Share

บทที่ 11

Author: ไห่ตงชิง
หลังจากพูดจบ หลี่เฉินมองไปที่สวีฉังชิง และพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้ตำแหน่งเสนาบดีกรมครัวเรือนขาดคน ข้าได้วางโอกาสไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้เป็นเสนาบดีคนต่อไป แต่ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี ข้าแทนที่ด้วยคนอื่น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”

สวีฉังชิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคุกเข่าเสียงดัง “กระหม่อม เต็มใจทำเพื่อฝ่าพระบาท!”

ตั้งแต่สมัยโบราณผลประโยชน์มักจะดึงดูดใจผู้คนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งผู้นำกรมคนหนึ่ง หัวหน้ากรมครัวเรือนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินและอาหารของประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้

หลังจากส่งสวีฉังชิงออกไป ก่อนที่หลี่เฉินจะจิบชา ซานเป่าก็มาถึง

“ฝ่าบาท หน่วยบูรพาได้รับข่าวว่า ทูตของเซียนเฉามาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง โดยสัญญาว่าจะทำกำไรมหาศาล และต้องการกระตุ้นให้จักรวรรดิส่งกองกำลังไปยังเซียนเฉา เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤติจากการถูกตงอิ๋งรุกราน”

รายงานของซานเป่าทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความซับซ้อนอยู่แล้ว และกองกำลังต่างๆ ล้วนปะปนกัน เพียงแค่กระตุกเชือกเส้นเดียวก็สะเทือนไปทั่วแล้ว อย่างไรก็ตาม ภารกิจของเซียนเฉาก็เข้ามาทำให้น่านน้ำเต็มไปด้วยโคลน...

“พวกเขามาที่เมืองหลวงนานแค่ไหน?” หลี่เฉินถาม

ซานเป่ากราบทูลว่า “ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ สาเหตุคือตงอิ๋งโจมตีเซียนเฉาเมื่อครึ่งปีที่แล้ว เซียนเฉาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งกลางเมือง จึงไม่ทันระวังตงอิ๋ง ตอนนี้สูญเสียไปประเทศไปหนึ่งในสามแล้ว จึงส่งทูตมาที่จักรวรรดิเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่พระวรกายมังกรของฝ่าบาทไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงไม่เรียกพวกเขาให้เข้าเฝ้า”

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใจร้อนมาก มีสงครามภายในของเซียนเฉา ดังนั้นจึงพยายามติดสินบนขุนนางในราชสำนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย”

หลี่เฉินกระพริบตา กล่าวว่า “ก็ดี ข้าอยากจะสับหัวคนเพิ่มอีกสักสองสามคน เพื่อสร้างอำนาจของข้าและเพิ่มเงินในท้องพระคลัง ข้ากำลังกังวลว่าจะไม่สามารถหาโอกาสหรือเหตุผลได้ ดังนั้นเจ้าจงส่งสายลับหน่วยบูรพาไปจับตาดูทูตพวกนั้น ดูว่าพวกเขาพบใคร มอบเงินให้เท่าไหร่ จดบันทึกทุกอย่างอย่างละเอียด รอจนสุกงอม ข้าจะตัดหัวพวกมันทั้งหมดทันที”

ซานเป่าตอบรับอย่างนอบน้อม “บ่าวรับพระบัญชา”

หลังจากส่งซานเป่าออกไปแล้ว หลี่เฉินก็นั่งรถม้าไปที่วังสุทธาสวรรค์

ฮ่องเต้ยังคงนอนบนแท่นบรรทมมังกรโดยไม่ตื่น

“พระวรกายของเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?” หลี่เฉินแพทย์หลวง

แพทย์หลวงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “พระวรกายของฝ่าบาทเริ่มแย่ลงทุกวัน ก่อนหน้านี้พระองค์สามารถตื่นได้ประมาณหนึ่งในสี่ของชั่วโมงต่อวัน แต่ตอนนี้แม้จะผ่านไปสองสามวันพระองค์ก็อาจไม่ตื่นเลย”

“จะรักษาได้นานแค่ไหน?” หลี่เฉินถามตรงๆ

แพทย์หลวงคุกเข่าลงทันทีแล้วตอบว่า “องค์รัชทายาท กระหม่อมไม่อาจให้คำตอบแก่พระองค์ได้จริงๆ เมื่ออาการถึงขั้นนี้แล้ว ทักษะทางการแพทย์ก็เป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือขึ้นอยู่ความมุ่งมั่นของฝ่าบาทและ... พรจากสวรรค์”

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ออกไปเถอะ”

หลี่เฉินไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์แพทย์หลวงรุนแรงเกินไปนัก หลังจากที่ขอให้แพทย์หลวงถอยออกไปแล้ว หลี่เฉินก็นั่งข้างแท่นบรรทมมังกร

เมื่อเห็นสีหน้าที่โรยราของฮ่องเต้ หลี่เฉินก็ไม่พูดอะไร

เขาเพิ่งทะลุมิติมา และไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อฮ่องเต้ ในบางแง่อาจกล่าวได้ หากฮ่องเต้ไม่ตาย เขาจะไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้... แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้คิดถึงอาการฮ่องเต้แต่อย่างใด แต่เป็นวิธีจัดการกับกลุ่มผู้แสวงหาผลกำไรในช่วงที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤต

พ่อค้าพวกนั้น ฉวยโอกาสที่ประเทศกำลังถดถอย สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อบังคับยึดที่ดิน และจากนั้นก็ใช้ผลประโยชน์เพื่อล่อเจ้าหน้าที่เหล่านั้นขึ้นรถม้าด้วยกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาได้ก่อตั้งเครือข่ายผลประโยชน์ที่แข็งแกร่งและซับซ้อน

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลี่เฉินที่จะยุ่งกับพวกเขา แต่ถ้าหากไม่จัดการ ก็อาจจะเกิดฟันเฟืองจากราชสำนักในทันที บางทีถึงตอนนั้นอาจจะได้กำไรมากกว่าสูญเสีย

เพราะถ้าหากไม่ยุ่ง พระคลังจะขาดแคลน และจะไม่สามารถบรรเทาภัยพิบัติได้ อีกอย่างหากพวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอ ชีวิตของประชาชนก็จะยิ่งยากลำบากมากขึ้น

จนถึงตอนนี้มันก็คล้ายกับการทะลุมิติไปยังราชวงศ์ในอดีต ประชาชนลำเข็ญ ราชสำนักยากจน แต่ขุนนางโลภมากกับพ่อค้าเหล่านั้น แต่ละคนอ้วนเป็นหมูทุกราย

นี่เป็นสิ่งที่หลี่เฉินจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น

เมื่อหลี่เฉินคิดถึงฉากนี้ ในสายตาของคนอื่น พวกเขาจะคิดว่าองค์รัชทายาทคงกำลังกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้

“หมอหลวงเฉิน องค์รัชทายาทมีความกตัญญูจริงๆ”

แพทย์หลวงคนหนึ่งกระซิบพูดกับเพื่อนร่วมงานของเขา

หมอหลวงเฉินนึกถึงคำถามที่หลี่เฉินถามก่อนหน้านี้ เขาก็ถอนหายใจออกมา “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ตั้งแต่สมัยโบราณว่ากันว่าครอบครัวฮ่องเต้นั้นไร้น้ำใจที่สุด แต่ข้าเห็นความกังวลและความทุกข์ใจขององค์รัชทายาทในตอนนี้ มันไม่ได้เสแสร้งเลย ฝ่าบาททรงมีทายาทมากมาย แต่สุดท้ายแล้ว ก็มีเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้นที่ใส่ใจพระวรกายของฝ่าบาท”

สหายที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้า คิดว่าตัวเองนั้นค้นพบความลับในใจขององค์รัชทายาทแล้ว

ในขณะที่หลี่เฉินกำลังครุ่นคิดอยู่ในวังสุทธาสวรรค์ นอกพระราชวังนั้นไม่มีความสงบเลย

การตายของเหลยโน่วซาน เปรียบเสมือนการขว้างก้อนหินใส่สถานการณ์ในเมืองหลวงที่ดูเผินๆ เหมือนจะสงบ ให้ปั่นป่วนขึ้นมา

พายุที่เกิดจากหินก้อนนี้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ของทุกฝ่ายในเมืองหลวงทันที

จ้าวเสวียนจีเป็นคนแรกที่ได้รับข่าว

“ใต้เท้าราชเลขาธิการ หลังจากเหลยโน่วซานถูกองค์รัชทายาทสังหาร ผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมครัวเรือนก็รีบไปที่ตำหนักบูรพาทันที สวีฉังชิงและองค์รัชทายาทพูดคุยกันราวครึ่งชั่วโมง แต่คุยอะไรกันนั้น ตอนนี้ยังไม่รู้”

ที่รายงานต่อจ้าวเสวียนจีนั้นคือเฉียนฮั่นสำนักสารบรรณกลางของเมืองหลวง เขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสามที่มีอำนาจที่แท้จริง หากอยู่ในท้องถิ่นก็นับว่าเป็นขุนนางระดับสูง แต่ต่อหน้าจ้าวเสวียนจีนั้น ทัศนคติของเฉียนฮั่นดูถ่อมตัวมาก ค้อมกายขณะรายงาน

จ้าวเสวียนจีหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วส่ายหัวเบาๆ เป่าใบชาที่ลอยอยู่บนชาออกไปแล้วพูดว่า “สังหารเว่ยเสียนก่อน ตามมาด้วยเหลยโน่วซาน คนแรกคลุกคลีอยู่ในวังอย่างลึกซึ้งมาสิบกว่าปี สามารถต่อกรกับขันทีซานเป่าได้ ส่วนอีกคนเป็นเสนาบดีกรมครัวเรือน ผู้นำหนึ่งกรม ขุนนางขั้นที่สอง องค์รัชทายาทของพวกเรา มือเปื้อนเลือดมากเกินไป”

เฉียนฮั่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เหลยโน่วซานไม่เพียงแต่ตายเท่านั้น ตอนนี้บ้านของพวกเขายังถูกรื้อค้นโดนหน่วยบูรพา สมาชิกในครอบครัวของเขาทั้งหมดถูกส่งตัวไปเป็นทาส ผู้ชายไปเป็นทหาร ส่วนผู้หญิงไปเป็นเจ้าหน้าที่สนับสนุน นี่เท่ากับเป็นการทำลายล้างครอบครัว เช่นนี้แล้วทำให้ผู้คนจำนวนมากที่นี่รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ใต้เท้าราชเลขาธิการควรส่งจดหมายไปขอให้องค์รัชทายาทยับยั้งชั่งใจหรือไม่?”

“ยับยั้งชั่งใจ?”

จ้าวเสวียนจีส่ายหน้า แล้วพูดว่า “เวลานี้เขาไม่สามารถยับยั้งชั่งใจ”

“องค์รัชทายาทเพิ่งจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กำลังอยู่ในช่วงกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา ใครคิดขวางทางเขา เขาจะทำทุกอย่างเพื่อขจัดสิ่งกีดขวางออกไป ตอนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรจะไปต่อต้านเขา”

เฉียนฮั่นพูดอย่างเคารพว่า “ข้าน้อยโง่เขลา องค์รัชทายาทเป็นเพียงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะเผชิญหน้ากับขุนนางบุ๋นบู๊ได้อย่างไร? แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องประนีประนอมกับราชเลขาธิการ”

จ้าวเสวียนจีวางชาแล้วพูดว่า “การประนีประนอมของข้ากับฝ่าบาท เป็นเพียงเกมการเมือง การประนีประนอมหรือการถอยนั้นจำเป็นต้องนำสถานการณ์โดยรวมมาพิจารณา แต่องค์รัชทายาทไม่เหมือนกัน องค์รัชทายาทคือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นิสัยรุนแรง เวลานี้เขามีอำนาจ เขาจะสนใจฟังความคิดเห็นคนอื่นหรือ?”

“ยิ่งกว่านั้น เขายังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ นี่คือข้อเสียเปรียบของเขา และเมื่อสิ่งต่างๆ อยู่เหนือการควบคุม เขาก็สามารถผลักฮ่องเต้ออกไปได้ เขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบมากมาย หากเขาขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะไม่มีผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง และเขาจะต้องยืนอยู่ข้างหน้าเพียงลำพัง ซึ่งไม่ดีเลย”

เฉียนฮั่นถามเหมือนจะเข้าใจ “แล้วพวกเราควรทำเช่นไรดี?”

“ไม่ต้องทำอะไรเลยแล้วรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“ถ้าเขาอยากฆ่าขุนนางก็ให้เขาฆ่า ตราบใดที่ไม่ใช่แกนหลักของพวกเรา เขาจะฆ่าก็ฆ่า เขาต้องการสาส์นกราบทูลข้อราชการก็มอบให้เขา ปกครองประเทศ จะอ่านหรือไม่อ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ถึงแม้ว่าเขาจะออกคำสั่ง แต่องค์รัชทายาทก็ไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้ มันก็เป็นแค่เรื่องตลกถ้าหากไม่มีใครทำ”

จ้าวเสวียนจีพูดอย่างไม่แยแส “ยิ่งฆ่าก็ยิ่งสร้างความไม่พอในราชสำนัก เมื่อถึงเวลา ก็ไม่มีขุนนางบุ๋นบู๊สนับสนุน เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไร? ถ้าไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ เมื่อฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ราชบัลลังก์ก็จะมีตัวแปรมากมาย ตอนนี้เขามีอำนาจ เขากำลังฆ่าเพื่อให้ผู้คนหวาดกลัว ดูเผินๆ เหมือนจะดี แต่จริงๆ แล้วเขากำลังขุดหลุมศพของตัวเอง และสูญเสียหัวใจของผู้คน หากต้องการจะโค่นล้มเขา มันก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”

เฉียนฮั่นเผยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าราชเลขาธิการมีสติปัญญาที่ยอดเยี่ยมและสูงส่ง”

“ยังมีอีกเรื่อง องค์รัชทายาทจะจัดงานเลี้ยงให้กับพ่อค้าธัญพืชรายใหญ่สามรายในเมืองหลวงคืนนี้ที่ตำหนักบูรพา เราควรเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้หรือไม่?”

เฉียนฮั่นประสานมือ รอยยิ้มมีเลศนัย “แม้แต่พวกเราไปคุย พวกพ่อค้าธัญพืชทั้งสามคนนั้นก็ยังไม่สนใจเลย เมื่อถึงเวลานั้น องค์รัชทายาทจะเป็นฝ่ายอับอายเอง”

จ้าวเสวียนจีไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อะไร จึงพูดอย่างสบายๆ ว่า “เจ้าจัดการไปตามสมควร อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นแค่พ่อค้าไม่กี่คน ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร องค์รัชทายาทอยากฆ่าก็ดี อย่างน้อยก็ให้พวกมันเข้าใจว่า ราชสำนักนั้น ใครเป็นผู้รับผิดชอบ?”

เฉียนฮั่นมือขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าน้อยจะไปจัดการเรื่องนี้”

“ไปเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรสำคัญต้องทำอีก ก็อย่ารบกวนการพักผ่อนของข้า”

“ข้าน้อยขอลา ใต้เท้าราชเลขาธิการโปรดพักผ่อนด้วย อย่าหักโหมนัก”

......

หลี่เฉินนั่งอยู่ในพระราชวังสุทธาสวรรค์ชจนถึงเย็นก่อนออกเดินทาง

เมื่อกลับถึงตำหนักบูรพา เขาประมาณเวลาและพบว่าพ่อค้าธัญพืชทั้งสามน่าจะเกือบจะมาถึงแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหลี่เฉินถามถึงเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าพ่อค้าธัญพืชทั้งสามไม่ได้มาจริงๆ

“องค์รัชทายาท ในบรรดาพ่อค้าธัญพืชรายใหญ่ทั้งสาม หัวหน้าตระกูลเฉินกล่าวว่าเขากำลังหายจากอาการป่วย ไม่แนะนำให้เดินตากลม ตระกูลหูกล่าวว่า นายท่านไปที่สาขาอื่นเพื่อตรวจสอบบัญชีและไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ส่วนครอบครัวหลิวเพียงแต่อยู่หลังประตูที่ปิดสนิท”

สวีฉังชิงมีสีหน้าอึดอัด เขาคุกเข่าลงต่อหน้าหลี่เฉินด้วยความหวาดกลัว

หลี่เฉินมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย แต่ในดวงตากลับมืดมิดอันตรายขึ้นมา

“ดีล่ะ ในเมื่อข้าไม่สามารถเชิญพวกเขามาที่ตำหนักบูรพาได้ เช่นนั้นข้าจะไปหาพวกเขาที่จวนด้วยตัวเอง”

พูดจบ หลี่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ “ซานเป่า นำองครักษ์เสื้อแพรตามข้าไปหนึ่งร้อยนาย”

องค์รัชทายาทออกจากตำหนักบูรพา ก็เหมือนกับมังกรกำลังออกลาดตระเวน

ซานเป่าไม่กล้าที่จะละเลย เขาสั่งให้หน่วยบูรพาในเมืองหลวง รวบรวมองครักษ์เสื้อแพรชั้นยอดหนึ่งร้อยนาย โดยเขากับรองผู้บังคับกองพันองครักษ์เสื้อแพรสองนายเป็นผู้นำ

ด้านหน้ามีองครักษ์เสื้อแพรยี่สิบคน โดยมีรองผู้บังคับกองพันคนหนึ่งเป็นแกนนำ ด้านหลังมีองครักษ์เสื้อแพรยี่สิบคน ซึ่งรองผู้บังคับกองพันอีกคนควบคุม และตรงกลางที่เหลืออีก 20 คนมีความภักดี และเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่ดีที่สุด ซึ่งนำโดยซานเป่าคอยคุ้มครองหลี่เฉิน

ม้าร้อยกว่าตัว แล่นออกจากตำหนักบูรพามุ่งหน้าไปที่จวนเฉิน

บนถนน หลี่เฉินไม่ได้คิดจะถ่อมตัว แต่กลับปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างการประโคมข่าว ยึดถนนหลวงไว้เพื่อสัญจรได้อย่างสะดวก

ประชากรทั้งสองฝั่ง ต่างได้ยินว่ามีรถม้าขององค์รัชทายาทแล่นผ่านมาแต่ไม่ต้องคุกเข่าคารวะ และไม่ต้องรับโทษหมิ่นราชวงศ์

พวกเขาวิ่งผ่านถนนหลวงที่คึกคักที่สุดโดยไม่พูดอะไรสักคำ ท่ามกลางสายตาประชาชนนับไม่ถ้วนและสายลับทุกคน จนกระทั่งมาถึงอาณาเขตที่ดินจวนเฉินอันกว้างใหญ่

จักรวรรดิต้าฉินมีกฎระเบียบที่เข้มงวด

ในบรรดาทั้งสี่อันดับนักวิชาการ ชาวนา ช่าง และพ่อค้า พ่อค้าเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุด

และไม่ว่าจะรวยแค่ไหน พวกเขาก็ทำได้เพียงสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าหยาบ แม้แต่ผ้าไหม เจ้าก็ไม่สามารถสวมใส่ได้ และในสถานที่เช่นเมืองหลวง ไม่ใช่ว่าแค่มีเงินก็จะสามารถซื้อบ้านได้ ที่ดินหลายแห่งมีการกำหนดกฎเกณฑ์และสถานะ หากไม่ใช่ชาวนาหรือนักวิชาการ ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้าของจวนในเมืองหลวงได้

แต่เห็นได้ชัดว่า ตระกูลเฉินจะเป็นข้อยกเว้น

เมื่อองค์รัชทายาทมาถึงด้านนอกจวนเฉิน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าตระกูลเฉินคงได้รับข่าวแล้ว

ประตูใหญ่เปิดออก คนตระกูลเฉินทั้งบนและล่างหลายสิบคน ต่างก็พากันมารอต้อนรับอยู่แล้ว

“กระหม่อมเฉินจิ้งชวน พาครอบครัวมาเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงเจริญพันปี พันๆ ปีๆ”

เสียงตะโกนแซ่ซ้องดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หลี่เฉินจะลงมาจากเกี้ยว และมองดูเฉินจิ้งชวนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา แล้วพูดเบาๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าป่วยอยู่หรือ? ตอนนี้ยืนตากลมได้ ไม่กลัวป่วยหนักขึ้นหรือ?”

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1180

    คำพูดประโยคเดียวของหลี่เฉิน ก็สามารถสลายความกังวลใจที่ใหญ่หลวงที่สุดในใจของหลิวซือฉุนลงได้พร้อมทั้งเป็นการพิสูจน์ว่า หลี่เฉินไม่เคยคิดจะเป็นพวกยืมเงินแล้วไม่คืน หรือฆ่าไก่เอาไข่ทองคำเลยแม้แต่น้อยหลิวซือฉุนถอนใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาทเฉลียวฉลาด ยอดสตรีน้อมสรรเสริญเพคะ”“แทบไม่เคยได้ยินคำไพเราะเช่นนี้จากปากเจ้ามาก่อนเลยนะ”หลี่เฉินเอ่ยพลางยิ้มตาหยี “เรื่องนี้ ต้องรีบจัดการให้เร็ว”หลิวซือฉุนครุ่นคิดเล็กน้อย ถามว่า “เร็วเพียงใดหรือเพคะ?”“เร็วได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น”หลี่เฉินตอบหนักแน่น “ขณะนี้ศึกที่ด่านเยว่ยากวนได้ปะทุขึ้นแล้ว ทัพภายในแผ่นดินก็ได้เคลื่อนพลไปสมทบ เมื่อกำลังพลไปถึง ศึกใหญ่ก็จะระเบิดขึ้นแน่นอน เงินในคลังหลวงจะต้านทานได้ไม่เกินครึ่งเดือน”“กล่าวคือ ภายในครึ่งเดือน ต้องระดมเงินจำนวนห้าสิบล้านตำลึงให้ได้ใช่หรือไม่เพคะ?” หลิวซือฉุนมองหลี่เฉินพลางเอ่ยถาม“ภารกิจนี้มิใช่เรื่องง่าย เจ้ากล้ารับหรือไม่?” หลี่เฉินถามกลับหลิวซือฉุนสูดหายใจลึก ขบฟันแน่นพลางเอ่ยว่า “หากฝ่าบาทมีเรื่องให้ตระกูลหลิวช่วยเหลือ ก็ถือเป็นเกียรติของตระกูลหลิว ต่อให้ยากเย็นเพียงใด ตระกูลหลิวก็จะฟั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1179

    หลี่เฉินขมวดคิ้วอีกครั้ง“แม้ขณะนี้คลังหลวงจะดีกว่ายามเผชิญภัยพิบัติก็ตาม แต่สถานะทางการเงินของราชสำนักยังคงไม่น่าวางใจนัก บัดนี้ราชสำนักจำต้องจัดการเรื่องใหญ่อันหนึ่ง ซึ่งหากไร้เงินทองแล้ว ย่อมไม่อาจสำเร็จได้”“ค่าใช้จ่ายจากทุกด้าน อย่างน้อยที่สุดต้องใช้ราวๆ ห้าสิบล้านตำลึง”คำพูดประโยคเดียวของหลี่เฉิน ทำให้หลิวซือฉุนตกใจถึงกับร้องเสียงเบา“ห้าสิบล้านตำลึงหรือเพคะ!?”ห้าสิบล้านตำลึง…คือแนวคิดที่น่าหวาดหวั่นเพียงใด?ตลอดสามร้อยหกสิบกว่าปีของจักรวรรดิต้าฉิน แม้แต่ยุครุ่งเรืองที่สุด รายได้คลังหลวงทั้งปียังไม่เคยเกินสิบสองล้านตำลึงขณะองค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบันเสด็จขึ้นครองราชย์ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา รายได้คลังหลวงแต่ละปียังไม่ถึงแปดล้านตำลึงแต่หลี่เฉินเอ่ยปากทีเดียวถึงห้าสิบล้านตำลึง ตัวเลขนี้ถึงกับทำให้หลิวซือฉุนไม่กล้าคิดต่อเลยทีเดียว“ฝ่าบาท ห้าสิบล้านตำลึงนี้ไม่เพียงหาได้ยาก แม้จะหาได้จริง ถึงคราวไถ่ถอน ราชสำนักจะสามารถชำระหนี้ได้จริงหรือเพคะ?” หลิวซือฉุนเอ่ยถามอย่างระมัดระวังนางไม่กล้าถามว่าเงินจำนวนมากขนาดนี้จะนำไปทำสิ่งใด แต่จำเป็นต้องรู้ว่าหลี่เฉินคิดจะชำระคืนหรือไม่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1178

    คำถามของหลี่เฉินทำให้หลิวซือฉุนรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันทีนางก้มศีรษะลง ตอบเสียงเบาว่า “หม่อมฉันเกิดในตระกูลหลิว ย่อมต้องอยู่กับตระกูลหลิวไปตลอดเจ้าค่ะ”เวลานั้น ในห้องโถงยังมีท่านอาหลิวสามของตระกูลหลิวกับวั่นเจียวเจียวอยู่ด้วยวั่นเจียวเจียวเคยชินกับเรื่องเช่นนี้มานานแล้วแต่ท่านอาหลิวสามกลับตื่นตระหนกแทบจะขาดใจใครก็เข้าใจได้ว่าหลี่เฉินหมายถึงสิ่งใดท่านอาหลิวสามมองหลิวซือฉุน ดวงตาร้อนผ่าว แทบจะพุ่งเข้าไปตอบแทนให้นางเสียเองไปตำหนักบูรพาเถอะ!ไปสิ!ตระกูลหลิวที่แสนจะต่ำต้อยนี้มีอะไรให้น่าอยู่กันเล่า!ไปตำหนักบูรพาไม่ดีกว่าหรือ!?หลี่เฉินมองหลิวซือฉุนแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ยังไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้มีอีกเรื่องหนึ่ง อยากให้เจ้าจัดการ”หลิวซือฉุนลอบถอนใจโล่งอก รีบกล่าวว่า “เชิญฝ่าบาททรงบัญชามาได้เลยเพคะ”หลี่เฉินตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นราวกับตัดสินใจได้แล้วจึงกล่าวว่า “ราชสำนักเร็วๆ นี้จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ในบัญชีของโรงเงินตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่?”หลิวซือฉุนสีหน้าเปลี่ยนทันที นางเอ่ยว่า “ในบัญชีของโรงเงิน ตอนนี้มีประมาณหกสิบแปดล้านตำลึงเงิน แต่ฝ่าบาท เง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1177

    เห็นหลี่เฉินอุ้มหลิวเฮ่อเข้าไปในจวน คนอื่นในตระกูลหลิวต่างพากันมองหน้ากันไปมาแต่อย่างน้อยตอนนี้ดูเหมือนว่า องค์รัชทายาทฝ่าบาทจะทรงโปรดหลิวเฮ่ออยู่ไม่น้อย?หลิวซือต๋ามองหลิวซือฉุนเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง หลิวซือฉุนจึงกล่าวว่า “เข้าไปดูแลก่อนเถิด ไม่น่าจะใช่เรื่องร้าย อาจเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ”ด้วยฐานะของหลี่เฉิน ต่อให้เอ่ยเพียงประโยคเดียว ก็พอให้นามของลูกหลานตระกูลหลิวรุ่งเรืองไปได้ทั้งชีวิตคนในตระกูลหลิวทยอยกันตามหลี่เฉินเข้าไปในจวนในห้องโถงใหญ่ คนในตระกูลหลิวส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติพอจะอยู่รับใช้ในนั้นมีเพียงหลิวซือฉุน สามอาของตระกูลหลิว และหลิวซือต๋าเท่านั้นที่อยู่ได้หลี่เฉินประทับนั่งบนที่ประธาน ให้หลิวเฮ่อนั่งอยู่บนตัก พลางยิ้มถาม “อายุเท่าไหร่แล้ว?”หลิวเฮ่อหันไปมองหลิวซือฉุนตาปริบๆ แต่พอได้ยินหลี่เฉินถาม ก็รีบตอบอย่างว่าง่ายว่า “สามขวบแล้วเจ้าค่ะ”พูดพลางยื่นนิ้วอ้วนกลมออกมาสามนิ้วเน้นย้ำหลี่เฉินเห็นแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างยินดี“ชื่อหลิวเฮ่อ ตั้งชื่อรองไว้หรือยัง?” ประโยคนี้หลี่เฉินถามหลิวซือต๋าหลิวซือต๋ารีบโค้งกายเล็กน้อย ตอบด้วยความเคารพว่า “ทูลฝ่าบาท ยังมิได้ตั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1176

    สำหรับหลิวซือฉุนแล้ว คำเชิญแบบกะทันหันเช่นนี้ แม้หลี่เฉินจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาพระองค์ทรงจมอยู่กับราชการอันวุ่นวาย บัดนี้มีราชโองการใหม่เริ่มต้น แถมยังมีข่าวด่วนจากด่านเยว่หย่าอีก หลี่เฉินเองก็ทรงรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลดังนั้นพระองค์จึงมิได้ลังเล หรือปฏิเสธ ทรงตอบรับด้วยความยินดีอย่างไรก็ดี ถึงฟ้าจะถล่ม ก็ยังไม่ใช่ยามนี้ มนุษย์ย่อมต้องหาโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศบ้างสำหรับตระกูลหลิวแล้ว การเสด็จมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวขององค์รัชทายาทฝ่าบาท ทำให้ทั้งตระกูลแทบแตกตื่นเป็นไก่บินหมาวิ่งตราบใดที่ยังอยู่ในเมืองหลวงและมิได้เดินทางไปต่างเมือง ญาติพี่น้องทุกคนไม่เว้นสักคนต่างพร้อมใจสวมเสื้อผ้าใหม่ แต่งกายสะอาดเรียบร้อย ทั้งภายนอกภายในเรือน แม้แต่รอยร้าวบนชายคาก็ไม่เว้น ล้วนขัดถูจนสะอาดเอี่ยมอ่องมิใช่เพียงเท่านั้น ตระกูลหลิวยังรีบรุดไปเชิญพ่อครัวจากภัตตาคารชั้นนำของเมืองหลวงมาทั้งคนทั้งเขียง ถึงขนาดทำให้เจ้าของร้านหลายแห่งบ่นอุบ ทว่าพอถูกโยนเงินแท่งใหญ่ใส่หน้าเข้า พวกเขาก็พลันยิ้มแย้ม ยินดีส่งพ่อครัวในร้านออกไปทันทีวันเช่นนี้ สำคัญยิ่งกว่าวันขึ้นปีใหม่ ศักดิ์สิทธิ์ยิ่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1175

    การคำนับครั้งนี้ เขาค้อมกายลงอย่างลึกสุดหัวใจผ่านไปสามลมหายใจ หลี่เฉินจึงค่อยยืดตัวตรงเขาหันไปกล่าวกับเหล่าราษฎรด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องราวใต้หล้านั้นมากมายดั่งดวงดาว ข้าผู้เดียวไม่อาจปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ แต่สามารถรับประกันได้ว่า เจอเรื่องใด จัดการเรื่องนั้น เจอผู้ใด ฆ่าผู้นั้น!”“จงประกาศราชโองการข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่เจ้าผู้ครองแคว้น ขุนนาง ขุนพล ไปจนถึงพ่อค้าแม่ค้า หากพบเห็นเรื่องอธรรม ขุนนางไม่ซื่อสัตย์ ข่มเหงราษฎร ร้องทุกข์ไร้หนทาง ร้องเรียนมิได้ ล้วนสามารถไปยื่นฎีกาที่ตำหนักบูรพาได้โดยตรง ขุนนางทั่วแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้ หากมีผู้ใดขัดขวาง ลงโทษด้วยการประหารด้วยโทษแหวะเนื้อ!”“ราชโองการนี้ ประกาศทั่วหล้า มีผลทันที!”เมื่อสิ้นคำ สหายทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่เบื้องหลัง ไม่เว้นแม้แต่เฉินทง ต่างเปล่งเสียงพร้อมกันว่า “กระหม่อม ขอรับพระบัญชา!”ท่ามกลางราษฎร เกิดเสียงโห่ร้องดังกึกก้องฟ้าดินมีคนร้องไห้พลางเปล่งเสียงว่า “กษัตริย์ทรงธรรม! ต้าฉินของเราสุดท้ายก็ได้พบกษัตริย์ทรงธรรมแล้ว!”“องค์รัชทายาททรงเมตตายิ่งนัก เป็นโชคของต้าฉิน โชคของราษฎรต้าฉิน!”หลี่เฉินโบกมือ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status