สถานการณ์จบลงแล้วเว่ยตังเซียงหลับตา ไม่กล้ามองฉากนี้ ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า การจะก่อกบฏในยุคสมัยศักดินาโบราณนั้น มันยากพอๆ กับการปีนขึ้นสวรรค์ความเกรงกลัวต่ออำนาจขององค์จักรพรรดิ ได้สลักเข้าไปในกระดูกของทุกคนมานานแล้ว มันเป็นสิ่งเดียวที่ราชาทุกพระองค์ในราชวงศ์ที่ผ่านมาทำด้วยความพากเพียรอย่างใจตรงกัน ซึ่งก็คือการยกย่องอำนาจของราชา และทำให้ประชาชนทุกคนเชื่อว่าจักรพรรดิคือโอรสสวรรค์ และการต่อต้านจักรพรรดิ ก็เป็นบาปที่ไม่อาจอภัยได้ แล้วทหารล่ะ? ทหารมาจากไหน? ก็มาจากประชาชน ดังนั้นทหารทุกคนต่างก็เกรงกลัวในอำนาจขององค์จักรพรรดิ หากต้องการพาทหารกลุ่มนี้ก่อกบฏจริงๆ นอกเสียจากว่าทางราชสำนักกับจักรพรรดิจะเน่าเฟะจนถึงจุดที่ไม่อาจรักษาได้ และผู้คนก็ไม่สามารถอยู่รอดได้อีกต่อไป แต่ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดต่อไป ก็ไม่มีใครเต็มใจจะก่อกบฏ ซึ่งต้าฉิน ยังไม่ก้าวไปถึงจุดนั้น เว่ยตังเซียงจึงไม่กล้าก่อกบฏ ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ เขาจึงชูธงกวาดล้างคนเลวข้างกายจักรพรรดิ แต่ถึงกระนั้น เมื่อองค์รัชทายาทหลี่เฉินเผชิญหน้ากับทหารหลายพันคน พวกเขาก็เลือกตัดส
ที่หลี่เฉินไม่ฆ่าเว่ยตังเซียง มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชื่นชอบในความสามารถอะไรนั่นหรอกนี่ไม่ใช่นิยาย เจ้าเว่ยตังเซียงนั่นเกือบจะพรากชีวิตน้อยๆ ของเขาไปแล้ว หลี่เฉินอยากจะสั่งสับร่างมันออกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้สุนัขกินไม่ไหว แต่การกระทำนั้นคงจะทำให้คนอื่นๆ หวาดกลัวเกินไปแต่ตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ฆ่าเว่ยตังเซียงไม่ได้ ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากต้องการแสดงให้ทหารในค่ายหนานต้าชม ต้องรู้ว่า ทหารในค่ายหนานต้าที่อยู่ตรงหน้าอาจจะมีแค่พันคน แต่ข้างนอก ยังมีอีกเจ็ดพันคน! ซึ่งมีจำนวนเท่ากับค่ายเป่ยต้า ที่เจ็ดพันคนนั้นไม่เข้ามา อาจเป็นเพราะว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หรือเป็นเพราะถ้ามีคนมากเกินไป แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตราบใดที่ประตูเมืองหลวงปิด ไม่ว่าใครก็อย่าฝันจะได้เข้ามา สรุปคือ สิ่งสำคัญอันดับแรกของหลี่เฉินในตอนนี้คือการปลอบใจทหารค่ายหนานต้าทั้งแปดพันคนที่กำลังวิตกกังวล มิฉะนั้น ถ้าหากกองทหารชั้นยอดที่หน้าประตูเมืองหลวงกลุ่มนี้ก่อกบฏขึ้นมา สำหรับต้าฉินแล้วนี่คือการโจมตีที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง เมื่อหันหลังเดินเข้าไปในจวนแม่ทัพใหญ่ หลี่เฉินก็จับมือขอ
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการก่อกบฏ ทั้งนำกองทหารเข้าโจมตีเมืองหลวง และยังตะโกนใส่องค์รัชทายาทว่ากวาดล้างคนเลวข้างกายจักรพรรดิอีกด้วย อาชญากรรมร้ายแรงเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นในราชวงศ์ใดจะต้องโดนโทษประหารเก้าชั่วโคตร แต่เหตุใด องค์รัชทายาทซึ่งมีข่าวลือว่าชอบลงโทษด้วยการประหารชีวิต แต่วันนี้กลับปล่อยตัวเว่ยตังเซียงไปอย่างง่ายดาย? ทุกคนที่อยู่ในห้องข้างต่างตกตะลึง ยกเว้นต้วนจิ่นเจียงจอมเจ้าเล่ห์ที่เข้าใจ เขามองหลี่เฉินด้วยดวงตาที่สั่นไหวและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ในเมื่อรับโทษไปแล้ว แล้วทำไมถึงยังไม่ไปอีก?” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “ซูผิงเป่ย” “กระหม่อมอยู่!” ซูผิงเป่ยเดินเข้ามาทางประตูและพูดด้วยความเคารพ “พาตัวแม่ทัพเว่ยตังเซียงออกไป ให้เขากลับไปดูแลตัวเองเถอะ” “เอ๋!?” ซูผิงเป่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และมองไปที่หลี่เฉินด้วยสายตาเหลือเชื่อ “ฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไร? หรือจะให้ข้าพูดซ้ำอีกรอบ?” หลี่เฉินขมวดคิ้วถาม “มิ มิกล้า กระหม่อมรับพระราชดำรัสสั่ง” ซูผิงเป่ยรีบระงับความคิดของตัวเอง และพาเว่ยตังเซียงที่ตกตะลึงออกไป หลังจากเว่ยตังเซียงออกไปแล้ว หลี่เฉินก็พูดกับต้วนจ
ประโยคนี้ แค่ได้ยินก็น่ากลัวแล้วยิ่งไปกว่านั้นต้วนจิ่นเจียงยังนำไปใช้ได้จริงอีกด้วยเมื่อพิจารณาจากแผนการของเขา ถ้ามันสำเร็จจะเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่ต้วนจิ่นเจียงต้องการไม่ใช่การสร้างความวุ่นวาย แต่เป็นการทำลายสถานการณ์ทั้งหมด และหยุดทุกคนไม่ให้เล่น ความโหดเหี้ยมของมันปรากฏอย่างชัดเจน หลี่เฉินวางรายชื่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก และพูดอย่างใจเย็นว่า “ในรายชื่อนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนในยุทธภพ?”ต้วนจิ่นเจียงยิ้มอย่างภูมิใจและพูดว่า “ใครบ้างมิรู้ว่าเหยี่ยวและสุนัขหน่วยบูรพาของพระองค์นั้นกางเขี้ยวเล็บไปทั่วใต้หล้า หากข้าไปหาพวกเจ้าหน้าที่ เกรงว่าแผนการคงถูกเปิดโปงไปนานแล้ว แต่ชาวยุทธภพพวกนี้กระทำการใดล้วนไม่เกรงกลัว และเป็นสิ่งที่ราชสำนักไม่สามารถควบคุมได้ ถึงแม้ว่าอยากจะควบคุมก็เถอะ” “อีกอย่างชาวยุทธภพเหล่านี้ แสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ พวกเขาไม่พอใจราชสำนักมานานแล้ว แค่จัดเตรียมแผนการนิดหน่อย มันจะยากตรงไหนกัน?” “ดี ชาวยุทธภพกำลังฝ่าฝืนคำสั่งห้าม ดีมาก” หลี่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาจ้องมองต้วนจิ่นเจียงแล้วถามว่า “เจ้ายังมีอะไรปิดบังอยู่หรือไม่?” ต้วนจิ่นเจียงหัวเราะเสียงดังแล้วก
องครักษ์เสื้อแพรเล่นกับเหรียญทองแดงในมือของเขา เหลือบมองหมอหูที่หน้าซีดและเจ้าของร้านซาลาเปาแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วิธีการยังคงลึกลับ ถ้าครั้งนี้กวางกงไม่กำชับให้จับตาดูเจ้าเป็นพิเศษ เกรงว่าคงจะถูกเจ้าหลอกไปแล้ว มีอะไรอยากพูดไหม?” หมอหูหัวเราะอย่างสมเพช ความตื่นตระหนกบนใบหน้าก็พลันหายไป และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าดุร้ายและโหดเหี้ยม “กำเนิดมาจากโคลนตมผลิบานในความโกลาหล ดอกบัวขาวจงเจริญ!”เขาตะโกนออกมา ไม่รอให้องครักษ์เสื้อแพรเปลี่ยนสีหน้าและตอบสนอง หมอหูก็กัดยาพิษที่ซ่อนอยู่ในปากของเขา จากนั้นโลหิตสีดำก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากมุมปาก เขาตายแล้ว! เมื่อหันไปมองเจ้าของร้านซาลาเปาอีกที ก็พบกับชะตากรรมเดียวกัน หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรมีสีหน้ามืดมน เป็ดที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในมือกลับบินหนีไปแล้ว คราวนี้คงจะถูกลงโทษเมื่อกลับจากภารกิจ แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด... “คนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสำนักบัวขาว...เรื่องนี้สำคัญมาก จะต้องรีบรายงานให้ท่านกวางกงทราบทันที” ……ในไม่ช้า ซานเป่าก็กลับมา โดยยังคงมีกลิ่นเลือดติดอยู่ ทันทีที่เขาเห็นหลี่เฉิน เขาก็รายงานเร
ซานเป่ารับรายชื่อด้วยความเคารพ และนำไปเก็บไว้ในอ้อมแขนของเขาเมื่อผลักประตูห้องข้างออก หลี่เฉินก็มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะด้านนอก ไหล่ของเขายังคงปวดอยู่เล็กน้อย เขาพึมพำเบาๆ ว่า “ซานเป่า เจ้าเห็นท้องฟ้านี้ไหม มันดูแตกต่างอย่างไร?”ซานเป่าที่ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “บ่าวรู้แต่เพียงว่า ท้องฟ้านี้ยังคงเป็นท้องฟ้าของต้าฉิน และเป็นท้องฟ้าของฝ่าบาท” “ประโยคนี้ช่างอกตัญญู” หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “ข้าเป็นเพียงองค์รัชทายาท ไม่ใช่องค์จักรพรรดิ” ซานเป่ากระซิบเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทคือผู้ที่ทุกคนคาดหวัง ดังนั้นจะไม่มีเรื่องประหลาดใจใดๆ” สีท้องฟ้ามืดสลัว ลมหิมะพัดโปรยปรายถนนด้านนอกจวนแม่ทัพใหญ่ คนรับใช้บางคนกำลังทำความสะอาดหิมะและเลือด สีแดงและสีขาวปะปนกันจนแยกไม่ออก บวกกับโคลนสีดำปนอยู่บ้าง ทำให้คนที่มองอดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้ ศพถูกนำออกไปและกำจัดทิ้งแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงมีร่องรอยของโศกนาฏกรรมก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุหลี่เฉินถูกห่อร่างด้วยเสื้อคลุมขนาดใหญ่ และได้รับการคุ้มกันโดยเฉินทงและซานเป่า พร้อมด้วยองครักษ์เสื้อแพรชั้นยอดอ
หนังหน้าของจ้าวเสวียนจีพลันกระตุกนี่เป็นสิ่งที่หลี่เฉินต้องการยึดหน่วยองครักษ์อวี่หลินไป เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถหยุดหลี่เฉินจากความต้องการนี้ได้ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการทำเรื่องนี้ซึ่งราคานี้นั้น แม้ว่าจ้าวเสวียนจีจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจ่ายแต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการนั้น จ้าวเสวียนจีก็รู้สึกไม่สบายใจจนแทบอยากจะอาเจียนเป็นเลือด หน่วยองครักษ์อวี่หลินค่ายหนานต้า!! เขาใช้เวลาไม่รู้กี่ปีกว่าจะควบคุมค่ายองครักษ์อวี่หลินได้ แต่ต้องมอบมันให้กับหลี่เฉิน! “ที่ฝ่าบาทตรัสนั้นเป็นความจริง” “ต้วนจิ่นเจียงก่ออาชญากรรมร้ายแรง เขารับผิดชอบกรมยุทธนาการมาหลายปีแล้ว ข้ากังวลว่าจะยังมีผู้ติดตามของเขาในกรมยุทธนาการ” หลี่เฉินกล่าวอย่างมีเลศนัย “ต้องมีการปรับตำแหน่งหลายตำแหน่งในกรมยุทธนาการ” จ้าวเสวียนจีกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ฝ่าบาท โลภมากระวังจะเคี้ยวไม่หมด” “ข้ามีฟันดี”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และกล่าวเสียงเรียบว่า “สำนักราชเลขาเวลานี้ว่างหลายตำแหน่ง แต่กิจของรัฐมิอาจปล่อยทิ้งไว้ได้แม้แต่วันเดียว ดังนั้นข้าอยากจะแนะนำแม่ทัพซูเจิ
เวลานี้ ณ.ห้องลับในห้องหนังสือ ต้วนจิ่นเจียงกำลังยืนอยู่ต่อหน้าชายที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับตัวเองราวเจ็ดแปดส่วน เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน หากบอกว่าเป็นฝาแฝดกันก็คงมีคนเชื่อ แต่ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือ บรรยากาศ ต้วนจิ่นเจียงดำรงตำแหน่งสูงศักดิ์มาเนิ่นนาน จึงมีบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น กลับมีท่าทีระมัดระวังมากเกินไป และหลังค้อมเล็กน้อย จึงดูเหมือนชาวนาธรรมดาที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาอะไรคนตรงหน้า ถูกต้วนจิ่นเจียงค้นพบโดยบังเอิญ เขาเก็บบุคคลนี้ไว้ในจวนของเขาด้วยความตั้งใจ หลายปีผ่านมายกเว้นตัวเขาเอง ก็ไม่มีใครรู้ว่าต้วนจิ่นเจียงเลี้ยงดู 'ตัวสำรอง' ไว้ในบ้านของเขา บางทีอาจเป็นเพราะคิดมากเกินไป แต่ต้วนจิ่นเจียงมักรู้สึกอยู่เสมอว่าวันหนึ่งเขาจะประสบปัญหา ดังนั้นเขาจึงเตรียมไพ่ตายใบสุดท้ายนี้ไว้ แต่ไม่คาดว่าจะได้ใช้จริงๆ“แม้การให้เจ้าปลอมตัวเป็นข้าจะเสี่ยงไปบ้าง แต่ข้ารับรองว่าเจ้าจะปลอดภัย และข้าสัญญากับเจ้าว่า หลังจากเหตุการณ์นี้ ข้าจะมอบเงินหนึ่งพันตำลึงให้แก่เจ้า และส่งเจ้ากลับไปหาครอบครัวของเจ้า เงินพันตำลึงนี้ก็เพียงพอที่พวกเจ้าจะใช้ช
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล
ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส
“ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า
เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง