ฉันยังคงพยายามใช้ชีวิตให้เป็นปกตินี่ก็หลายวันแล้วที่ฉันไม่ได้ไปที่โรงยิมและฉันก็ไม่คิดจะโผล่ไปที่เรือนกระจกอีกเด็ดขาดเพราะตั้งใจจะหนีตาซาตานนั้น ยังดีที่รอยช้ำบ้าๆ พวกนั้นจางลงไปบ้างทำให้แค่ทาบีบีครีมก็สามารถปกปิดได้หมดวันนี้ฉันต้องเข้ารับการประเมินการแสดงละครเวทีเพื่อคัดเลือกนักศึกษาจากสาขาศิลปะการแสดงไปแสดงละครเวทีสมทบกับเอกภาพยนตร์ของมหาวิทยาลัยเอกชนเครือข่ายและฉันเข้ารับการคัดเลือกครั้งนี้เพราะหวังค่าตอบแทนเป็นชั่วโมงกิจกรรมอย่างน้อยมันอาจจะช่วยให้ฉันมีหวังในการสอบทุนปีหน้า“รัตติณา โยธากัณฑ์”เสียงเรียกชื่อฉันดังขึ้นพร้อมเรียกให้ฉันตื่นจากภวังค์ บทของฉันวันนี้คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องอ้อนวอนคนรักไม่ให้ทิ้งเธอไปโดยที่ต้องคิดบทพูดตอบโต้กับนักแสดงอีกคนที่ทางกรรมการจัดเตรียมมาให้“ให้เวลาตกลงกัน 5นาที”ฉันพยักหน้าตอบกรรมการก่อนจะหันมาสนใจคู่แสดงแต่แล้วฉันก็ต้องตกใจเมื่อผู้ชายที่กำลังมองฉันอยู่ตรงหน้าคือคนที่ทำให้ฉันกับเพื่อนรักต้องแตกหักกัน ใช่ เขาคือซันจอมโกหก!“ไม่เจอกันนานเลยนะข้าว""...”ฉันไม่ตอบแล้วพยายามข่มอารมณ์ให้ใจเย็นทั้งที่ตอนนี้ฉันอยากจะเดินออกไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
ฉันไม่ได้ไปเรียนมาสองวันแล้วมัวแต่นั่งร้องไห้หน้าคอมค้นหาข้อมูลเรื่องสิ่งที่พี่ฟอร์นทำกับฉันมันคืออะไรแล้วมีโอกาสท้องหรือเปล่า ยังโชคดีที่ เอิ่ม...ยังไม่ได้สอดใส่ไม่งั้นฉันคงเครียดกว่านี้แน่ ฉันไปทำอะไรให้เขานักหนานะถึงต้องลงโทษขนาดนี้แล้วรอยช้ำเป็นจ้ำนี่ก็ใช้เวลาหลายวันกว่าจะหายฉันจะไปเรียนโดยมีรอยพวกนี้ไม่ได้ฉันสัญญากับตัวเองเลยว่าต่อไปนี้จะไม่ไปที่เรือนกระจกอีกเด็ดขาด แต่ถ้าไม่ไปเรียนแบบนี้จะเรียนตามเพื่อนทันไหมนะแล้วไหนจะชมรมบาสอีก เฮ้อ....."จะเอาอนาคตมาเสี่ยงกับเรื่องแค่นี้จริงๆ เหรอข้าว เธอควรเข้มแข็งและผ่านมันไปให้ได้...รู้สึกเหมือนโดยข่มขืนเลยเกลียดตัวเองชะมัด"ฉันมองตัวเองในกระจก ใบหน้าโทรมๆ นั้นใช่ฉันจริงๆ เหรอ ฉันคนเดิมหายไปไหน...ฉันจะจมอยู่แบบนี้ไม่ได้อุตส่าห์สอบได้ทุนจะมาท้อเรื่องแบบนี้ไม่ได้"...บีบีครีมคงจะพอช่วยได้ โชคดีนะที่วันนี้เรียนบ่าย"สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจใช้บีบีครีมปกปิดรอยช้ำแล้วปล่อยผมให้ปิดบังลำคอมากที่สุดเท่านี้คงไม่มีใครสังเกตแล้ว ส่วนเรื่องชมรมบาสวันนี้ฉันตั้งใจจะทำเป็นมองไม่เห็นตานั้นสะเขาจะได้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันแย่แค่ไหนสำหรับฉันภาคบ่ายฉันเข้าเรียนต
: ฟอร์นผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ เพื่อไล่ไฟในใจออกไปบ้าง ยัยเด็กบ้านั้นดีแต่ขัดคำสั่งผมได้ทุกวัน ลองดีนัก!"หวงมากก็ตามไปดิวะเพื่อน ฮ่าๆ "ปอร์เช่หัวเราะกับไอ้โยเรื่องเมื่อเย็นผมตั้งใจจะแสดงความเป็นเจ้าของให้โยมันไปเตือนไอ้จัสมินว่ามันเล่นผิดคน อะไรที่เป็นของผม...คนอื่นไม่มีสิทธิ์"..."กึกๆ"เฮ้ยๆ ระเบิดจะลงแล้วใจเย็นเพื่อนเดี๋ยวนี้มึงโมโหง่ายฉิบหายไม่สมกับเป็นมึงเลย"ปอร์เช่เห็นผมกัดฟันเลยรีบพูดดักเพื่อให้ผมใจเย็น ถูกของมันปกติผมจะเป็นคนไม่สนใจไยดีเรื่องผู้หญิงอย่างมากก็แค่ข้ามคืนบ้างแต่กับยัยข้าวผมยอมรับว่าเป็นคนแรกที่มาอ่อยผมแล้วผมสนใจ"ฟอร์นค่ะ คุณโมโหอะไร...หรือว่าเรื่องที่จัสไปกับข้าวเหนียว""...เหอะ""ก็ไม่แปลกนิค่ะ สองคนนั้นกำลังศึกษากันอยู่..."เพี้ยง!"ว๊าย! "โรสตกใจที่อยู่ๆ ผมก็ตั้งใจโยนแก้วเหล้าลงพื้น คำพูดของเธอยิ่งทำให้ผมเดือดถึงขีดสุด ศึกษากันงั้นเหรอไม่มีทาง ผมลุกขึ้นเดินลงมาด้านล่างเพื่อมองหาข้าวเหนียวและจัสมิน"อยู่ไหนวะ! "ผมร้อนใจไปหมดยัยข้าวนี่มีอะไรดีทำให้คนมีเหตุผลอย่างผมปั่นป่วนจนเป็นคนละคนได้ขนาดนี้"อะ! พี่ฟอร์นครับช่วยผมหาข้าวทีพอดีเ
พอมาเรียนจัสก็ถามเรื่องพี่ฟอร์นจากฉันยกใหญ่ว่าไปรู้จักหลานชายเจ้าของบริษัทนำเข้าเพชรรายใหญ่ได้ยังไง พอฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเขาก็เอาแต่หัวเราะฉันไม่หยุด แต่ดูท่าแล้วที่อีตาพี่ฟอร์นเคยบอกว่าเป็นคนสวนมันคือการโกหกสินะ ว่าแล้วเชียว! แล้วตกลงเรือนกระจกนั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่หลานของเจ้าของมหาลัยถึงต้องมาดูแลเองแบบนี้"เฮ้อ เลิกเรียนสักทีแล้วนี่ข้าวจะไปไหนต่อแบบนี้? ""ไม่รู้เลยวันนี้ก็เบื่อๆ ""งั้นไปชมรมบาสกับเราไหม อ่อ! ข้าวเป็นนักเรียนทุนนี่ต้องมีคะแนนกิจกรรมใช่ไหม พอดีเลยชมรมเรากำลังรับสมัครผู้ช่วยโค้ชไปสมัครได้นะ"เห้ย! ลืมเรื่องคะแนนกิจกรรมไปสนิทเลย โหย ยัยข้าวเหนียว ดีนะที่จัสเตือนไม่งั้นปีหน้าไม่มีสิทธิ์สอบชิงทุนแน่เลย"เราลืมเรื่องนี้ไปเลยขอบคุณที่เตือนงั้นเราไปสมัครชมรมบาสดีกว่าอีกอย่างเราจะได้มีเพื่อนด้วย""อ่อ ดีเลยงั้นปะ"จัสเดินนำฉันมายังโรงยิมใหญ่ที่อยู่ข้างตึกเอกของเราไม่น่าเชื่อว่าแม้กระทั่งโรงยิมยังถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวอาของอีตาพี่ฟอร์นจะรวยไปไหน"เฮ้ จัสพาใครมาน่ะ""อ่อ เพื่อนผมจะมาสมัครเป็นผู้ช่วยโค้ชอ่าครับพี่แบบนี้""สวัสดีค่ะพี่โย"ฉันไหว้คนตรงหน้า"จ้า เอางี
คณะนิเทศศาสตร์ เอกศิลปการแสดง"สวัสดี..."ฉันสะดุ้งเมื่อมีเสียงทุ้มๆ ดังขึ้นข้างตัว ผู้ชายสูงโปร่งหน้าตาดีกำลังยืนยิ้มให้ฉันจนตาหยี"..คะ? ""ขอนั่งด้วยคนนะ เปิดเทอมวันแรกไม่มีเพื่อนน่ะ""อ่อ ได้เลย""เราชื่อจัสมิน ยินดีที่ได้เรียนเอกเดียวกันนะ""เราชื่อข้าวเหนียว ยินดีเช่นกัน""เสียดายเนอะ ที่นี่ไม่มีรับน้องเหมือนมหาวิทยาลัยอื่น เราคงจะสนิทกับเพื่อนยากเลยทีนี้""ไม่หรอกถ้าเรียนด้วยกันยังไงก็สนิทกันอยู่แล้ว""นั้นสิ ฮ่าๆ "วันนี้ทั้งวันฉันแทบจะไม่มีเพื่อนใหม่เลยนอกจะจัสมินแต่ละคนในเอกดูเป็นลูกคุณหนูไฮโซใช้กระเป๋าแพง ๆ ต่างจากฉันที่มีฐานะธรรมดา แม่ฉันเป็นนักเดินทางท่องเที่ยวแล้วเขียนลงบล็อก ส่วนมากก็ไม่ได้กลับบ้านละฉันก็เป็นลูกคนเดียวเลยไม่รู้วิธีทำความรู้จักคนอื่นเลยยังโชคดีที่มีจัสมินไม่อย่างนั้นฉันคงหาเพื่อนได้ยากแน่ๆ"เลิกเรียนแล้วข้าวจะไปไหนต่อเหรอ""เอิ่มม...คงกลับเลย""ให้เราไปส่งไหม? ""ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก""โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกัน"ฉันโบกมือให้จัสมินแล้วเดินมุ่งหน้าไปที่เรือนกระจก ฉันอยากรู้ว่าช่วงเวลาใกล้ค่ำแบบนี้พวกผีเสื้อยังจะผสมเกสรดอกไม้กันอยู่หรือเปล่า ฉันน่ะชอบพวกดอกไม้
“ว๊าววว หรูชะมัด นี่คือมหาวิทยาลัยของฉันสินะ”ฉันพึมพำกับตัวเองขณะที่สายตามองทอดยาวไปตามราวสะพานสีขาวสไตล์ยุโรปมันถูกสร้างยาวตามตัวอาคารเป็นการออกแบบที่ลงตัวเข้ากับตัวตึกที่ถูกออกแบบเป็นโทนสีขาวเกือบทั้งหมด มีทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนและทุ่งดอกไม้สีสดที่อยู่ด้านนอก มองออกไปบริเวณทุ่งหญ้าเหมือนจะมีสวนเล็กไว้ให้พักผ่อนในเวลากลางวันนี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ยใช่ประเทศไทยหรือเปล่าบอกที ถ้าที่นี่มีหิมะตกด้วยนะยุโรปชัดๆ เหมือนที่นี่จะมีเรือนกระจกเพาะดอกไม้เป็นของที่นี่เองด้วยฉันเคยได้ยินมาว่าดอกไม้พวกนี้ต้องได้รับการดูแลที่ดีเอามากๆ อืมมม นี่ยังเช้าอยู่ฉันควรจะไปสำรวจเรือนนั้นสะหน่อยแล้ว“สวยสุดยอดเลย แต่เงียบจังนะ... ”ฉันเดินตามสะพานมาจนสุดทางก็พบเรือนกระจกใสภายในเต็มไปด้วยดอกไม้สีสดนานาพันธุ์และผีเสื้อหลากชนิดคงใช้พวกมันในการผสมเกสรดอกไม้สิน่ะ ระหว่างทางฉันสังเกตว่าผีเสื้อเยอะมาแต่ยังไม่ถึงครึ่งของในเรือนกระจกนั้นเลยมั้ง ฉันอยากเข้าไปดูพวกแกใกล้ๆ จังเลย “ว่าแต่...ทางเข้าอยู่ไหนนะ”ฉันพยายามเดินเรียบกระจกไปเลยเพื่อมองหาทางเข้าดูเหมือนเรือนกระจกนี่ยาวและดูกว้างมาก แต่มันต้องมีทางเข้าสิไม่อย่างนั้นผี