ยามสายวันถัดมา
ร่างสูงได้ก้าวออกจากห้องพัก ใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มยังคงเรียบเฉย จะมีเพียงสายตาที่มองไปยังบุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้น ที่ดูจะฉายชัดถึงความไม่ชอบใจนัก
“ท่านแม่ทัพ”
เป็นแม่นมชุ่ยอิงที่ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะมองเลยไปยังประตูห้องพักของผู้เป็นนาย
“อย่าเพิ่งกวนนาง ปล่อยให้ตื่นเองมิต้องไปปลุก หากไม่มีคำสั่งของข้าผู้ใดก็ห้ามเข้าไปข้างในเด็ดขาด”
แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน โดยที่สายตานั้นยังจับจ้องอยู่กับคนที่เขาไม่อยากให้เฉียดใกล้ภรรยา
“เจ้าค่ะ”
ชุ่ยอิงรับคำก่อนจะขยับหลีกทางให้แก่ท่านแม่ทัพ ไม่มีคำถามหรือความสงสัยอื่นใดออกจากปากของแม่นมสูงวัยอีก นางมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของเจ้านายเท่านั้น หากสิ่งนั้นมิได้ทำร้ายองค์หญิงของนาง
ทุกคำสั่งของท่านแม่ทัพนางมิคิดโต้แย้งใด ๆ ทั้งนั้น เรื่องของสามีภรรยาอย่างไรเสียนาและเหล่าผู้ติดตามก็คือคนนอก มิควรสอดรู้หรือก้าวก่าย เมื่อลับร่างของแม่ทัพหนุ่มไปแล้ว ชุ่ยอิงจึงหันไปยังคนที่ยังยืนมองหน้าประตูห้องของผู้เป็นนายมิยอมจาก
“ท่านป้า ไยฮูหยินยังไม่ออกมาอีกเล่าขอรับ”
บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม โดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ประตูห้อง
“มันธุระอันใดของเจ้ากัน”
“ข้าเป็นห่วงนาง เกรงว่าท่านแม่ทัพจะไม่พอใจที่นางเอ่อ...”
“อะไร”
“ที่นางดูให้ความสำคัญกับข้าอย่างไรเล่า”
บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านพูดยิ้ม ๆ ดวงตาที่สื่ออกมาก้แฝงความนัยเอาไว้อย่างชัดเจน
“ฮ่า ๆ เจ้าคนสมองหมู เจ้าเอาส่วนไหนของก้อนน้อย ๆ นั่น ที่คิดว่าฮูหยินของเราให้ความสำคัญต่อเจ้ากัน”
ขวับ! เสียงหัวเราะจากด้านหลัง ทำให้บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านหันกลับไปมองในทันที ใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าในยามค่ำคืนว่ารูปงามมากแล้ว ในเวลากลางวันเช่นนี้หากเทียบกันแล้ว อีกฝ่ายไม่ต่างจากเทพเซียน ส่วนตัวเขาเสมือนยาจกเลยก็ว่าได้
“เมื่อคืนอย่างไรเล่า หรือเจ้าไม่เห็นว่านางยิ้มให้แก่ข้า”
“เจ้าเด็กมิรู้ความ นายหญิงของพวกข้านั้นเป็นคนอารมณ์ดี เจ้าคือจ้าวบ้าน การที่เราผู้เป็นแขกยิ้มให้ ย่อมเป็นสิ่งสมควรทำ หรือยามเจ้าไปบ้านคนอื่น เจ้าจะต้องมีใบหน้าดั่งความคิดในขณะนั้นเลยหรืออย่างไรกัน นางยิ้มให้คนนับร้อย แบบนี้นางคงเห็นคนเหล่านั้นสำคัญทั้งหมดสินะ คิดได้อย่างไรกัน หืม!”
ต้านหลี่มิพูดเปล่า แต่สีหน้าที่แสดงออกนั้น คือการเย้ยหยันอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ
“หุบปากเจ้าไปเลยนะ อย่ามาทำเป็นดูหมิ่นข้า เจ้านึกว่าไม่รู้รึยังไง ว่าตัวเจ้าก็เป็นหนึ่งในบุรุษบำเรอของนางเช่นกัน”
ผลัวะ! ตุบ! สิ้นคำพูด บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านก็แน่นิ่งอยู่บนพื้นดิน ต้านหลี่ไม่คิดจะแยแสร่างที่สิ้นสติด้วยหมัดของเขา ใบหน้าหล่อเหลาแสดงอาการโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนเป็นนูน
จะดูถูกเขาเช่นไรก็ย่อมได้ แต่ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์หมิ่นเกียรตินายของเขา เจ้าเด็กเพิ่งพลัดขน ไยหาญกล้าแตะต้องนายหญิงของเขา ด้วยวาจาจาบจวงมิดูเงาหัวเช่นนี้
“ไยมิรู้จักอดกลั้นสักหน่อยเล่า”
เสียงดังมาจากในของประตู ทำให้ชุ่ยอิงและต้านหลี่ขยับยืนอย่างสำรวม
“ข้าน้อยมิชอบให้ผู้ใด ล่วงเกินนายหญิงเช่นนี้ขอรับ”
“หึ ๆ ข้ารู้”
ประตูห้องเปิดกว้างก่อนที่คนด้านใน จะก้าวออกมาด้วยสีหน้าเกียจคร้าน หญิงสาวบิดกายไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า โดยไม่สนสายตาดุ ๆ ของแม่นมที่ยืนอยู่ด้านหน้าเรือน
ทางด้านต้านหลี่ทำเพียงขบขันกับอาการของแม่นม เขาชินตากับภาพของทั้งคู่เป็นอย่างดี นายหญิงชื่นชอบความสบาย ๆ ไม่มากพิธีอันใด ใช้ชีวิตเยี่ยงบุรุษมากกว่าสำรวมเช่นสตรี
ถึงกระนั้นผู้เป็นนายกลับดูแลร่างกายของตนเอง ได้ดีกว่าคุณหนูหลายบ้านเสียอีก เพียงแค่ชื่อเสียงอันเสื่อมเกียรติ ที่นางจงใจให้ผู้คนรับรู้มันคือหนทางเดียวที่ทำให้องค์หญิงหานชิน สามารถทำตัวไร้กรอบของชนชั้นได้ก็เท่านั้นเอง
“ไปกันเถอะ ข้าหิวแล้ว”
หานชินก้าวลงมาหยุดยืนตรงหน้าของทั้งคู่ ก่อนจะเดินผ่านเลยร่างแน่นิ่งบนพื้นดินไปโดยมิคิดที่จะใส่ใจ เสมือนบุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านเป็นเพียงฝุ่นผงในสายตาของนาง
“มิใจร้ายไปสักหน่อยหรือเจ้าคะ เกรงว่าหากบิดาของเขามาพบเข้าจะพาลหาเรื่องเราเอาได้นะเจ้าคะ”
“หึ ๆ ที่นี่มันนอกเขตเมืองหลวง ไม่ต้องมานั่งเกรงกลัวว่าขุนนางคนไหนจะทูลฟ้องฝ่าบาท หากเขาคิดจะกล่าวโทษเรา เขาต้องมั่นใจว่าจะชนะหวังลู่ฉงได้เท่านั้น คนเป็นพ่อย่อมรู้ถึงตัวตนของบุตรชายเขาดี ส่วนข้าภรรยาหมาด ๆ ย่อมไม่รู้เห็นความคิดของสามี พวกเจ้าว่าจริงไหม”
เอ่ยจบร่างงามได้เดินหัวเราะร่าจากไป คำพูดในตอนท้ายช่างบาดลึกนัก หากคนฟังคือหัวหน้าหมู่บ้าน คงแทบอยากที่จะฉีกทึ่งร่างของผู้เป็นนายให้แยกออกเป็นชิ้น ๆ เลยกระมัง
ชุ่ยอิงได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ดูเหมือนนางจะยังไม่ชินกับชีวิตนอกรั้ววังเท่าใดนัก แต่องค์หญิงของนางสิดูจะปรับตัวได้ไวเหลือเกิน
“ข้ายังต้องเรียนรู้อีกมากสินะ” ชุ่ยอิงเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ปล่อยตัวให้เป็นธรรมชาติท่านป้า แล้วทุกอย่างจะดีเอง เพราะนับตั้งแต่เราก้าวพ้นเมืองหลวง ย่อมไร้กฎเกณฑ์ เช่นเดียวกับกระบี่ไร้ดวงตานั่นล่ะขอรับ”
ต้านหลี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดอย่างไม่จริงจังนัก แต่แฝงไปด้วยความหมายมากมาย ที่ต้องการเปิดโลกของนางให้กว้างขึ้น ก่อนจะก้าวตามผู้เป็นนายไปอย่างใจเย็น เมื่อลับร่างของคนทั้งสามแล้ว ชายหนุ่มสองคนที่ซุ่มอยู่ไม่ไกล ได้รีบวิ่งเข้ามาช่วยกันพยุงร่างไร้สติที่นอนอยู่บนพื้นหายไปยังอีกด้านของตัวเรือน
“จับตาดูคนในหมู่บ้านเอาไว้ให้ดี ข้ารู้สึกมีบางอย่างไม่ปกติ”
หวังลู่ฉงสั่งการกับคนสนิท เขาเฝ้ามองทุกอย่างมาโดยตลอด นับตั้งแต่บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้าน เข้าไปพูดคุยกับแม่นมของภรรยา จนหานชินก้าวจากไปเมื่อครู่นี้ เขาคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ย้อนกลับมาซุ่มดูทุกอย่างตรงนี้ ไม่เช่นนั้นคงมิได้เห็นอีกมุมของภรรยาตัวดี
“แล้วคนของฮูหยินเล่าขอรับ”
“ไม่จำเป็น”
ชายหนุ่มรับคำผู้เป็นนาย ก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปจากจุดที่แอบซุ่มอยู่ หวังลู่ฉงอยากรู้เหลือเกิน ว่าแท้จริงแล้วชายหนุ่มที่อยู่รอบกายภรรยาของเขานั้น มีความสำคัญอย่างไร ไยนางต้องยินยอมให้ผู้คนทั้งแผ่นดินเข้าใจผิดเรื่องที่นางลุ่มหลงบุรุษรูปงามทั้งหลาย
สามเดือนต่อมา หลังจากการสืบสวนของศาล ผลสรุปของคดี ฉีชางพร้อมด้วยมารดาเลี้ยงของเขา ได้รับโทษประหาร ส่วนฮั่วเยว่อิงและมารดารวมถึงเฉินป๋อหยาถูกส่งไปใช้แรงงานในเหมือง ในฐานะนักโทษเป็นเวลาสิบปี ทางด้านเด็กน้อยเสี่ยวเป่า ฮั่วเสารับดูแลในฐานะลูก โดยทุกคนได้รับคำสั่งไม่ให้พูดเรื่องชาติกำเนิดแท้จริงกับเด็กน้อย เฉินห้าวหนานยืนมองเป้าหมาย ที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ไม่ไกล เขาหอบลูกติดตามหญิงสาวมาจนถึงชายแดนตะวันออก ทว่าทางสำนักคุ้มภัยบอกแก่เขาว่านางอยู่ที่นี่ หลังจากทำการเจรจากับท่านตาและท่านยายของหญิงสาวเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงได้มาหานางที่นี่ ชายหนุ่มวางบุตรชายเอาไว้บนพื้นหญ้า ก่อนจะทำให้เจ้าก้อนแป้งส่งเสียงร้องงอแง ฮั่วเหลียนชินหันหาที่มาของเสียงร้อง ที่นางคุ้นเคยในทันที ก่อนที่นางจะเดินตามเสียงนั้นเสมือนต้องมนต์ แม้ในใจจะคิดว่านางคงกำลงคิดถึงหลานชายจนหูแว่ว “ห้าวหยาง!” ร่างบางวิ่งเข้าอุ้มหลานชายขึ้นสู่อ้อมแขนในทันที หญิงสาวกดจมูกลงบนแก้มอวบอ้วนด้วยความคิดถึง “เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน บิดาเจ้ารังแกเช่นนั้นรึ หลี
“ท่านแม่! ข้าเป็นลูกของท่านพ่อใช่หรือไม่ ข้ามิใช่ลูกเขาใช่ไหมขอรับ” เฉินป๋อหยาเอ่ยถามมารดา ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งกว่าปกติหลายเท่านัก มารดาบอกแก่เขาว่าตนเป็นลูกของนางอย่างแท้จริง แต่เฉินห้าวหนานเป็นลูกชายของน้องสาว ที่แต่งมาเป็นอนุของบิดา ทว่าตอนนี้ไยทุกอย่างมันกลับกลายเป็นเขา ที่มิใช่สายเลือดสกุลเฉินไปได้ “แม่ขอโทษป๋อหยา’ ไม่ต้องมีคำอธิบายใด ๆ อีกแล้ว ทุกอย่างกระจ่างชัดจนชายหนุ่มทนรับมันต่อไปไม่ได้ ร่างสูงก้าวช้า ๆ ตรงไปยังประตูห้องจัดเลี้ยง เขาไม่ใช่คนสกุลเฉิน แต่เป็นลุกพ่อบ้านจวนสกุลฮั่ว หนำซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นคนอยู่เบื้องหลังการตายของใครอีกหลายคน มารดาของเขาคือฆาตกรสังหารน้องสาวตนเอง เพื่อช่วงชิงลูกของนางมาเป็นของตนเอง ทุกอย่างมันร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจะทนรับมันได้ ทว่าเพียงก้าวพ้นประตู เฉินป๋อหยาก็ถูกทหารรวบตัวเอาไว้ เพราะมีส่วนร่วมในการลอบสังหารฮูหยินในท่านแม่ทัพเฉินห้าวหนาน เฉินป๋อหยาไม่มีท่าทีขัดขืนใด ๆ ชายหนุ่มเหม่อลอยจนน่าตกใจ ก่อนที่เขาจะหันกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง มารดาถูกคุมตัวนั่งเคียงข้างบิดาที่เขาเพิ่งรู้จัก อีกข้า
“หยุดนะห้าวหนาน วันนี้เป็นวันดีของน้องชาย เจ้าจะเอาเรื่องไร้สาระเช่นนี้ มาเล่าเพื่อสิ่งใดกัน” “อย่าได้ร้อนตัวสิขอรับท่านแม่ อย่างไรก็ฟังให้จบเสียก่อนจะดีกว่า” “นั่นสิ! เฉินฮูหยินให้หลานชายข้าเล่าต่อให้จบเถิด” ท่านเจ้ากรมการคลัง ได้พูดแทรกขึ้น เพราะเขาเองก็อยากจะฟังเรื่องนี้ให้จบ เพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่เขาเคยได้ยินมานั้น มันมิใช่สิ่งที่คิดไปเอง ซึ่งแขกในงานต่างแสดงความต้องการ เช่นเดียวกันกับท่านเจ้ากรม “เช่นนั้นต่อเลยนะขอรับ ในวันที่น้องสาวของนางคลอดบุตรชาย ตัวนางเองก็คลอดบุตรชายเช่นกัน อ่อ! ในตอนนั้น นางเลือกที่จะพาน้องสาวกลับไปคลอดยังบ้านเกิดมารดา อีกทั้งสามีที่เป็นแม่ทัพก็มิอาจปลีกตัวติดตามไปได้ ข่าวดีและร้ายได้เกิดขึ้นในวันเดียวกัน นั่นคือท่านแม่ทัพได้บุตรชายสองคน ทว่าเพียงสองชั่วยามภรรยาและลูกชายอีกคนได้สิ้นใจลงอย่างน่าอนาถ” “แล้วมันยังไง ก็แค่เมียเอกกับเมียน้อยคลอดลูกพร้อมกัน ส่วนเรื่องคลอดลูกแล้วตกเลือดจนตายก็นับเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย เด็กไม่แข็งแรงจะสิ้นใจก็ไม่แปลก” “แปลกตรงที่แท้จริงเมียเอกมิได
ตลอดสามวันที่เขาปล่อยข่าวว่าออกนอกเมืองไป มันทำให้เขาได้รู้เห็นเรื่องในบ้าน จนเรียกว่าเจ็บจนแทบจะกระอักเลือดเลยก็ว่าได้ “สัญญากับข้า อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เพียงเพราะโทสะของท่าน” “ข้าสัญญา เจ้าก็ต้องรับปากข้า ว่าจะไม่เอาตนเองมาเสี่ยงเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่” “เราเป็นอะไรกันเช่นนั้นรึ จึงต้องทำตามคำขอของท่าน ซึ่งมันมิใช่ส่วนรวมเช่นคำขอของข้าเลยสักนิด” “เจ้ากับลูกเป็นทุกสิ่งของข้า” “อย่าได้หมิ่นเกียรติข้าเกินไปนัก รู้ตนเองบ้างว่าท่านกับข้าเป็นใคร” “เพราะรู้ข้าถึงกล้ายอมรับมัน” “…” ฮั่วเหลียนชินมิอาจเอ่ยสิ่งใดตอบโต้ชายหนุ่มได้ นางทำเพียงก้าวเคียงข้าเขาไปเงียบ ๆ เพราะคร้านจะโต้แย้ง “ความรู้สึกมิใช่เงินตราก็ซื้อหาได้ ข้าคิดเช่นไรก็พูดออกไปเช่นนั้นมิได้โป้ปด ทุกอย่างสุดแท้แต่เจ้าจะมองเห็นเหลียนชิน” เฉินห้าวหนานเอ่ยขึ้นเบา ๆ พร้อมกระชับร่างบางให้แนบกายมากขึ้น ด้วยเกรงว่าเขาจะมิได้ชิดใกล้นางเช่นนี้อีก หลังจากกลับมาถึงจวน เฉินฮูหยินได้รีบมาที่เรือนของลูกสะใภ้ พร
“หึ ๆ ไม่นึกว่าวันนี้จะได้ยลโฉมคุณหนูใหญ่สกุลฮั่ว” เสียงจากด้านหลังหินก้อนใหญ่กลางสวน ไม่ได้ทำให้หญิงสาวทั้งสามรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ยิ่งอีกฝ่ายเรียกนางได้อย่างถูกต้อง นั่นแสดงว่าจิ้งจอกพิการทั้งสอง รนรานกลับไปหานายเก่าแล้ว และหากนางเดาไม่ผิดทั้งสองคนไร้ลมหายไปแล้วเช่นกัน “รวดเร็วทันใจดีแท้ หึ ๆ” หญิงสาวเอ่ยเบา ๆ กับสาวใช้ทั้งสอง ก่อนจะมองไปยังคนที่เผยตัวออกมาอย่างใจเย็น ทว่าเขายังคงปิดบังใบหน้าตนเองเอาไว้ “ไยต้องบิดบังใบหน้าด้วยเล่า ช่างไร้มารยาทในการพบเจอยิ่งนัก” “ไม่นึกเลยว่าเด็กขี้โรคเมื่อวันวาน จะกลายเป็นหญิงงามในวันนี้” “ขอบคุณที่ชม แต่ข้าก็ยังแปลกใจอยู่ดี ว่าเหตุใดกันเจ้าจึงมารอพบข้าที่นี่ อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ มันย่อมไม่มีทางเป็นเช่นนั้นไปได้ เพราะความบังเอิญนี้มันเหมาะเจาะจนเกินไป” ฮั่วเหลียนชินกระชับอ้อมแขนรัดร่างอ้วนให้แน่นขึ้น นางสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่อีกฝ่าย ตั้งใจปลดปล่อยออกมาเพื่อกดดันนาง อีกอย่างคือกำลังประเมินฝีมือของนางไปในตัว “จะกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมได้ น่าเสียดา
สามวันถัดมา เฉินฮูหยินได้ให้สาวใช้มาแจ้งแก่ฮั่วเหลียนชิน ว่าจะพานางกับลูกไปไหว้พระ เพื่อขอพรให้กับครอบครัว หญิงสาวได้ตอบรับคำเชิญของแม่สามี หญิงสาวยกยิ้มร้าย เมื่อกล้าท้าทายนางก็พร้อมท้าชนเช่นกัน “บาดแผลของนายหญิง ยังไม่หายดีนะเจ้าคะ” “บาดแผลหนักกว่านี้พวกเราก็ผ่านกันมาแล้ว หากให้ผู้อื่นรู้ว่าข้าบาดเจ็บย่อมต้องเป็นสงสัยของทุกคน แค่เขารู้คนเดียวข้าก็หนักใจอยู่ไม่น้อย” ฮั่วเหลียนชินรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ เพราะถึงแม้ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะวางใจเฉินห้าวหนานได้มากแค่ไหน แม้เขาจะพูดกับนางอย่างตรงไปตรงมา ถึงความรู้สึกที่มีต่อน้องสาวของนาง ‘แม้ข้ามิได้รักนาง แต่ข้าก็มิคิดที่จะให้นางกับลูกตาย ห้าวหยางคือลูกชายของข้า ไยข้าจะชิงชังเขาได้เล่า แต่ข้าไม่นึกว่าการเดินทางของนาง จะเป็นการจากไปมิหวนคืนเช่นนี้’ “จิ้งจอกถูกปล่อยแล้วใช่หรือไม่” “เจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพี่ฉงอานกำลังจับตาดูอยู่เจ้าค่ะ” “ดี! มองอยู่เงียบ ๆ รอให้สาวถึงปลาตัวใหญ่ ค่อยลงมือในคราเดียว” “สาวใช้จากเรือนหลีหยา มาป้วนเปี้ยนบ่อยยิ่งนักเจ