“ในสภาพเช่นนี้เจ้ากลับยังร้องออกมาได้ ดูท่าคงตกใจจนสุดขีดจริงๆ นั่นแหละ”หลี่เฉินมองเถ้าแก่ถง กล่าวอย่างเย็นชาก่อนจะยกเท้าถีบอีกฝ่ายล้มกลิ้งหงายหลังไปกับพื้นเขายืนเหนืออีกฝ่าย ก้มมองลงมาอย่างเย็นชาแล้วแค่นเสียงหัวเราะ “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเป็นใครถึงขั้นแค่เอ่ยนามก็ทำให้พวกเราทั้งหมดต้องตาย?”“หลิวซือฉุน พูดมา ตระกูลหูนี้เป็นเทพเซียนจากสำนักใดกันแน่?”หลิวซือฉุนไม่ลังเลอีกต่อไป กล่าวขึ้นตรงๆ ว่า “เสนาบดีกรมพิธีการคนเก่า หูพี ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นมหาอำมาตย์ฝ่ายตรวจราชการ”สิ้นเสียงคำพูดนั้น ร้านขายข้าวทั้งร้านก็เงียบสงัดในพริบตาทุกคนพากันปิดปากเงียบ ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำแต่เถ้าแก่ถงที่นอนอยู่กับพื้น กลับจ้องหลี่เฉินด้วยแววตาแห่งความสะใจ คล้ายคาดหวังว่าจะได้เห็นสีหน้าตกใจหรือเสียใจจากเขาทว่า เขากลับไม่เห็นแม้แต่นิดราวกับก้อนหินถูกโยนลงเหวลึกพันจั้ง เถ้าแก่ถงนึกว่าจะก่อเกิดคลื่นมหึมา ทว่ากลับไม่แม้แต่จะมีฟองน้ำผุดขึ้นตำแหน่งมหาอำมาตย์ฝ่ายตรวจราชการมีอยู่สี่ตำแหน่ง เป็นขุนนางขั้นสอง ตามการวางแผนของหลี่เฉิน ตำแหน่งนี้สามารถเป็นตำแหน่งมีอำนาจจริง หรือเป็นเพียงตำแหน่งว่างเปล่าก็
ฉากอันเหี้ยมโหดและอำมหิตฉากนั้น มิใช่เพียงทำให้เถ้าแก่ถงสงบลง หากแต่ยังทำให้เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูตกใจจนพูดไม่ออกแม้ผู้ลงมือจะเป็นเฉินทงผู้มีท่าทีไม่น่าไว้ใจแต่แรก หากทุกผู้คนก็รู้ดีว่า ผู้เริ่มต้นคือบุรุษตรงหน้า ผู้มีท่วงท่าละมุนละไมราวคุณชายท่ามกลางยุคมืด—หลี่เฉินผู้ที่มีบุคลิกสูงส่ง กลับกระทำเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด ความขัดแย้งรุนแรงนี้ ทำให้ชาวบ้านโดยรอบถอยห่างไปโดยไม่รู้ตัว บางคนที่ใจไม่กล้ายิ่งนัก ถึงกับรีบร้อนหนีออกจากสถานที่แห่งนี้หลี่เฉินหาได้ใส่ใจไม่ เขาก้าวเข้าไปในร้านขายข้าวอย่างเงียบเชียบ พอเห็นกองข้าวสารกองใหญ่ที่เรียงรายราวภูเขา ก็ย่อตัวลง ใช้มือคว้าข้าวจากถุงที่เปิดอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาหนึ่งกำมือ…“นี่คือข้าวเก่า”หลิวซือฉุนที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นกะทันหัน“ข้ารู้”หลี่เฉินกล่าวอย่างเรียบเฉย จากนั้นหันไปมองเถ้าแก่ถง “ข้าวเก่าเหล่านี้ พวกเจ้ากลับขายเป็นข้าวใหม่หรือ?”เถ้าแก่ถงส่ายหัวรัวราวกับคนเสียสติ คอพยายามเปล่งเสียงออกมาหลายคำ แต่ไม่มีผู้ใดฟังออกว่าเขาต้องการพูดอะไรหลี่เฉินขมวดคิ้ว มองเฉินทงแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเจ้าหมูตัวนี้ทำเรื่องพังอีกแล้วทำร้ายลำคอเถ้าแก่ถ
เสียงมาก่อนตัวหลี่เฉินเงยหน้ามองตามเสียงไป เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากร้านขายข้าว เขาสวมเสื้อผ้าผ้าริ้วเนื้อดีเต็มตัว ทั้งร่างห้อยระย้าด้วยเครื่องประดับทองหยกจนแทบไม่มีที่ว่าง มองดูราวกับราวตากผ้าที่แขวนเครื่องประดับเดินได้ชายผู้นั้นรูปร่างผอมเพรียว แต่กลับแต่งตัวฉูดฉาดเกินควร ยืนอยู่ที่หน้าร้านจ้องมองหลี่เฉินพลางหัวเราะเยาะ “ดูจากสำเนียงของเจ้าก็น่าจะเป็นคนเมืองหลวงเหมือนกันสินะ?”ดูเหมือนเขาไม่สนใจคำตอบของหลี่เฉินเลยแม้แต่น้อย พูดต่อทันทีว่า “ในเมื่อเป็นคนเมืองหลวง แล้วดูจากท่าทางก็น่าจะไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา คนในบ้านก็คงมีตำแหน่งมีบรรดาศักดิ์ ข้าขอเตือนด้วยความหวังดีนะ เรื่องไม่ควรยุ่งก็อย่าไปยุ่ง คำไม่ควรพูดก็อย่าเอ่ย ไม่อย่างนั้นอาจหายนะเพราะปาก เกิดเรื่องโดยไม่จำเป็น สุดท้ายไม่ใช่แค่ซวยคนเดียว แต่อาจทำให้ทั้งบ้านเดือดร้อน เจ้าวัยหนุ่ม เจ้าคิดว่าใช่ไหมล่ะ?”คำพูดชุดนี้ทำเอาเฉินทงเกือบควบคุมตัวเองไม่ไหว อยากพุ่งเข้าไปตัดหัวมันเดี๋ยวนั้นแต่หลี่เฉินยังไม่สั่ง เขาก็ไม่กล้าลงมือก่อนหลี่เฉินมองชายผู้นั้นอย่างสนอกสนใจ แล้วตรัสว่า “เจ้าคือเถ้าแก่หรือ? ร้านข้าวร้านนี้เจ้ามี
เจิ้งเป่าหรงซึ่งเดิมทีก็วิตกกังวลอยู่แล้ว คราวนี้ถึงกับกลั้นไม่อยู่เขารีบกล่าวว่า “ไม่ถูกนี่นา ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ เหตุใดพวกเจ้าไม่ไปรายงานทางการเล่า?”หญิงคนนั้นยังไม่ทันตอบ ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่สะพายจอบ ขากางเกงพับขึ้น เปื้อนโคลนทั่วเท้าเหมือนเพิ่งมาจากนา หัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้นว่า “ไปรายงานทางการรึ? ไร้สาระที่สุด พวกมันล้วนแต่พวกพ้องกันทั้งนั้น ไม่รายงานยังดีเสียกว่า พอรายงานเข้าไป เบาสุดคือไม่ได้ซื้อเกลือ หนักสุดก็โดนซ้อม”“เมื่อไม่นานมานี้ น้องชายข้ากลับจากต่างเมือง เขาเป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งน้ำในแคว้นเจียวโจว รายงานเรื่องนี้แล้วก็จริง แต่ไม่ได้โดนซ้อม ทว่าโดนลากตัวออกจากเมืองหลวงทันที ตอนนี้บ้านข้าซื้อเกลือไม่ได้เลย ต้องอาศัยเพื่อนบ้านช่วยกันแบ่งให้ถึงพอประทังชีวิต”หลี่เฉินขมวดคิ้วแน่น ถามว่า “ราคาข้าวที่สูงขึ้นเช่นนี้ ข้าวในร้านเหล่านี้ก็ต้องรับมาจากชาวบ้านหรือเจ้าของที่ดิน ราคาซื้อข้าวจากพวกเขามีเพิ่มขึ้นหรือไม่?”“ใช่ ใช่ ราคาซื้อก็น่าจะเพิ่มขึ้นมากใช่ไหม?” เจิ้งเป่าหรงถามเร่งเสริมขึ้นทันทีหลี่เฉินหันมามองเจิ้งเป่าหรงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “หากไม่พูดเจ้าจะตายหรือไ
“ดี เช่นนั้นก็ไปเรียกเถ้าแก่ของพวกเจ้ามา ข้าจะคุยกับเขาเอง”พนักงานร้านเห็นทีไม่คาดคิดว่าจะเจอคนเอาจริงเข้าให้คนทั่วไปเจอแค่คำพูดทำนองนี้ก็มักจะจบเรื่องไปแล้ว แต่คำสั่งให้เรียกเถ้าแก่มาของหลี่เฉินกลับทำให้เขาคิดว่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ตรงหน้านี้น่าจะตั้งใจมาหาเรื่องคิดได้ดังนั้น สีหน้าของพนักงานก็เริ่มถมึงทึง คำพูดก็ก้าวร้าวยิ่งขึ้น“ข้าถามหน่อยว่าเจ้าโผล่มาจากไหน เถ้าแก่ของพวกข้าว่าใช่ใครจะอยากเจอก็เจอได้หรือ? คิดว่าตัวเองสำคัญนักรึไง?”“ไปให้พ้นเถอะ อย่ามาขวางเราทำมาหา…”คำพูดยังไม่ทันจบ ชายร่างใหญ่คนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามา ยกเสื้อพนักงานขึ้นด้วยมือเดียวจนเท้าเขาลอยขึ้นจากพื้นเฉินทงยกตัวพนักงานขึ้นกลางอากาศ สายตาเย็นเยียบเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจ้องเขม็งไปยังอีกฝ่าย เสียงต่ำชวนขนลุกว่า “คุณชายของข้าบอกให้ใครออกมาก็ต้องออกมา ยังไม่เคยมีใครกล้าไม่ออก เจ้าไม่ไปเรียก ข้าก็จะสับเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้!”อย่ามองว่าเฉินทงในสายตาหลี่เฉินเป็นแค่ลูกนกเชื่องๆ ที่ถูกด่าทุกวัน ความจริงแล้วเขาฆ่าคนมาไม่น้อย ในยุทธภพมีฉายาว่ามือเปื้อนเลือดเพชฌฆาตเพียงแค่เฉินทงถลึงตาใส่ แม่ทัพองครักษ์เสื้อแพรระด
“ถ้าเช่นนั้นสาวชาวบ้านก็ขอตอบเรื่องกิจการของตระกูลหลิวก่อนเพคะ”หลิวซือฉุนตอบอย่างไม่ยโสหรือถ่อมตน ความคิดเป็นระบบชัดเจน “โดยรวมถือว่าใช้ได้ ทุกอย่างยังอยู่ในแผนที่วางไว้ แม้จะมีเหตุเล็กน้อยแทรกเข้ามา แต่ตระกูลหลิวก็สามารถจัดการได้ โดยเฉพาะกิจการร้านเงิน ซึ่งช่วงนี้เห็นชัดว่ามีการเติบโตขึ้น ประชาชนเริ่มเชื่อมั่นในร้านเงินมากขึ้นเรื่อยๆ ทยอยนำเงินมาฝากไว้ในร้านกันมากขึ้น”“นอกจากนี้ กิจการสบู่ก็เริ่มขยายออกไปภายนอก ยอดขายถือว่าดีมากเพคะ”“ที่น่าแปลกใจก็คือ บางพื้นที่ห่างไกลซึ่งเดิมไม่ยอมให้ร้านเงินเข้าไป แต่เมื่อได้รับการรับรองว่าจะมีสบู่ส่งไปให้จำนวนมาก พ่อค้าในพื้นที่ก็ใจอ่อนลง เห็นได้ชัดว่าเงินทองช่างสะกดใจคน เป็นสัจธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยน”หลี่เฉินพยักหน้า สีพระพักตร์ดีขึ้นหลายส่วน พลางตรัสว่า “เรื่องพวกนี้ กรมครัวเรือนก็เคยกราบทูลมาบ้าง แต่ก็ไม่ละเอียดเท่าที่เจ้าเล่า ดีมาก เราไม่ได้เชื่อเจ้าผิดคน”หลิวซือฉุนยิ้มบางเบา “ล้วนเป็นเพราะพระเมตตาของฝ่าบาทเพคะ”หลี่เฉินมองหลิวซือฉุนแวบหนึ่ง แก้มของนางดูเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด โดยเฉพาะพลังจากภายในที่เปล่งออกมาทำให้ชวนจดจำและน่าประทับใจ“แ