Share

บทที่ 12

Author: ไห่ตงชิง
เฉินจิ้งชวนที่หมอบอยู่ที่พื้นก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เขากัดฟันตอบไปว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อม...”

“ตามระเบียบมารยาทของต้าฉิน พ่อค้าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ประตูบ้านสูงไม่เกินสามเมตร ขั้นบันไดมีเพียงแค่สี่ขั้น จำนวนตะปูที่ประตูต้องไม่เกินสามสิบหกตัว และไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของที่ดินในเมืองหลวง เฉินจิ้งชวน เจ้ากำลังเหยียบย่ำระเบียบมารยาทของต้าฉิน และปฏิบัติต่อมันเหมือนไม่มีค่างั้นหรือ?”

หลี่เฉินพูดขัดคำพูดของเฉินจิ้งชวนด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

แม้ว่าน้ำเสียงของคำพูดเหล่านี้จะไม่แยแส แต่ก็แฝงเจตนาฆ่าที่เย็นชา

ท่ามกลางจิตสังหาร องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์รัชทายาทออกคำสั่ง ทุกคนในตระกูลเฉินก็จะกลายเป็นเนื้อบดทันที

เฉินจิ้งชวนรู้สึกหวาดกลัว เขาทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษา และขอให้เขาเพิกเฉยต่องานเลี้ยงขององค์รัชทายาท เพราะไม่อยากอยู่คั่นกลางระหว่างองค์รัชทายาทและราชสำนัก พวกเขาไม่อยากตกเป็นเหยื่อท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์และขุนนาง

แม้ว่าเมื่อราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นไม่มีใครกล้าก้าวข้ามระเบียบมารยาท แต่ตอนนี้ราชวงศ์นี้มีมานานกว่า 200 ปีแล้ว ราชสำนักก็เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ โดยปกติไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ แต่ถ้าหากองค์รัชทายาทจับจุดอ่อนได้ นี่จะเป็นอาชญากรรมร้ายแรง

ไร้เขา ไร้อำนาจ

เขาอธิบายเสียงสั่นเครือ “กระหม่อมถูกใส่ความ บ้านหลังนี้เช่าโดยกระหม่อม ไม่ได้ซื้อมา กระหม่อมยินดีที่จะยกเลิกสัญญาเช่าทันที...”

“เหยียบย่ำกฎเกณฑ์ที่บรรพชนกำหนด แค่ยกเลิกสัญญาเช่าก็สิ้นเรื่องแล้วหรือ?”

หลี่เฉินยิ้มเยาะ จ้องมองไปที่เฉินจิ้งชวน และพูดอย่างใจเย็น “ข้าไม่อยากฟังเจ้าอธิบาย ข้าไม่อยากรู้ว่าใครเป็นคนให้เจ้ากินดีหมีหัวใจเสือเพื่อประจบประแจงข้า แต่ข้าอยากจะยืมหัวของตระกูลเฉิน แสดงให้คนเหล่านั้นเห็นว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากทำให้ข้าขุ่นเคือง”

เฉินจิ้งชวนใจสลายเมื่อได้ยินสิ่งนี้

เมื่อมองดูองครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยบูรพาที่ดุร้ายรอบตัว เขาก็รู้ว่าองค์รัชทายาทไม่ได้แค่พูดเท่านั้น

เวลานี้ เขารู้สึกเสียใจแล้วจริงๆ เขารีบอ้อนวอนทันที “ได้โปรดองค์รัชทายาท ได้โปรดเมตตาด้วยเถอะ!”

ด้านหลังเฉินจิ้งชวน มีผู้หญิงตกใจกลัวจนร้องไห้ออกมา ทันใดนั้นก็เด็กหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้น ชี้ไปที่หลี่เฉินแล้วตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “แม้ว่าท่านจะเป็นองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง แต่ตระกูลเฉินของพวกเราก็เป็นพ่อค้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายเช่นกัน หากไม่เห็นด้วยกับท่าน ท่านก็จะฆ่าหรือไร เช่นนั้น คนในใต้หล้าจะสบายใตได้เยี่ยงไร? ท่านอย่าลืมสิ ผู้คนในเมืองหลวงต่างเฝ้าดูท่านจากด้านหลัง!”

เฉินจิ้งชวนเห็นลูกชายของเขากระโดดออกมาและพูดคำเหล่านี้ เขาก็โกรธมาก เขาตบทันที และตะโกนด่าด้วยความโมโห “หุบปาก ไอ้ลูกเนรคุณ! เจ้าอยากให้ตระกูลเฉินเราตายทั้งหมดใช่ไหม!?”

พูดจบ เฉินจิ้งชวนก็คุกเข่าลงตรงหน้าหลี่เฉิน แล้วร่ำไห้ออกมา “องค์รัชทายาท กระหม่อมสั่งสอนลูกไม่ดี ได้โปรดเมตาพวกเราด้วย”

หลี่เฉินมองไปที่เด็กหนุ่มที่แสดงอาการไม่พอใจที่โดนตบหน้า กล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่เลว ใจกล้าไม่เบา”

“ตระกูลเฉินพวกเจ้า ในฐานะพ่อค้าธัญพืชรายใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ทุกวันนี้ ภัยพิบัติมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ต้องแลกลูกกันกิน แม้แต่ผู้คนในเมืองหลวงก็ทำงานหนักเพื่ออาหารสามมื้อต่อวัน แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าเป็นพ่อธัญพืชที่ยอมให้ข้าวขึ้นรามากกว่าขายในราคาปกติ ตอนนี้ราคาข้าวในตลาดเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า มันเป็นความผิดของใคร? มันเป็นความผิดของพ่อค้าธัญพืชอย่างพวกเจ้า!”

“ตั้งแต่สมัยโบราณแล้วพ่อค้าเห็นคุณค่าของผลกำไร และเหยียบย่ำความชอบธรรมของวิญญูชน พวกเจ้ากำลังสร้างความมั่งคั่งจากวิกฤติของประเทศ ตอนที่กำลังดูดเลือดสูบเนื้อประชาชน ทำไมท่านถึงไม่รู้ว่าผู้คนกำลังเฝ้าดูอยู่? ผลกรรมมาถึงแล้ว แต่คิดจะใช้ประชนชนเป็นโล่กันธนูงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าประชาชนโง่หรือเปล่า?”

หลี่เฉินพูดเสียงดัง และผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างหลังเขาก็ตื่นเต้น

พ่อค้าธัญพืชมีเงินและธัญพืช แต่พวกเขาต้องขายทรัพย์สินทุกอย่างเพื่อแลกธัญพืชจำนวนน้อยนิด ดังนั้นความไม่พอใจของสาธารณชนจึงเดือดพล่านแล้ว แต่แค่ไม่มีใครระบายออกมา

บัดนี้มีองค์รัชทายาทเป็นผู้นำด้วยตัวเอง และคำพูดเหล่านี้ก็โดนใจพวกเขามาก

“องค์รัชทายาททรงมีเมตตา องค์รัชทายาททรงมีเมตตา!”

ในหมู่ฝูงชน มีคนเฒ่าคนแก่หลายคนพากันคุกเข่าลงและตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น

ทันใดนั้นประชาชนก็คุกเข่าลง แล้วตะโกนว่าองค์รัชทายาททรงมีเมตตา

เมื่อเห็นว่าหลี่เฉินครองใจผู้คนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เฉินจิ้งชวนแทบน้ำดีแตก เขารู้สึกว่าภัยพิบัติกำลังจะเกิดขึ้น

เขาจะจัดการกับคนที่รู้วิธีการเล่นกับจิตใจผู้คนแบบนี้ได้อย่างไร?

“ทหาร พ่อค้าตระกูลเฉิน หัวหน้าตระกูลเฉินจิ้งชวน เพิกเฉยต่อระเบียบมารยาทของจักรวรรดิ ทำตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์ ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจกับเลือดและหยาดเหงื่อของผู้คนเมื่อประเทศกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤต ไม่เข้าใจความยากลำบากของราชสำนัก และทำเงินได้มากมายจากภัยพิบัติของประเทศ ทั้งยังกล่าวโจมตียังองค์รัชทายาท ถือเป็นการไม่เคารพอย่างยิ่ง”

“ตามคำสั่งขององค์รัชทายาท ตระกูลเฉินสามชั่วโคตรจะถูกตัดหัวต่อสาธารณะ และทรัพย์สินทั้งหมด จะถูกนำเข้าไปในท้องพระคลังเพื่อใช้บรรเทาภัยพิบัติ”

เมื่อหลี่เฉินออกสั่งคำ หัวคนก็เตรียมหลุดออกจากบ่า

เฉินเจิ้งชวนรู้สึกหน้ามืด เขาตกใจมากจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อขอความเมตตา แต่กลับถูกองครักษ์เสื้อแพรสองคนหยุดเอาไว้ และเอาดาบจ่อที่คอของพวกเขา

“องค์รัชทายาททรงโปรดเมตตา กระหม่อมทำไม่ถูกเพราะสิ้นหวัง กระหม่อมยินดีบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อร้องขอชีวิต องค์รัชทายาทได้โปรดเมตตา เมตตาเหนือกฎหมาย!”

หลี่เฉินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน จากนั้นก็หันหัวม้า แล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังถัดไป

ครั้งนี้ประชาชนเปิดทางให้อย่างยินดี

เสียงกรีดร้องของเฉินจิ้งชวนค่อยๆ จางหายไป และพวกเขากำลังเข้าใกล้บ้านหลังที่สอง ซึ่งเป็นบ้านของตระกูลหู เมื่อหลี่เฉินเห็นสวีฉังชิงดูซีดเซียว จึงพูดเบาๆ ว่า “กลัวหรือ? คิดว่าข้าโหดร้ายหรือไม่?”

สวีฉังชิงไม่กล้าพูดออกมา เพียงแต่ยิ้มอย่างขมขื่น “กระหม่อม กระหม่อมแค่คิดว่า พ่อค้าธัญพืชรายใหญ่ทั้งสามนี้ไม่มีอะไรเลย แต่ที่พวกเขากล้ารวมตัวกันปฏิเสธคำเชิญขององค์รัชทายาท คงเป็นเพราะมีบางคนขวางไว้ องค์รัชทายาทการฆ่าเช่นนี้ย่อมเป็นสุข แต่เลี่ยงไม่ได้ที่จะตกอยู่ในมือของศัตรู”

“ไม่เลว รู้จักพิจารณาปัญหาจากจุดยืนของข้าด้วย” หลี่เฉินกล่าวอย่างพึงพอใจ

สวีฉังชิงยิ้มอย่างขมขื่น

องค์ชายรัชทายาทออกมาพร้อมโบกสะบัดธงอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่ให้ทุกคนเห็นวิธีการของตนเท่านั้น แต่ยังพาเขามาอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ทุกคนรู้ว่า ตัวเขานั้นเป็นคนขององค์รัชทายาทช และร่องรอยนี้ไม่อาจลบล้างออกไปได้แม้ว่าเขาต้องการก็ตาม ซึ่งนั่นหมายความสวีฉังชิงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องติดตามองค์รัชทายาทไปจนถึงจุดจบ

“จะเล่นไปบนมือของพวกเขาก็ดี หรือจะทำเหนือความคาดหมายของพวกเขาก็ช่าง มันไม่ใช่สิ่งที่ข้ากำลังพิจารณาอยู่ตอนนี้ สิ่งที่ข้าต้องการทำก็คือใช้มีดที่ดาบที่สุด เพื่อขจัดความยุ่งเหยิงในเมืองหลวงให้เร็วที่สุด”

“ข้าไม่มีเวลาหรือฝึกความความชำนาญไปอย่างช้าๆ เพื่อจะต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาเฒ่าที่วางแผนหลอกกันและกันในราชสำนัก ข้าจะฆ่าใครก็ตามที่ขวางทางข้า จะเอาชนะทุกวิถีทาง ข้าเป็นผู้สืบทอดใต้หล้านี้ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หากเราไม่ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบพิเศษนี้ หรือจะให้ข้ารอตาเฒ่าจ้าวเสวียนจีนั่นมาฆ่า?”

“เมื่อพิจารณาจากจิตวิญญาณของเขาแล้ว เขาคงมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยสิบปี ตอนนั้นข้าก็จะอายุสามสิบหรือสี่สิบปี แม้ว่าข้าจะทนได้ แต่จักรวรรดิไม่สามารถทนได้ และข้าก็ไม่มีความอดทน ข้าไม่สนใจที่จะเล่นแผนพวกนั้นด้วยซ้ำ ข้าแค่ฆ่าพวกมันให้หมด”

หลังจากที่หลี่เฉินพูดจบ เขาก็กระตุ้นท้องม้าเบาๆ ม้าตัวนี้ฉลาดมาก มันเร่งความเร็วขึ้นทันที โดยทิ้งสวีฉังชิงไว้ข้างหลัง

สวีฉังชิงมองแผ่นหลังขององค์รัชทายาท และรู้สึกว่าองค์รัชทายาทคิดเรื่องนี้ง่ายเกินไป ถ้าหากคำว่าฆ่าสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ฝ่าบาทก็คงจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้

ไม่ว่าสวีฉังชิงจะคิดอะไร แต่หลี่เฉินก็มาถึงหน้าประตูจวนหูแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ในตระกูลเฉินได้แพร่มาถึงที่นี่แล้ว

ด้านนอกประตูตระกูลหู มีหูเชียนและคนตระกูลหูกำลังรออยู่

ไม่เพียงแต่มีหูเชียนเท่านั้น แต่ยังมีชายวัยกลางคนที่ท่าทางไม่ธรรมดาอยู่หนึ่งคน ยืนอยู่ข้างหูเชียน

เมื่อเห็นหลี่เฉินมาแต่ไกล และบนร่างกายคลุ้งไปด้วยจิตสังหารและกลิ่นเลือดที่แน่นหนา หูเชียนจึงถามชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความกลัวว่า “ใต้เท้าเฉียน จะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ? ข้าได้ยินมาว่าตระกูลจบเห่แล้ว”

เฉียนฮั่นเหลือบมองหูเชียนที่หน้าซีดเผือดแล้วพูดเสียงเย็นชา “มีข้าอยู่ที่นี่ เจ้ายังจะกลัวอะไร? ในเมื่อเจ้ายินดีที่จะมอบทรัพย์สินของครอบครัวเจ้ามากกว่าครึ่งหนึ่ง เพื่อแลกการคุ้มครองจากข้า ข้าก็จะปกป้องเจ้าจากเงื้อมมือขององค์รัชทายาท แม้ว่าจะไม่เห็นแก่หน้าข้า ก็ต้องเห็นแก่หน้าราชเลขาธิการบ้าง เขาจะกล้าได้อย่างไร?”

หูเชียนรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขารู้สึกว่าหากเขาสามารถรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้ได้ แม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินของครอบครัวไปครึ่งหนึ่ง แต่เขาก็จะยังมีอีกครึ่งหนึ่ง เขาจะวางแผนเมื่อถึงเวลา

ขณะที่เขาพูด หลี่เฉินก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว

“จงมีความสุภาพให้เพียงพอ และปล่อยให้องค์รัชทายาทจับจุดอ่อนอะไรได้”

หลังจากเฉียนฮั่นพูดจบ เขาก็โค้งคำนับหลี่เฉินก่อน และกล่าวว่า “กระหม่อมเฉียนฮั่นขุนนางธุรการทั่วไปจากสำนักสารบรรณกลาง เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”

“กระหม่อมหูเชียน นำครอบครัวเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท ทรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”

“องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”

หลี่เฉินสบตากับเฉียนฮั่น พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”

เฉียนฮั่นรีบตอบว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อมกับหูเชียนเป็นมิตรสหายกัน และบังเอิญเป็นแขกที่บ้านของหูเชียน”

หลี่เฉินพูดอย่างเฉยเมย “ไม่ใช่หูเชียนบอกว่าตัวเองต้องไปตรวจบัญชีที่สาขาอื่นไม่ใช่หรือ เป็นไปได้ไหมว่านายท่านหูของเจ้าสามารถหายตัวมาได้ หรือจะบอกว่า เพราะใต้เท้าเฉียนอยู่ที่นี่ ดังนั้นหูเชียนจึงหาข้ออ้างไม่ไปงานเลี้ยงของข้า?”

เฉียนฮั่นขมวดคิ้ว แต่สีหน้าของเขายังคงสงบ เขาตอบว่า “บางทีอาจมีความเข้าใจผิดบางประการ เหตุใดองค์รัชทายาทจึงต้องสนใจพ่อค้าคนหนึ่งด้วย สถานะของพระองค์สูงส่ง ถ้าหากองค์รัชทายาทรู้สึกว่าเสียหน้า ข้าจะให้หูเชียนขออภัยฝ่าบาท”

หูเชียนเห็นสิ่งนี้ เขาก็คุกเข่าลงทันทีและกล่าวว่า “องค์รัชทายาท โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วย กระหม่อมทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ”

เมื่อเห็นหนึ่งคนร้องหนึ่งคนรับ แม้แต่คำพูดลวกๆ ก็ยังหน้าซื่อใจคดมาก หลี่เฉินก็รู้สึกขำขึ้นมา

“ไม่เลว เทียบเฉินจิ้งชวนแล้วดีขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยข้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดเมื่อฆ่า”

สีหน้าของเฉียนฮั่นพลันเปลี่ยนไป “องค์รัชทายาทหมายความว่าอย่างไร?”

“ในฐานะขุนนางธุรการทั่วไปจากสำนักสารบรรณกลาง เจ้าเป็นขุนนางขั้นที่สาม แล้วเหตุใดจึงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อค้าคนหนึ่ง?”

หลี่เฉินแสะยิ้มอย่างเย็นชา เขาไม่ฟังเฉียนฮั่นอธิบาย แต่ขยิบตาให้ซานเป่า

ขันทีซานเป่าหัวเราะหึๆ พูดกับองครักษ์เสื้อแพรทั้งซ้ายขวาว่า “ไป ไปตรวจค้นร่างกายของใต้เท้าเฉียนหน่อยสิว่ามีอะไรหรือไม่”

เฉียนฮั่นเห็นองครักษ์เสื้อแพรสองนายวิ่งเข้ามา ก็ตะโกนด้วยความตกใจปนโมโหว่า “ข้าเป็นนักเรียนของใต้เท้าราชเลขาธิการจ้าว เป็นคนสนิทมาก พวกเจ้ากล้าไม่เคารพข้าหรือ!?”

ขันทีซานเป่ากล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจว่า “ข้าต้องการจะดูหมิ่นเจ้ามานานแล้ว ใต้เท้าราชเลขาธิการจ้าวแล้วอย่างไร? ข้างหลังข้า คือองค์รัชทายาท!”

“องค์รัชทายาทแล้วอย่างไร!? องค์รัชทายาทสามารถใช้มือเดียวปิดฟ้าได้หรือ? ถ้าหากใต้เท้าราชเลขาธิการโกรธขึ้นมา แม้แต่องค์รัชทายาทก็ยังต้องก้มหัว!”

เฉียนฮั่นที่หวาดกลัวและโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด พูดคำเหล่านี้ต่อหน้าหลี่เฉินและคนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน

เมื่อพูดจบ เฉียนฮั่นก็ตระหนักได้ว่าเขาได้ก่อให้หายนะครั้งใหญ่แล้ว

ใบหน้าของเขาซีดเผือด แต่เขาก็กัดฟันและจ้องมองไปที่หลี่เฉินอย่างใกล้ชิด

ไม่ว่าเขาจะพูดผิดแค่ไหน แต่สุดท้ายก็มีโอกาสที่จะแก้ไข ตราบใดที่ท่านราชเลขาธิการช่วยเขา เขาก็มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา

แต่ถ้าหากพบข้าวของของเขา เขาก็อาจจะถูกฆ่าตายในทันที

หลี่เฉินดวงตาเย็นเฉียบ เขากล่าวอย่างราบเรียบว่า “ใจกล้าดีนี่”

เจตนาฆ่ากำลังก่อตัวขึ้นแล้ว และกำลังจะถึงจุดสุดยอด

ขันทีซานเป่าตะโกนเสียงเย็นชา “ค้นตัวเขา!”

ไม่ว่าเฉียนฮั่นพยายามจะขัดขืนแค่ไหน แต่เขาที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่สักตัวจะเอาอะไรไปสู้กับองครักษ์เสื้อแพรสองนายได้?

เฉียนฮั่นถูกองครักษ์เสื้อแพรกดลงกับพื้น เสื้อผ้าของเขาก็ถูกฉีกออก ยิ่งเขาดิ้นรนมากขึ้นเท่าไร เสื้อผ้าของเขาก็ยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น

ขุนนางขั้นที่สามผู้สง่างามในราชวงศ์ ได้สูญเสียความสง่างามทั้งหมดของเขาไปอย่างสิ้นเชิงในเวลานี้

เฉียนฮั่นทั้งโกรธทั้งอับอาย เขาตะโกนเสียงดังว่า “พวกเจ้าดูหมิ่นข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ! องค์รัชทายาท ท่านทำตัวเผด็จการเยี่ยงนี้ ไม่กลัวขุนนางบุ๋นบู๋และความคิดเห็นของสาธารณชนเลยหรือ?”

เขาเพิ่งจะพูดจบ องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งก็ดึงตั๋วเงินและโฉนดที่ดินจำนวนมากออกจากอ้อมแขนของเขา

ขันทีซานเป่าตาลุกวาวเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขารีบเดินเข้าไปดู ทันใดนั้นก็สูดหายใจอย่างตื่นตระหนก

เขาส่งตั๋วเงินและโฉนดที่ดินทั้งหมดไปให้หลี่เฉินด้วยความเคารพและกล่าวว่า “องค์รัชทายาท จากการค้นตัวของเฉียนฮั่นพวกเราค้นพบตั๋วเงินที่มีมูลค่าสูงสุดถึงหนึ่งแสนตำลึง และมีทั้งหมดสี่สิบกว่าใบ ยังมีโฉนดที่ดินและสัญญาทางธุรกิจหลายสิบฉบับ”

หลี่เฉินส่ายตั๋วเงินในมือแล้วเยาะเย้ย “แค่ตั๋วเงินก็มีมูลค่ากว่าสี่ล้านตำลึง ใต้เท้าเฉียน แค่ตัวเจ้าคนเดียว ก็อาจมีเงินมากกว่าครึ่งของท้องพระคลัง”

เฉียนฮั่นหน้าซีดจนเทา เงินพวกนั้น เขาเพิ่งได้รับเงินจากตระกูลหู แต่เพราะใจร้อน ลงมือเร็วเกินไป จึงซ่อนของกลางไม่ทันแล้วถูกจับได้

เขารู้แล้วว่า ตัวเองจบสิ้นแล้ว

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฉียนฮั่นก็ยิ่งดุร้ายและโกรธมากยิ่งขึ้น เขาตะโกนใส่หลี่เฉินราวกับขวดที่แตกไปแล้ว “แล้วอย่างไร? ข้าเป็นคนสนิทของราชเลขาธิการ ท่านกล้าฆ่าข้าเหรอ!? ท่านราชเลขาธิการไม่ปล่อยท่านไปแน่!”

หลี่เฉินระเบิดจิตสังหารออกมา เจตนาฆ่าในตัวหลี่เฉินมาถึงขีดจำกัดแล้ว

“ฆ่า”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 13

    สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้นดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันทีสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขาหลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้นท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 14

    “ท่านราชเลขาธิการ องค์รัชทายาทอายุน้อยไฟแรงกล้า บุ่มบ่ามเหลือเกิน ท่านในฐานะราชเลขาธิการ ต้องห้ามมิให้องค์รัชทายาทบังอาจเช่นนี้”ต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่เอ่ยด้วยความฉุนเฉียวด้านข้าง เถิงไหวอี้แห่งกรมยุติธรรมก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าซุนพูดถูกต้องแล้ว ราชสำนักให้ความสำคัญกับราชเลขาธิการ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทหนุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายต่อไป คิดดูสิว่าเมื่อวันหนึ่งฮ่องเต้ทรงหายประชวรขึ้นมา แล้วได้เห็นสภาพเมืองหลวงที่วุ่นวาย ราษฎรโกรธแค้น ต้องทรงพิโรธจนล้มป่วยอีกแน่ ท่านราชเลขาธิการ ยามนี้เราคงต้องหาทางจัดการกับองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยเสียแล้ว” จ้าวเสวียนจีหลับตาลงชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับมหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่หวังเถิงฮ่วนที่เป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการและกำลังก้มศีรษะดื่มน้ำชาด้วยเสียงราบเรียบ “สหายหวัง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”หวังเถิงฮ่วนวางถ้วยน้ำชาลงเบาๆ และตอบว่า “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ เพิ่งเริ่รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทราบเพียงใช้อำนาจเอาชีวิตคน แต่ทรงไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้น

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 15

    นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวชิงหลานเริ่มจับมือของหลี่เฉิน และเขาค่อย ๆ บีบผิวอันอ่อนนุ่มของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮามีแผนเช่นไร”จ้าวชิงหลานหักมือของเขาออกและพบว่าไม่อาจสลัดทิ้งได้ จึงเพิกเฉยต่อการกระทำที่เอาเปรียบของ หลี่เฉิน แล้วรีบเอ่ยว่าอย่างลาลาน “เหตุใดองค์รัชทายาทไม่ยอมละการสำเร็จราชการแทนไว้ก่อน เพราะราชสำนักตรงหน้าเจ้าก็ยังไม่คุ้นเคย เรียนรู้อยู่ข้างกายราชเลขาธิการไปก่อน รอถึงเวลาอันเหมาะสม ราชเลขาธิการย่อมคืนอำนาจให้ท่านรักษาการแทน” หลี่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวชิงหลานจะคิดถึงเขาในยามนี้ เขาได้ยินคำพูดของนางก็มิได้โกรธเคือง เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮองเฮาช่างเป้นลูกสาวที่ดีของตระกูลจ้าวเสียจริง ๆ เจ้าคิดทุกอย่างเพื่อราชเลขาธิการ เจ้าบอกว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย จริง ๆ แล้วต่างจากการที่ข้าถูกปลดตรงไหนหรือ”จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แล้วแผนขององค์รัชทยาทคืออะไร”“ข้าจะทำอะไร พูดกับเจ้า มิใช่เท่ากับบอกราชเลขาธิการหรอกหรือ”หลี่เฉินหัวเราะจาง ๆ ยกมือขึ้นแล้วกอดเอวของจ้าวชิงหลานไว้ในอ้อมแขนของเขา และเอ่ยประชิดหูของนาง “ในเมื่อพ่อของเจ้าเนรคุณ ถ้าเช่นนั้นข้า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 16

    เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้ากำลังจะเปิดม่านประตูและความลับระหว่างนางกับหลี่เฉินจะถูกเปิดเผย จ้าวชิงหลานก็รู้สึกว่าลมหายใจหยุดลงชั่วขณะหากองค์ชายเก้าเห็นฉากตรงหน้าขึ้นมาจริง ๆ นางและหลี่เฉินจะทำอะไรได้อีก นอกจากสังหารเขาและปิดปากเขาเล่าหลี่เฉิน หลี่เฉิน!จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินด้วยความตื่นตระหนก โดยหวังว่าเขาจะหาทางหยุดองค์ชายเก้าได้นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะต้องพึ่งพาหลี่เฉินเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาทว่าหลี่เฉิน...ในยามนี้ มือของเขากลับไม่หยุด แต่ปลดสายรัดหน้าท้องของชุดชั้นในจ้าวชิงหลานออกดวงตาของจ้าวชิงหลานเบิกกว้างขณะที่รู้สึกว่าร่างกายคลายตัวขณะนี้ นางสงสัยจริง ๆ ว่าหลี่เฉินคือคนบ้ากามกลับชาติมาเกิดนางมีความคิดที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและต่อสู้กับไอ้สารเลวผู้นีให้รู้แล้วรู้รอดตายไปด้วยกัน!ด้านนอก มือขององค์ชายเก้าได้ยื่นผ่านม่านประตูออกมาแล้ว เพียงแต่ต้องยกขึ้นเพื่อดูทุกสิ่งในห้องพักทันใดนั้น จ้าวชิงหลานรู้สึกถึงความเบาบนร่างกายของนาง และหลี่เฉินก็ลงจากร่างกายของนางจริง ๆฉะนั้น เมื่อองค์ชายเก้าเปิดม่านประตู เขาเห็นฮองเฮานอนอยู่บนตั่งนอนด้วยใบหน้าแดงก่ำและความลำบาก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 17

    “องค์ องค์รัชทายาทเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”เมื่อจ้าวหรุ่ยเห็นหลี่เฉิน ก็หวาดกลัววิญญาณแทบหลุดออกจากร่างนางไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนเห็นนางซ่อนสิ่งของเหล่านี้หรือไม่ หากถูกค้นพบ ชะตากรรมของนางจะต้องเศร้าหมองมากกว่าของเฉินจื้อเป็นล้านเท่าอย่างแน่นอน“ทำไม มีความลับอะไรที่กลัวข้าเห็นรึ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของจ้าวหรุ่ยทะยานถึงลำคอ นางฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หยุดเย้าแหย่หม่อมฉันเสียที หม่อมฉันไม่มีความลับอันใดกับองค์รัชาทายาททั้งนั้น”หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า “ไม่เลว ยิ่สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังขึ้นมากแล้ว”ขณะเอ่ย มือของหลี่เฉินก็ยื่นไปถึงเอวของจ้าวหรุ่ยแล้วจ้าวหรุ่ยรู้สึกสับสน รีบกดมือของหลี่เฉินและเอ่ยอย่างโศกเศร้า “องค์รัชทายาท ข้ายังไม่พร้อม”“เจ้าต้องเตรียมอะไรอีก ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”คำพูดของหลี่เฉินฟังดูเหมือนผู้ร้ายแต่เมื่อเขายกมือขึ้นเพื่อแก้ผ้าคาดเอวของจ้าวหรุ่ยออก กลับมีผ้าสีชมพูอ่อนนุ่มชิ้นหนึ่งหลุดออกจากหน้าอกในฐานะผู้หญิง ย่อมอ่อนไหวต่อสิ่งนี้มากที่สุดจ้าวรุ่ยมองเห็นอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตกจากอ้อมแขนของหลี่เฉินนั้นคือสายรัดหน้าท้องของผู้หญิง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 18

    หลี่เฉินดูงุนงงและเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว...อย่างไรเสียไปอาบน้ำก่อนเถิด...”ขณะเอ่ย หลี่เฉินพลิกตัวและลุกขึ้นจากเตียง อุ้มจ้าวหรุ่ยไว้ที่เอว แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของจ้าวหรุ่ยตามคำสั่งของหลี่เฉิน นางกำนัลได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้พร้อมแล้ว องค์รัชทายาทผู้องอาจแห่งตำหนักบูรพาเข้าห้องน้ำ สระน้ำขนาดใหญ่จึงโอบอวลไปด้วยไอร้อนระอุ หลี่เฉินวางจ้าวหรุ่ยลง ยกมือถอดชุดคลุมของนางออกจ้าวหรุ่ยใบหน้าแดงก่ำ คลุมเสื้อผ้าของตนแล้วเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันลงมือเอง”“ข้าสนุกกับขั้นตอนนี้น่ะ”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเบา และถอดผ้าบางชั้นนอกสุดที่จ้าวหรุ่ยสวมใส่ออกนิ้วเท้าสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเหยียบย่ำบนแท่นหินที่ยังเปียกด้วยน้ำ ผ้าคลุมสีแดงชั้นบางตกลงมาบนพื้น ม้วนตัวเป็นก้อน กลมกลืนไปกับนิ้วเท้าสีชมพูอ่อน เร้าให้ผู้คนอยากรู้ว่าใต้ฝ่าเท้าอันขาวเนียนนี้ซ่อนความงดงามใดไว้เสื้อผ้าหลุดทีละชิ้น จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสายรัดหน้าท้องและชุดชั้นในของนางเท่านั้น จ้าวหรุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ขัดขืนไม่ให้หลี่เฉินถอดออกอย่างสุดกำลังในยุคสมัยศักดินา แนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ของผ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 19

    หลังจากทรมานกันตลอดทั้งคืน จากห้องบรรทมในตำหนัก แล้วสู่เตียง หลังจากซัดกันไปมา จนกระทั่งดึกดื่น ค่อยจบลงในที่สุดยามดึกน้ำค้างตกหนัก แสงจันทร์ที่ส่องถึงจุดสุดยอดด้านนอกหน้าต่างก็ส่องเข้ามาในห้องบรรทม ข้างหูของเสียงหายใจสม่ำเสมอของหลี่เฉินใบหน้าของจ้าวหรุ่ยมีแสงจันทร์สาดส่อง นางเหนื่อยมากแล้ว แต่ความเหนื่อยล้าทางร่างกายไม่สามารถหยุดการต่อสู้ทางจิตใจที่รุนแรงได้เลยนางค่อยๆ หันกลับมา รู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางทั้งช้าทั้งเมื่อย อ่อนล้าเป็นที่สุด แต่เมื่อดวงตาของนางตกลงไปที่ห้องลับในห้อง หัวใจของนางก็สั่นเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับทางเลือก นางไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรด้านหนึ่งนางก็กลัวองค์รัชทายาทที่อารมณ์ไม่นิ่งอีกด้านหนึ่ง นางยิ่งกลัวว่าทางที่นางเลือกเดินและหวนกลับไม่ได้แล้วนั้น สุดท้ายจะมีจุดจบที่น่าสังเวชยิ่งกว่าเดิม“ในเมื่อท่านราชเลขาให้ข้ารอฟังคำสั่ง... เช่นนั้นข้าก็เตรียมพร้อมรับคำสั่งแล้วกัน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเลือก... ไม่แน่ อาจจะมีวิธีอื่น…”เมื่อคิดเช่นนี้จ้าวหรุ่ยก็ผล็อยหลับไปในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้น นี่เป็นวันที่หลี่เฉินตื่นสายมากที่สุดวันหนึ่งตั้งแต่ที่เขาข้ามภพมาแล้ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 20

    ทันทีที่ถ้อยคำเหล่านี้หลุดออกไป ขุนนางทุกคนในวังก็โกรธจัด โดยเฉพาะซุนปั๋วหลี่ ใบหน้าที่เหี่ยวย่นแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาตะโกนด้วยความโมโหว่า “ชายที่โดนตอนแล้วอย่างเจ้ากล้าดียังไงมาดูถูกปราญช์ และพูดถ้อยคำสกปรกในโถงใหญ่!?”เมื่อซานเป่าได้ยินคำว่าชายที่โดนตอนแล้ว ทันใดนั้นสายตาก็เย็นชาขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ขันทีในโลกอยากจะได้ยิน เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ใต้เท้าซุน นี่เป็นคำพูดขององค์รัชทายาท ข้าน้อยมิกล้าจะเผยแพร่คำพูดขององค์รัชทายาทส่งๆ ได้ ท่านสามารถถามองค์รัชทายาทด้วยตัวเองได้”“อีกอย่าง ถึงแม้ข้าน้อยจะเป็นชายที่โดนตอนแล้ว แต่ก็รู้ว่าคำว่าจงรักภักดีมันเขียนเช่นไร ไม่ว่าปากของข้าน้อยจะสกปรกแค่ไหน ก็ไม่เท่าใต้เท้าซุนที่ข้างนอกสุกใสแต่ข้างในเป็นโพรง เป็นสุนัขให้ผู้อื่นในขณะที่ได้รับเงินเดือนจากราชสำนักนั้นสกปรกมาก”ซุนปั๋วหลี่ตาโต โมโหจนพูดไม่ออก“เจ้า...”“เอาล่ะ!”หวังเถิงฮ่วน มหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่เหลือบมองซานเป่าอย่างเย็นชา แล้วพูดกับซุนปั๋วหลี่ว่า “ใต้เท้าซุน ท่านกับข้าแค่รออย่างอดทนอีกสักพัก ไม่มีเหตุผลที่จะไปเถียงกับสุนัขที่ตอนแล้วเพื่อทำลายอารมณ์ของตัวเอง” ใ

Latest chapter

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1069

    เสียงหัวข้าะเบาๆ ของต้วนจิ่นเจียง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหัวข้าะลั่น ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวข้าะคลุ้มคลั่ง ต้วนจิ่นเจียงราวกับเสียสติ เงยหน้าหัวข้าะอย่างบ้าคลั่ง แม้สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดใส่ใบหน้า เขาก็ยังไม่หยุดหัวข้าะ “ดี! ดีมาก!” ต้วนจิ่นเจียงหัวข้าะจนแทบหายใจไม่ออก เขาชี้ไปที่หลี่เฉิน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “องค์รัชทายาท เจ้านี่ช่างเป็นผู้ถูกมังกรคุ้มครองแท้จริง แม้หลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจีจะร่วมมือกัน ก็ยังโค่นเจ้าไม่ลง!” “ข้าเพียงเสียดาย ที่ยามท่านอ่อนแอที่สุด ข้ามิได้ลงมือเด็ดขาด ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ ข้า...เสียใจนัก!” สภาพของต้วนจิ่นเจียงเริ่มเข้าสู่ความคลุ้มคลั่งเต็มขั้น ดวงตาแดงฉาน ใบหน้าเหยเกดั่งอสูร “ทำไมกัน! ทำไมข้ารอบคอบวางแผนมาขนาดนี้ เจ้าถึงยังไม่ตาย! มันเป็นเพราะอะไร!” ในถ้อยคำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยอมแพ้อย่างถึงที่สุด “วางแผนรอบคอบย่อมดี แต่คนอย่างเจ้าที่เอาแต่ซุกซ่อนในมุมมืด ดุจหนอนใต้ซากศพ คอยวางแผนลอบกัดไปวันๆ ยังคิดหวังจะทำการใหญ่ได้หรือ?” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “ข้าไม่มีเวลามากพอจะปล่อยให้พวกเจ้าถ่วงเล่น มาเข้าเรื่องกัน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1068

    ตึก ตึก ตึก... เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะพร้อมเพรียงดังขึ้น ฟังแล้วชวนให้หัวใจพลุ่งพล่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมเสียงเกราะกระทบกัน สักพักหนึ่ง เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ลาน พวกเขาเคลื่อนที่อย่างมีระเบียบและได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เข้าสู่ลาน ก็จัดรูปขบวนทันที ล้อมรอบกลุ่มของหลงไหวอวี้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบูรพกษัตริย์ การล้อมวงเช่นนี้ ทำให้ต้วนจิ่นเจียงรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันทีโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้นหรือ อาจารย์?” หลงไหวอวี้ที่รู้สึกว่าต้วนจิ่นเจียงเริ่มตึงเครียดก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ต้วนจิ่นเจียงตอบเสียงหนักแน่น “พวกทหารเหล่านี้กำลังล้อมข้าอยู่” ต้วนจิ่นเจียงซึ่งเคยเป็นขุนนางกระทรวงกลาโหม ย่อมมีพื้นฐานด้านการยุทธ เขาเพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านี่คือรูปขบวนของทหารต้าฉิน ใช้สำหรับล้อมศัตรูกลุ่มเล็กโดยเฉพาะ หากเป็นคนของหลี่อิ๋นหู่หรือจ้าวเสวียนจี ต่อให้คิดฆ่าพวกเขาก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ และยิ่งไม่ควรจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้ ต้วนจิ่นเจียงหรี่ตาลง พยายามเพ่งมองเครื่องแบบเกราะของทหารเหล่านี้ หวังจะดูให้แน่ชัดว่าเป็นหน่วยใด แต่ด้วยความมืดของยามค่ำคืน และสายฝน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1067

    สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1066

    ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1065

    “ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1064

    เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1063

    ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1062

    “เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1061

    จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status