คำตอบของจ้าวหรุ่ย ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธจัด นางหวังว่าจะได้ฆ่าจ้าวหรุ่ยในทันทีสายตาที่เย็นชาจ้องมองไปที่จ้าวหรุ่ยซึ่งไม่กล้าสบตาตัวเอง จ้าวชิงหลานก็ยิ้มเยาะ ก่อนจะหันไปมองหลี่เฉินแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าคงพอใจแล้วสินะ?” “เสด็จแม่ทรงมีพระเมตตากับลูก ลูกต้องขอบพระทัยเสด็จแม่อย่างแน่นอน” สิ้นเสียงของหลี่เฉิน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ผู้อาวุโสของราชวงศ์จากสำนักคุมประพฤติ มหาอำมาตย์จากสำนักราชเลขาสองสามท่าน ต่างพากันทยอยเดินเข้ามา กลับเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง หลี่เฉินก็นั่งที่หัวโต๊ะ ส่วนจ้าวชิงหลานก็นั่งอยู่ข้างๆหลี่เฉินกวาดสายตามองไปยังจ้าวเสวียนจีและคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อทรงมีทายาทมากมาย ซึ่งในบรรดาน้องชายและน้องสาวของข้าก็มีคนที่มีความสามารถอยู่ไม่น้อย แต่เนื่องจากพระอาการของเสด็จพ่ออยู่ในช่วงวิกฤติมาก มากเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะมอบบรรดาศักดิ์ให้เหล่าน้องชายด้วยซ้ำ บัดนี้ ฮองเฮาได้เสนอขึ้นว่าควรจะแต่งตั้งองค์ชายแปดหลี่อิ๋นหู่ให้เป็นจ้าวอ๋อง นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจึงเชิญทุกท่านมาหารือเรื่องนี้” คนเหล่านี้เกือบจะเป็นบุคคลชั้นนำในปิร
“ง่ายมาก แต่งตั้งเป็นอ๋องก่อน” มุมปากของหลี่เฉินยกขึ้นเล็กน้อย ล้อเล่นน่า ถ้าหลี่อิ๋นหู่เป็นอ๋องแต่ไม่มีศักดินา เช่นนั้นเขาก็ถูกกำหนดให้เป็นท่านอ๋องว่างงานไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีอำนาจที่แท้จริงของท่านอ๋อง มันก็แค่มอบหัวโขนใหม่ให้กับเขาไม่ใช่หรือแต่ทว่า ดินแดนศักดินามันเกี่ยวข้องกับแผนการของอำนาจหลัก และเป็นไปไม่ได้เลยที่หลี่เฉินจะพยักหน้าเห็นด้วย หลี่เฉินยังไม่โง่ขนาดนั้นตราบใดที่แต่งตั้งเป็นท่านอ๋อง และมีศักดินาเป็นของตัวเอง หลี่อิ๋นหู่ก็สามารถเป็นเจ้าของภาษีและอำนาจทางทหารของดินแดนศักดินาได้อย่างถูกกฎหมาย เช่นนี้แล้วมันแตกต่างจากจักรพรรดิท้องถิ่นตรงไหน?“สำนักคุมประพฤติจะเขียนลงทะเบียนราชวงศ์ว่า องค์ชายแปดหลี่อิ๋นหู่ได้รับการแต่งตั้งเป็นจ้าวอ๋องอย่างเป็นทางการ และเลือกวันประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ นอกจากนี้ เนื่องจากเสด็จพ่อไม่สามารถจัดการราชกิจได้ชั่วคราว ดังนั้น เรื่องศักดินาจึงค่อยว่ากันทีหลัง รอจนกว่าเสด็จพ่อจะฟื้นขึ้นมาตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง”“แต่ก่อนหน้านั้น จ้าวอ๋องจะประทับอยู่ในเมืองหลวงชั่วคราว แต่เนื่องจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง จึงไม่อาจ
ในพระที่นั่งสีเจิ้ง มีการพลิกผันเกิดขึ้น จินเสวี่ยยวนที่กลายเป็นธาตุอากาศตรงมุมห้องก็รู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ นางไม่ใช่คนในเกม แต่ด้วยสถานะและมุมมองที่เหนือชั้น นางจึงมองทุกอย่างได้อย่างชัดเจนนางดูออกว่าการต่อสู้ทางการเมืองในระดับสูงสุดของต้าฉินนั้น ก็คือการต่อสู้ระหว่างตำหนักบูรพาและสำนักราชเลขา ซึ่งตอนนี้มาถึงจุดที่เลวร้ายแล้ว ไม่มีการประนีประนอมระหว่างพวกเขานางอาจไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเรื่องการแต่งตั้งท่านอ๋อง แต่กลับมองออกว่าหลี่เฉินถูกบีบให้เห็นด้วย และถึงแม้ว่าจะเห็นด้วย แต่ด้วยไหวพริบทางการเมืองของหลี่เฉินนั้นก็สามารถค้นพบตะปูดอกหนึ่งในนั้นได้ การไม่ยอมมอบศักดินา คือเส้นตายของหลี่เฉินแล้วส่วนสำนักราชเลขาก็ร้ายกาจพอๆ กัน หลังจากที่เห็นว่าไม่สามารถได้ดินแดนศักดินาแล้วจริงๆ ก็รีบโยนขีดจำกัดของตัวเองออกมา นั่นก็คือต้องมีทหารส่วนตัว มิฉะนั้นอ๋องไม่เป็นอ๋อง องค์ชายไม่เป็นองค์ชาย และจะกลายเป็นที่หยามหยันของใต้หล้าแต่ทว่า ถึงแม้จินเสวี่ยยวนจะเป็นคนนอกก็ยังเข้าใจว่า การมีทหารส่วนตัวสามร้อยคนในเมืองหลวง มันหมายความว่าอะไรอำนาจของสำนักราชเลขาทรงพลังมาก ซึ่งมาจากการ
ในไม่ช้า สวีเว่ย ผู้บังคับกองร้อยองค์รักษ์ก็รีบมาเข้าเฝ้าทันทีในฐานะองค์รักษ์วังหลวง ทั้งยังเป็นผู้บังคับกองร้อย สวีเว่ยอาจกล่าวได้ว่ามีอำนาจทหารในวังหลวง แต่ยศไม่สูง แค่ขั้นที่ 9 เท่านั้น แต่ทว่าขุนนางจะมีอำนาจมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่สามารถดูเพียงขั้นอย่างเดียวเท่านั้น บรรณาธิการเล็กๆ คนหนึ่งในสำนักฮั่นหลิน มีตำแหน่งเริ่มต้นที่ขุนนางขั้นที่ 7 แต่ในแง่ของอำนาจ ก็ยังเทียบกับนายอำเภอซึ่งมียศขั้นที่ 9 ไม่ได้สวีเว่ยกุมอำนาจรักษาความปลอดภัยที่ประตูเฉินอู่อาจกล่าวได้ว่าช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างมีความสุข ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่เฉินผู้ซึ่งมอบทั้งหมดนี้ให้กับเขา ความเคารพและความกตัญญูในใจจึงไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ “กระหม่อมสวีเว่ย คารวะองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ!”หลี่เฉินรู้สึกพอใจ เมื่อเห็นสวีเว่ยคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพคนที่สนับสนุนขึ้นมาอย่างส่งๆ ในตอนนั้น ได้รับความสนใจจากหน่วยบูรพามาโดยตลอด เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่หน่วยบูรพาส่งรายงานมาให้อ่าน สวีเว่ยผู้นี้ใช้การได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะใช้งานเขา หลี่เฉินก็จำเป็นต้องทุบค้อนบ้าง “ช่วงนี้เจ้า
สวีเว่ยพลันหน้าซีด หน้าผากของเขาปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น เขามักจะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นราบรื่นเกินไป และการแก้แค้นที่เขากังวลก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองนั้นโชคดี แต่ไม่คาดคิดว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเขาจะถูกดูแลโดยองค์รัชทายาทอย่างไรก็ตาม สวีเว่ยก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงทหารองค์รักษ์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่เนื่องจากฝ่าบาททรงชื่นชม เขาจึงเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองร้อย ซึ่งกลายเป็นขุนนางขั้นที่เก้า และมีอำนาจอย่างแท้จริง แต่คนต่ำต้อยอย่างเขาคู่ควรกับความสนใจของฝ่าบาทหรือ? สวีเว่ยไม่รู้ว่าตอนนี้หลี่เฉินขาดคนมากแค่ไหน แต่เขากลับรู้ว่าเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว เขาจะต้องคว้ามันเอาไว้หลังจากได้ลิ้มรสในอำนาจแล้ว สวีเว่ยก็ไม่ต้องการที่จะกลับไปเป็นทหารองค์รักษ์ธรรมดาที่ใครๆ ก็สามารถเหยียบย่ำได้ นั่นคงจะเจ็บปวดยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก“ฝ่าบาท ความโชคดีของกระหม่อม มาจากการสนับสนุนของฝ่าบาทในตอนนั้น แม้เป็นเพียงการกระทำแบบตามใจชอบ แต่กลับเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของกระหม่อมไป กระหม่อมเสียเวลาไปสามสิบปี แต่เมื่อได้พบฝ่าบาทและได้รู้จักความรุ่งโรจน์ กระหม่อมก็ยิ
แม้ว่าสวนดอกไม้ด้านหลังของตำหนักบูรพา จะไม่งดงามเท่ากับอุทยานหลวง แต่ก็เช่นเดียวกับตำหนักบูรพา การตกแต่งทั้งหมดจัดอยู่ในระดับที่ดีที่สุดในต้าฉินแม้แต่ในฤดูหนาวที่มีหิมะตกหนัก ดอกบ๊วยในฤดูหนาวก็ยังบานสะพรั่ง และเกล็ดหิมะก็ร่วงหล่นลงมาทับกิ่งก้านของดอกบ๊วย ดอกบ๊วยสีชมพูอ่อนท่ามกลางฤดูหนาวที่มีแต่สีขาวล้วน ทำให้ทิวทัศน์ดูงดงามเป็นพิเศษเมื่อเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ด้านหลังของหลี่เฉินนั้นมีจ้าวหรุ่ยเดินตามมา และถัดจากนั้นไปสิบก้าว ก็มีขบวนนางกำนัลเดินอยู่ห่างๆ “ฝ่าบาท อากาศข้างนอกหนาวมาก สวมเสื้อคลุมเพื่อป้องกันการเป็นหวัดเถอะเพคะ” จ้าวหรุ่ยหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์จิ้งจอกหิมะของหลี่เฉินมาจากนางกำนัล แล้วสวมให้หลี่เฉินอย่างระมัดระวังขณะพูด “ช่างใส่ใจ”หลี่เฉินพาจ้าวหรุ่ยเดินเล่นในสวนดอกไม้ และพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า “อีกไม่กี่วัน เทศกาลตรุษจีนก็จะจบลงแล้ว หากพูดกันตามหลักแล้ว วันนี้เป็นวันรวมญาติ เวลานั้นข้าจะส่งเจ้าไปที่บ้านพ่อแม่ของเจ้า ให้เจ้าอยู่กับพวกเขาสักปีเถอะ”จ้าวหรุ่ยได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง ก่อนจะกัดริมฝีปากและกล่าวเสียงเบาว่า “หม่อมฉันเป็นคนของฝ่าบาทแล้ว ปีใหม่ ก็ควรอย
เมื่อจ้าวรุ่ยพูดเช่นนี้ หลี่เฉินก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเพลิดเพลินไปกับหิมะและดอกบ๊วย ล้อเล่นน่า ดอกบ๊วยชนิดไหนจะสวยเท่าดอกเดซี่ล่ะ?หลี่เฉินจูงจ้าวหรุ่ยไปที่ห้องบรรทมอย่างกระปรี้กระเปร่า ถึงแม้ว่าจะยังไม่มืด แต่เวลานี้ก็ไม่มีใครกล้ารบกวนการพักผ่อนของพวกเขา นางกำนัลแต่ละคนต่างก็มีไหวพริบและไม่ได้ติดตามพวกเขาไป หรือจะให้ตามไปดูองค์รัชทายาทรังแกนางสนมล่ะขณะเดียวกัน ภายในตำหนักเฟิ่งสี่ นางกำนัลและขันทีทุกคนต่างก็ถูกไล่ออกไป เหล่าทหารองค์รักษ์ยืนถือดาบไว้ในมือ และปฏิบัติตามคำสั่งของฮองเฮา หากมีผู้ใดบุกรุกโดยไม่ได้รับคำสั่ง ให้สังหารอย่างไร้ปรานี ภายในตำหนัก หลี่อิ๋นหู่ที่เพิ่งมาถึงก็คุกเข่าตรงหน้าจ้าวชิงหลาน “ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่”เมื่อกลับมาจากตำหนักบูรพา จ้าวชิงหลานก็รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ก็ยังฝืนทนเรียกหลี่อิ๋นหู่ให้เข้าเฝ้าด้วยหลายสิ่งหลายอย่างและคำพูดมากมาย มันไม่สะดวกที่บิดาของนางจะออกหน้าทำ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเป็นคนกลางเท่านั้นจ้าวชิงหลานจิบชาไปสองอึกก่อนจะวางลงข้างๆ แล้วกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “อย่าเพิ่งรีบขอบคุณข้า มันสำเร็จแค่ครึ่งเดียว”“ถึงแม้ว่าองค
“ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าถูกปล่อยออกไปในดินแดนศักดินาจริงๆ เจ้าจะเป็นอ๋องข้าราชบริพารอย่างแท้จริง” “มันเป็นเรื่องยากที่อ๋องข้าราชบริพารอยากจะพบจักรพรรดิ แต่จวิ้นอ๋องที่ไร้อำนาจกลับสามารถทำได้ง่ายกว่า”“อ๋องข้าราชบริพารของต้าฉินในตอนนี้ ล้วนเป็นเสด็จอาของเจ้ากับองค์รัชทายาท พวกเขามีความทะเยอทะยานมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางการเงิน อำนาจทางทหาร และอำนาจทางการเมือง พวกเขาก็ได้กุมอำนาจทั้งสามด้านอย่างมั่นคง แต่สิ่งที่พวกเขาขาดไปก็คือความชอบธรรม” “ซึ่งความชอบธรรมนี้ในตอนนี้เป็นขององค์รัชทายาท แต่ถ้าองค์รัชทายาทล้มลงในอนาคต มันก็จะเป็นของเจ้าเช่นกัน หากเจ้าไปที่อื่นเพื่อเป็นอ๋องข้าราชบริพาร เจ้าก็จะเริ่มสูญเสียความชอบธรรมนี้ไป ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอะไรเพื่อแข่งขันกับเสด็จอาที่แข็งแกร่งและทะเยอทะยาน?”หลังจากที่จ้าวชิงหลานพูดจบ หลี่อิ๋นหู่ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ เขาโค้งคำนับอย่างซาบซึ้งและพูดว่า “สิ่งที่เสด็จแม่พูดนั้นเป็นความจริง ลูกรู้แจ้งแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต่อจากนี้ ลูกจะทำตามคำสั่งของเสด็จแม่ และไม่คิดเป็นอย่างอื่น”จ้าวชิงหลานมองหลี่อิ๋นหู่อย่างลึกซึ้ง และกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เป
เฉินทงแสดงอาการภูมิใจออกนอกหน้า คำพูดที่เปล่งออกมายังแฝงแววโอ้อวด จนหลี่เฉินต้องเหลือบตามองเขาด้วยความรำคาญ ขณะนั้นเอง เสียงกรีดร้องของต้วนจิ่นเจียงก็ดังขึ้น เมื่อปลายนิ้วแรกถูกตัดออก ความเจ็บปวดจากนิ้วที่เชื่อมโยงถึงหัวใจนั้นทำให้เขาดิ้นพล่านราวกับเสียสติ “หลี่เฉิน! เจ้าจะไม่มีวันตายดี! จะไม่มีวันตายดีแน่!!” ในตอนนี้ ต้วนจิ่นเจียงเริ่มรู้สึกเสียใจเสียแล้ว เสียใจที่ตนเองดึงดันต้องมาที่เมืองหลวงเพื่อฆ่าหลี่เฉินด้วยมือตนเอง เขานึกถึงคำพูดที่เหวินอ๋องกล่าวไว้ก่อนออกเดินทาง จู่ๆ ก็เริ่มสงสัยว่า บางทีเหวินอ๋องอาจคาดการณ์ถึงจุดจบเช่นนี้แล้ว ถึงได้พูดคำคลุมเครือเช่นนั้นออกมา เสียดายที่ตนเอง...ไม่อาจเข้าใจ ตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาคิดได้ ก็คือพยายามยั่วโมโหลี่เฉิน ให้เขาสังหารตนเสียในคราวเดียว แต่หลี่เฉินกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ หลี่เฉินได้มายืนอยู่ตรงหน้าของหลงไหวอวี้แล้ว “เงยหน้าขึ้น” หลี่เฉินเอ่ยเสียงเรียบ หลงไหวอวี้ตัวสั่นไปทั้งร่าง เมื่อได้ยินเสียงปราศจากอารมณ์จากเหนือศีรษะ เขาเงยหน้าขึ้นมองหลี่เฉินโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เขาเห็น คือดวงตาที่เย็นชา ร
เสียงหนึ่งประโยคจากหลงไหวอวี้ที่ตะโกนไล่หลัง ยิ่งตอกย้ำความเป็นศิษย์อาจารย์ที่แนบแน่น แรงทะลวงของลูกปืนแต่ละนัดรุนแรงดั่งค้อนทุบ เมื่อกระแทกใส่ร่างมนุษย์ ทีละนัด สองนัด สามนัด แทบทุกคนถูกยิงเข้าร่างกายกว่า 10 นัดในเวลาอันสั้น ในระยะประชิดเช่นนี้ ไม่มีทางรอดชีวิตได้แน่นอน ผู้คุ้มกันหกถึงเจ็ดคนล้มลงกับพื้น ใครโชคดี โดนจุดสำคัญ ตายทันทีโดยไม่รู้สึกเจ็บ ส่วนคนโชคร้าย แม้ยังไม่สิ้นใจ แต่จิตสำนึกก็พร่ามัว ทรมานเจียนสิ้นใจจนไม่อาจเปล่งเสียงร้องได้ เลือดสดไหลไม่หยุด ชีวิตกำลังร่วงหล่นไปทุกขณะ ส่วนต้วนจิ่นเจียง ถูกยิงเข้าที่ขาทั้งสองนัด พอดีโดนตรงหัวเข่าทั้งสองข้าง ไม่ใช่เพราะโชคดี แต่เพราะทหารที่ยิงตั้งใจเลี่ยงจุดสำคัญโดยเจตนา ผั่บ เสียงร่างของต้วนจิ่นเจียงกระแทกลงพื้น ที่เต็มไปด้วยน้ำฝนและเลือด ขณะนั้นเอง หลงไหวอวี้ที่เพิ่งหนีไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกบังคับให้ถอยหลังกลับมา ตรงหน้าผากของเขา จ่อไว้ด้วยปลายปืนดำมืดหนึ่งกระบอก พร้อมกับอีกสี่ห้ากระบอกที่เล็งทุกจุดสำคัญทั่วทั้งร่างกาย เมื่อเห็นชะตากรรมของต้วนจิ่นเจียงและเหล่าทหารกล้า หลงไหวอวี้ก็รู้ทันทีว่าตนไม่อาจต้านทานได
เสียงหัวข้าะเบาๆ ของต้วนจิ่นเจียง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหัวข้าะลั่น ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวข้าะคลุ้มคลั่ง ต้วนจิ่นเจียงราวกับเสียสติ เงยหน้าหัวข้าะอย่างบ้าคลั่ง แม้สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดใส่ใบหน้า เขาก็ยังไม่หยุดหัวข้าะ “ดี! ดีมาก!” ต้วนจิ่นเจียงหัวข้าะจนแทบหายใจไม่ออก เขาชี้ไปที่หลี่เฉิน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “องค์รัชทายาท เจ้านี่ช่างเป็นผู้ถูกมังกรคุ้มครองแท้จริง แม้หลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจีจะร่วมมือกัน ก็ยังโค่นเจ้าไม่ลง!” “ข้าเพียงเสียดาย ที่ยามท่านอ่อนแอที่สุด ข้ามิได้ลงมือเด็ดขาด ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ ข้า...เสียใจนัก!” สภาพของต้วนจิ่นเจียงเริ่มเข้าสู่ความคลุ้มคลั่งเต็มขั้น ดวงตาแดงฉาน ใบหน้าเหยเกดั่งอสูร “ทำไมกัน! ทำไมข้ารอบคอบวางแผนมาขนาดนี้ เจ้าถึงยังไม่ตาย! มันเป็นเพราะอะไร!” ในถ้อยคำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยอมแพ้อย่างถึงที่สุด “วางแผนรอบคอบย่อมดี แต่คนอย่างเจ้าที่เอาแต่ซุกซ่อนในมุมมืด ดุจหนอนใต้ซากศพ คอยวางแผนลอบกัดไปวันๆ ยังคิดหวังจะทำการใหญ่ได้หรือ?” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “ข้าไม่มีเวลามากพอจะปล่อยให้พวกเจ้าถ่วงเล่น มาเข้าเรื่องกัน
ตึก ตึก ตึก... เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะพร้อมเพรียงดังขึ้น ฟังแล้วชวนให้หัวใจพลุ่งพล่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมเสียงเกราะกระทบกัน สักพักหนึ่ง เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ลาน พวกเขาเคลื่อนที่อย่างมีระเบียบและได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เข้าสู่ลาน ก็จัดรูปขบวนทันที ล้อมรอบกลุ่มของหลงไหวอวี้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบูรพกษัตริย์ การล้อมวงเช่นนี้ ทำให้ต้วนจิ่นเจียงรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันทีโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้นหรือ อาจารย์?” หลงไหวอวี้ที่รู้สึกว่าต้วนจิ่นเจียงเริ่มตึงเครียดก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ต้วนจิ่นเจียงตอบเสียงหนักแน่น “พวกทหารเหล่านี้กำลังล้อมข้าอยู่” ต้วนจิ่นเจียงซึ่งเคยเป็นขุนนางกระทรวงกลาโหม ย่อมมีพื้นฐานด้านการยุทธ เขาเพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านี่คือรูปขบวนของทหารต้าฉิน ใช้สำหรับล้อมศัตรูกลุ่มเล็กโดยเฉพาะ หากเป็นคนของหลี่อิ๋นหู่หรือจ้าวเสวียนจี ต่อให้คิดฆ่าพวกเขาก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ และยิ่งไม่ควรจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้ ต้วนจิ่นเจียงหรี่ตาลง พยายามเพ่งมองเครื่องแบบเกราะของทหารเหล่านี้ หวังจะดูให้แน่ชัดว่าเป็นหน่วยใด แต่ด้วยความมืดของยามค่ำคืน และสายฝน
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล
ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส
“ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า
เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้