าหวงลูกสาว แต่เฮียมังกรเรียกว่าหวงน้องสาวขั้นสุด ใครมาจีบ มาแซว เฮียแกก็พร้อมจะหิ้วปีกไปปรับทัศนคติทันที“ไม่มี้!” เสียงยิ่งสูงยิ่งส่อพิรุธคงไม่เกินจริง เพราะเวลานี้เสียงฉันสูงปรี๊ด“เฮีย หลอมอันนี้ให้หน่อย” ฉันแบมือให้เฮียดูของที่กำไว้แน่นตั้งแต่ลุงอัครเดชให้มา“ได้มาจากไหน”“ตรงที่ล้ม พรุ่งนี้ต้องไปทำบุญให้เขา” ความลับของฉันมีแค่เฮียมังกรเท่านั้นที่รู้ ก็ฉันต้องให้เฮียหลอมทองให้ทุกครั้งที่ได้มาจากคุณลุงคุณน้าผี ๆ ทั้งหลาย ครั้งแรก ครั้งสองพอบอกว่าเก็บได้ให้พี่ชายฟัง แต่ครั้งสาม ครั้งสี่พี่ชายไม่เชื่อทำให้ฉันจำเป็นต้องเล่าความจริ
“เหมยลี่!” เสียงบุพการีของฉันเรียกอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพฉันในตอนที่เดินลงจากรถยนต์ที่เรียกผ่านแอปมาส่งถึงหน้าบ้าน เมลดาหรือเมลของเพื่อนหากแต่เวลากลับมาที่บ้านฉันคือ‘เหมยลี่’ ผู้หญิงที่งดงามของพ่อแม่“ไปทำอะไรมาเหมย ทำไมสภาพเป็นอย่างนี้” แม่เข้ามาลูบหลังลูบไหล่ฉันอย่างเป็นห่วง บ้านของฉันเป็นร้านขายทองคำและรับหลอมทองคำ ก่อนหน้านี้เราเน้นขายทองคำมากกว่าหากแต่ปัจจุบันการรับหลอมและซื้อทองคำทำกำไรได้มากกว่าเมื่อปลายปีก่อน เฮียมังกรพี่ชายของฉันซึ่งเรียนอยู่คณะวิศวเคมีทำคลิปรับหลอมทองแล้วแมสในช่องทางโซเชียลหนึ่ง ทำให้ร้าน ‘มังกรตั้งฮั่วเฮง’ เป็นที่รู้จักมากขึ้น จากขายทองรูปพรรณเป็นหลักก็ปรับเปลี่ยนร้านเป็นรับหล่อทอง นากและเงินแทน กำไรเป็นกอบเป็นกำทั้งยังไม่ต้องลงทุนเยอะเหมือนทองรูปพรรณ“หนูหกล้มอะม้า ป๊า” ฉันฟ้องพ่อกับแม่ทันที ด้วยความที่เป็นน้องคนเล็กจึงถูกตามใจ ใครบอกว่าครอบครัวคนจีนไม่รักลูกสาว บอกว่าไม่จริงเลย บ้านฉัน ลูกสาวอย่างฉันคือที่หนึ่ง ส่วนลูกชายอย่างเฮียมังกรถึงจะมีชื่อเป็นเจ้าของร้านแต่สถานะคือคนรับใช้ของน้องสาวอย่างฉัน“มังกรไปซื้อแว่นใหม่ให้น้องหน่อย ร้านเฮียหยงนะ” นั่นไงแม่







