Share

บทที่ 2

Author: อู๋ตู๋จุ้ยหลิง
ช่วงเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมา สองพี่น้องมีวรยุทธ์ด้อยกว่าหยางเฉิน ทุกครั้งล้วนถูกเขาสั่งสอน และไม่กล้าตอบโต้

เมื่อพวกเขารู้ว่าหยางเฉินสูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้ว ก็ตื่นเต้นจนนิ้วทุกนิ้วสั่นระริก

โอกาสในการแก้แค้นมาถึงแล้ว!

ถึงแม้พวกเขาจะไม่กล้าสังหารองค์รัชทายาทผู้นี้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการระบายความแค้น ด้วยการซ้อมเขาให้หนำใจเลยแม้แต่น้อย

พลั่ก พลั่ก พลั่ก...

หมัดแล้วหมัดเล่ากระแทกลงบนเนื้อ โลหิตสาดกระเซ็น!

สำหรับองค์ชายทั้งสองแล้ว เสียงเหล่านั้นไพเราะราวกับเสียงดนตรีอันงดงาม ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมราวกับมีพลังเหลือล้น

หยางเฉินกัดฟันแน่น ทนรับความทรมานที่เกินกว่ามนุษย์จะทนไหว ดวงตาทั้งคู่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงดุจมัจจุราช

แม้ในอดีตเขาจะเคยสั่งสอนเจ้าสองคนนี้ ทว่า เขาก็ยังเห็นแก่ความเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด จึงได้ออมมือไว้ ไม่ได้ลงมือหนักถึงตาย

คาดไม่ถึงว่า บัดนี้เมื่อตนสูญสิ้นวรยุทธ์ พวกเขาก็เผยธาตุแท้ออกมา คิดจะจัดการเขาให้ถึงตายให้ได้

นี่น่ะหรือคือพี่น้องร่วมสายเลือด?

หากไม่ใช่เพราะหยางเฉินยังคงเป็นองค์รัชทายาท การสังหารเขาจะนำมาซึ่งปัญหายุ่งยาก เกรงว่าสองพี่น้องคงจะลงมือสังหารเขาไปนานแล้ว

เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง สาวใช้นามว่าหว่านเอ๋อร์ก็รีบวิ่งเข้ามา พอเห็นว่าพวกเขากำลังทุบตีองค์รัชทายาท ก็ร้องตะโกนเสียงดัง “องค์ชายรอง องค์ชายเจ็ด พวกท่านกำลังทำอะไรกันเพคะ?”

“นังทาสชั้นต่ำ ไสหัวไป!” องค์ชายรองสะบัดมือหนึ่งที หว่านเอ๋อร์ก็ล้มลงไปกองกับพื้น

“ใครก็ได้มานี่ที! ใครก็ได้...” หว่านเอ๋อร์พุ่งเข้าไปหาองค์ชายเจ็ดอย่างไม่คิดชีวิต กอดเขาไว้ แล้วอ้าปากกัดลงไปทันที

“โอ๊ย... นังทาสชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรมากัดข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” องค์ชายเจ็ดสะบัดแขนอย่างแรง สลัดหว่านเอ๋อร์กระเด็นออกไป

ทหารยามนอกจวนองค์รัชทายาทได้ยินเสียงของนาง ก็พากันวิ่งตรงมายังห้องนี้

เมื่อองค์ชายทั้งสองได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารยาม ก็สบตากัน รู้ดีว่าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงหันหลังเดินออกไปพร้อมกัน

ไป๋หานอีนำคนบุกเข้ามา พอเห็นหยางเฉินกระอักเลือด ก็รีบเข้าไปถามอย่างร้อนรน “องค์รัชทายาท เหตุใดท่านจึงกระอักเลือดอีกแล้ว?”

“ท่านแม่ทัพไป๋ เป็นฝีมือขององค์ชายรองและองค์ชายเจ็ด... พวกเขา... พวกเขาทุบตีองค์รัชทายาทเจ้าค่ะ ฮือ ๆ ๆ ...” หว่านเอ๋อร์ที่เพิ่งพยุงตัวลุกขึ้นมาได้ เอ่ยขึ้นพลางร้องไห้ฟูมฟาย

“ว่ากระไรนะ? พวกเขากล้าทุบตีองค์รัชทายาทหรือ ข้าจะไปจับตัวพวกเขากลับมา” ไป๋หานอีกล่าวเสียงเย็น

“เดี๋ยวก่อน...” หยางเฉินเรียกเขาไว้

“องค์รัชทายาท ท่านวางใจเถิด ข้าน้อยไม่ฆ่าพวกเขาหรอก เพียงแค่สั่งสอนบทเรียนให้เท่านั้น” ไป๋หานอีกล่าวอย่างเดือดดาล

“เจ้า... เจ้าอย่าไป พวก... พวกเขาเป็นองค์ชาย หากเจ้าล่วงเกินเบื้องสูง พวกเขาก็จะฉวยโอกาสนี้สังหารเจ้าได้!” หยางเฉินกล่าวอย่างติด ๆ ขัด ๆ

รองแม่ทัพผู้นี้สู้จนสุดชีวิตเพื่อช่วยเขาออกมาจากสนามรบ ระหว่างทาง ก็เกือบถูกยอดฝีมือลึกลับที่สวมหน้ากากสังหาร ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ต้องการให้ไป๋หานอีไปหาเรื่ององค์ชายทั้งสอง เพื่อที่จะได้ไม่ตกหลุมพรางอันชั่วร้ายของพวกเขา

“แต่ว่า ท่าน... ท่านบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้!” สีหน้าของไป๋หานอีเขียวคล้ำ กัดฟันจนแทบจะแหลกละเอียด

“ข้ายังไม่ตายง่าย ๆ หรอก! อั่ก...” หยางเฉินกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง แล้วก็หมดสติไปอีกครั้ง

องค์ชายเจ็ดเจ้าสารเลวนั่น เพื่อที่จะทรมานเขา จึงทุบตีจนใบหน้าเขาบวมปูด ไม่ได้คิดจะเอาให้ถึงตาย แต่คิดจะค่อย ๆ ทรมานเขาไปเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ไม่ถึงชีวิต

อุตส่าห์พักฟื้นมาได้หลายวัน ตอนนี้กลับต้องมาเริ่มต้นใหม่ ดูเหมือนว่าอาการจะหนักหนาสาหัสกว่าเดิมเสียอีก

...

เมื่อหยางเฉินถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตากลับเป็นฮ่องเต้อู่เต๋อและพระมารดาฉิงเฟย

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่...” หยางเฉินประหลาดใจอย่างยิ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่มาเยี่ยมเขา หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ

ฮ่องเต้อู่เต๋อหยางเฉิงเทียนมีพระชนมายุห้าสิบกว่าพรรษา อยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ รูปร่างสูงใหญ่สง่างาม สวมเสื้อคลุมมังกรและกวานบนศีรษะ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายของผู้ปกครองแผ่นดินออกมาอย่างเข้มข้น

“เฉินเอ๋อร์ ลูกที่น่าสงสารของแม่ ฮือ ๆ ๆ ...” ฉิงกุ้ยเฟยมองดูสภาพของบุตรชายแล้ว ก็โศกเศร้าจนแทบขาดใจ ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น

หมอหลวงเวินจากสำนักแพทย์หลวงหลัง จากจับชีพจรให้หยางเฉินแล้ว ก็ลุกขึ้นรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท เส้นลมปราณขององค์รัชทายาทขาดสะบั้นสิ้น วรยุทธ์สลายไปทั้งหมด อาการบาดเจ็บภายในรุนแรงมาก กระดูกขาแตกละเอียด เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงยากที่จะฟื้นฟูกลับมาดังเดิมพ่ะย่ะค่ะ”

“หมอหลวงเวิน หมายความว่าชั่วชีวิตนี้เฉินเอ๋อร์จะลุกขึ้นยืนไม่ได้อีกแล้วหรือ? แม้แต่เจ้าก็ไม่มีวิธีรักษาหรือ?” ฮ่องเต้อู่เต๋อตรัสถามเสียงเย็น

“ฝ่าบาท กระหม่อมพอจะลองดูได้ แต่ถึงแม้จะรักษาหาย องค์รัชทายาทก็อาจจะกลายเป็นคนขาเป๋พ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงเวินทูลตอบตามความจริง

อะไรนะ? คนขาเป๋?

หากเป็นเช่นนั้น องค์รัชทายาทก็กลายเป็นคนพิการแล้วมิใช่หรือ?

เมื่อฉิงกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้น ก็คารวะหมอหลวงเวินเล็กน้อย แล้วกล่าวอ้อนวอน “หมอหลวงเวิน ได้โปรดคิดหาวิธีด้วยเถิด เฉินเอ๋อร์ยังเยาว์วัยนัก หากเขาลุกขึ้นยืนไม่ได้ จะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร!”

“ทูลฉิงเฟย มิใช่ว่ากระหม่อมไม่ช่วย แต่คนที่ลงมือโหดเหี้ยมเกินไป กระหม่อมเองก็จนปัญญาพ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงเวินตอบด้วยใบหน้าขมขื่น

“หมอหลวงเวิน เจ้าจงพยายามอย่างสุดความสามารถในการรักษาองค์รัชทายาท อย่างน้อยที่สุดต้องรักษาชีวิตของเขาไว้ให้ได้!” ฮ่องเต้อู่เต๋อตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“กระหม่อมรับพระบัญชา!” หมอหลวงเวินรีบรับคำสั่ง

“เอาละ พวกเจ้าออกไปก่อน เรามีเรื่องจะพูดกับองค์รัชทายาท” ฮ่องเต้อู่เต๋อโบกพระหัตถ์

เมื่อทุกคนออกจากห้องและปิดประตูลงแล้ว หยางเฉิงเทียนก็ค่อย ๆ นั่งลงข้างเตียง

“เจ้าห้า วันนี้เจ้าสองกับเจ้าเจ็ดมาตีเจ้าหรือ?”

“เสด็จพ่อ ลูกยังทนไหวพ่ะย่ะค่ะ!” แววตาของหยางเฉินแน่วแน่

“การแก่งแย่งชิงบัลลังก์ล้วนโหดร้ายเสมอมา พ่อเกรงว่าพี่ ๆ ของเจ้าจะเล่นงานเจ้า เจ้ายอมสละตำแหน่งองค์รัชทายาทเสียเถิด” ฮ่องเต้อู่เต๋อตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เสด็จพ่อ ไหนพระองค์เคยตรัสกับลูกว่า ในภายภาคหน้าแผ่นดินนี้จะเป็นของลูก และจะให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่างไม่ใช่หรือ?” สีหน้าของหยางเฉินเย็นชา

“แต่ว่า ยามนี้วรยุทธ์ของเจ้าถูกทำลายสิ้น ทั้งยังเป็นคนพิการ แผ่นดินนี้ เจ้าจะปกครองอย่างมั่นคงได้หรือ?” ฮ่องเต้อู่เต๋อก็เริ่มมีโทสะขึ้นมาเช่นกัน

เขาคือองค์ฮ่องเต้เชียวนะ อยากจะแต่งตั้งโอรสองค์ไหนเป็นองค์รัชทายาท ก็แค่พูดประโยคเดียว แต่เพื่อเห็นแก่หน้าตาและความรู้สึกของหยางเฉิน พระองค์จึงได้เสด็จมาเกลี้ยกล่อมให้หยางเฉินยอมสละตำแหน่งรัชทายาทด้วยตนเอง

อันที่จริงแล้ว นี่ก็เป็นการปกป้องหยางเฉินเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เพียงแต่ไม่สำนึกในบุญคุณ กลับยังพูดอีกว่าแผ่นดินนี้เป็นของเขาอีก

“เหตุใดจะปกครองอย่างมั่นคงไม่ได้? การปกครองแผ่นดิน ไม่ใช่การต่อสู้ชิงแผ่นดิน สิ่งที่ต้องใช้คือสมอง สมองของลูกไม่ได้พิการเสียหน่อย เหตุใดจะปกครองอย่างมั่นคงไม่ได้? ในเมื่อแผ่นดินนี้เป็นสิ่งที่เสด็จพ่อมอบให้ลูก มันก็ย่อมเป็นของลูก!”

“แผ่นดินของข้า ข้าย่อมเป็นผู้ตัดสินใจ! ผู้ใดกล้าแตะต้องแผ่นดินของข้า ข้าจะกำจัดผู้นั้นเสีย!”

ดวงตาทั้งสองของหยางเฉินปรากฏเจตนาสังหารขึ้น ยังคงองอาจและเปี่ยมด้วยอำนาจบารมีเหมือนเช่นเคย

นี่คือจุดที่ฮ่องเต้อู่เต๋อชื่นชมในตัวเขาที่สุด และก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่แต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท

“ลิขิตสวรรค์มิอาจฝ่าฝืน เจ้าอยากจะตายจริง ๆ หรือ?” ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงกริ้วจนหนวดกระตุก

“ลิขิตสวรรค์ก็แค่ผายลม! หากสวรรค์ขวางข้า ข้าก็จะท้าทายสวรรค์! หากปฐพีขวางข้า ข้าก็จะทลายปฐพี! สู้กับสวรรค์ สุขอย่างไร้ที่สิ้นสุด! สู้กับปฐพี สุขอย่างไร้ที่สิ้นสุด! สู้กับคน สุขอย่างไร้ที่สิ้นสุด!” หยางเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชาอย่างต่อเนื่อง เปี่ยมด้วยอำนาจบารมี

“เจ้าลูกอกตัญญู แม้แต่คำพูดของเราก็ไม่ฟังแล้วหรือ? เชื่อหรือไม่ว่าเราจะตัดหัวเจ้าเสีย?” ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงตวาดอย่างเกรี้ยวกราด

หยางเฉินไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ยืดคอขึ้นแล้วกล่าวอย่างท้าทาย “มาเลยพ่ะย่ะค่ะ ฆ่าลูกเสียเถิด หากท่านไม่ฆ่าลูก ไม่ช้าก็เร็วลูกจะก่อกบฏต่อท่าน!”

อะไรนะ? ก่อกบฏ?

“เจ้าลูกอกตัญญู เจ้าจะทำให้เราโมโหจนตายหรือไร!” ฮ่องเต้อู่เต๋อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แทบจะถูกโอรสองค์นี้ยั่วโมโหจนจะสิ้นพระทัยอยู่แล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 83

    ฉึบ!เสิ่นหนานซิงโดนเข้าอีกหนึ่งกระบี่ ครั้งนี้เป็นบริเวณต้นขา เลือดพุ่งออกมาในทันที หากเป็นคนทั่วไปต้องสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้วเป็นแน่ทว่า เจ้าหนุ่มนี่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนร่างแม้แต่น้อย เขาพุ่งเข้าไปต่อสู้กับเผิงหู่อีกครั้งกล่าวตามตรง เผิงหู่ก็ถูกวิธีการต่อสู้แลกชีวิตของเจ้าเด็กนี่ทำเอาตกใจจนมือเท้าติดขัดแล้ว ทันทีที่ไม่ทันระวังก็ถูกฟันเข้าดาบหนึ่งดาบนี้เมื่อตวัดลงไป ก็กรีดแผ่นหลังของเผิงหู่เป็นแผลยาวสายหนึ่ง โลหิตเนืองนองยิ่งกว่า“เสิ่นหนานซิง พวกเราแค่ประลองยุทธ์กัน เหตุใดเจ้าจึงเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนี้เล่า!” เผิงหู่ร้องตะโกนเสียงดัง“การประลองก็เหมือนการเข้าสู่สนามรบ แม้แต่พญาราชสีห์ยามสู้กับกระต่ายก็ยังต้องใช้สุดกำลัง หากข้าแม้แต่แลกชีวิตก็ยังไม่กล้า แล้วจะเข้าสู่สนามรบไปเอาชีวิตศัตรูได้อย่างไร?” เสิ่นหนานซิงตอบกลับอย่างเย็นชาก็เห็นเขาพุ่งเข้าหาเผิงหู่อีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำดั่งโลหิตคู่นั้น ฉายไอสังหารที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ทำเอาเผิงหู่หวาดหวั่นจนถอยหลังติดต่อกันเผิงหู่ที่พลังใจตกเป็นรอง สุดท้ายก็ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงเวทีประลอง ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 82

    เมื่อเสิ่นหนานซิงเห็นกระบอกเขี้ยวหมาป่าเพิ่มความเร็วขึ้น คล้ายกับคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วก็ไม่ปาน เขากระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนด้ามยาวของกระบองเขี้ยวหมาป่า หยิบยืมกำลังกระโจนเข้าหาเฟิงปู้ผิงเคร้งเคร้งเคร้ง…เสียงอาวุธกระทบกันดังต่อเนื่องไม่หยุด ทำเอาคนทั้งหลายชมดูไม่ทันจนตาลายท่ามกลางการปะทะกันอย่างแข็งกร้าวนั่นเอง อาวุธหนักอย่างกระบองเขี้ยวหมาป่าก็ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงจากเวทีประลองไปในเท้าเดียวป๊าบป๊าบป๊าบ…เสียงปรบมือดังกระหึ่มอย่างกึกก้องหยางจิ่นอวี๋เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นอย่างไร?”“เห็นว่าเขาอายุยังน้อย เป็นผู้มีพรสวรรค์ให้ส่งเสริมได้ก็จริง แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ข้าต้องการ” หยางเฉินส่ายหัวอย่างไม่สนใจนัก“เหตุใดกันเล่า? ตอนนี้เขาอายุยังน้อย แค่สิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น โอกาสในการพัฒนาต่อยังมีอีกมาก ขอเพียงเจ้ามอบให้ทรัพยากรให้เขาเล็กน้อย จะฟูมฟักถึงระดับเก้าก็ไม่น่ามีปัญหาอันใด” หยางจิ่นอวี๋กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“เฟิงปู้ผิงประลองมาแล้วหลายสนาม สูญเสียกำลังภายในไปมาก หากเป็นยามปกติ เสิ่นหนานซิงย่อมไม่อ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 81

    เมื่อเฟิงปู้ผิงเห็นว่าดาบคู่ของอีกฝ่ายเป็นอาวุธเบา ก็ฟาดกระบองลงไปอย่างแรงทันที คิดจะกระแทกเขาให้ตกเวทีไปในกระบวนท่าเดียวทว่าเสิ่นหนานซิงคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างมาก เขากลิ้งตัวไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว ดาบคู่ฟันใส่ขาทั้งสองข้างของเฟิงปู้ผิงเฟิงปู้ผิงย่อมไม่ให้เขาได้สมหวัง เขาถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว พร้อมรั้งกระบองเขี้ยวหมาป่าในมือกลับมาฝืนสกัดแนวโจมตีของดาบคู่น่าเสียดายที่ดาบคู่ของเสิ่นหนานซิงได้พุ่งมาถึงเบื้องหน้าของเขาแล้ว พร้อมกับการโจมตีราวพายุฝนโหมกระหน่ำเคร้งเคร้งเคร้ง…ดาบคู่สลับฟันเข้ามาจนเฟิงปู้ผิงร่นถอยติดต่อกัน และเป็นเพราะดาบคู่จู่โจมช่วงล่าง ทำให้เฟิงปู้ผิงสูญเสียสมดุลไปอย่างสิ้นเชิง และต้องถอยร่นอย่างเร่งร้อนอยู่หลายครั้งเมื่อหยางเฉินเห็นการจู่โจมของเขา ก็อดเผยรอยยิ้มชื่นชมออกมาไม่ได้ยาวขึ้นหนึ่งนิ้วก็แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งขั้น!กระบอกเขี้ยวหมาป่าจัดเป็นอาวุธหนัก ต้องใช้กระบวนท่ารุกถอยอย่างต่อเนื่องโจมตีอย่างลื่นไหล และทุกกระบวนท่าล้วนดุดันทรงพลังแต่ดาบคู่จัดอยู่ในประเภทอาวุธเบา และจำเป็นต้องต่อสู้ในระยะประชิดจึงจะสำแดงพลังของดาบคู่ออกมาได้ ที่เสิ่นหนานซิงเข้าประชิ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 80

    การประลองยุทธ์บนเวทีประลองเช่นนี้ อันแรกต้องมีเจ้าแห่งเวทีประลอง คนที่มาทีหลังจะต้องท้าประลองกับเจ้าแห่งเวทีประลอง จนกว่าจะไม่มีคนขึ้นมาท้าประลองบนเวที ก็จะได้เป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของค่ำคืนนี้โดยทั่วไปแล้ว ทุกสัปดาห์จะจัดการประลองเช่นนี้หนึ่งครั้ง ทันทีที่องค์หญิงใหญ่พอใจ ก็จะแนะนำให้เข้ารับตำแหน่งในกองทัพ หรือแนะนำให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ จากนั้นก็จะได้เดินไปสู่ชีวิตที่รุ่งโรจน์ทันทีที่สาวใช้พูดจบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เหาะขึ้นมาบนเวที กล่าวเสียงดัง “ข้าน้อยอวี๋จื่อเชิงจากอำเภอหลินอู่ ยินดีเป็นเจ้าแห่งเวทีประลอง เพื่อรับการท้าประลองจากวีรบุรุษทุกท่าน”คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ ในมือถือดาบขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเชี่ยวชาญวิชาดาบ“ในเมื่อมีเจ้าแห่งเวทีประลอง ตอนนี้ขอเชิญวีรบุรุษทุกท่านขึ้นเวทีเพื่อท้าประลอง หากสุดท้ายสามารถเป็นเจ้าแห่งเวทีประลองคนสุดท้ายได้ ตามกฎ องค์หญิงใหญ่จะเสนอแนะบุคคลผู้นั้น” สาวใช้กล่าวเสียงดังเมื่อได้ยินว่าผู้ชนะจะได้รับการเสนอแนะจากองค์หญิงใหญ่ หนุ่มน้อยรูปร่างผอมโซคนหนึ่ง ถือหอกยาว ก็กระโดดขึ้นมาบนเวทีทันที“ข้าน้อยเผิงจื้อหย่ง มาเพื่อท้าประลอง!” หนุ่มน้อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 79

    “เช่นนั้นเซวียกุ้ยเฟยส่งคนมาเป็นแม่สื่อให้แก่องค์ชายรอง เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องจริงกระมัง?” หยางจิ่นอวี๋ถามพร้อมอมยิ้ม“องค์หญิงใหญ่ ข้าไม่รู้จริง ๆ หรือ? แต่ว่า องค์ชายรองมีพระชายาตั้งนานแล้ว ท่านพ่อตงจะไม่ยอมให้แต่งเข้าไปเป็นอนุหรอกเจ้าค่ะ” ซ่างกวนซืออินพูดจบ แก้มก็เป็นสีแดงก่ำ เขินอายจนไม่กล้าสบตา“เอาล่ะ ข้าเพียงแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น หากเจ้าแต่งงานกับองค์รัชทายาท เช่นนั้นข้าก็จะเป็นท่านน้าของเจ้าอย่างชอบธรรมแล้ว” หยางจิ่นอวี๋หัวเราะอย่างมีเลศนัย“ได้ข่าวว่านับตั้งแต่ที่องค์รัชทายาทกลับมาจากศึกเขาซือถัว ก็สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้น ทั้งขาข้างหนึ่งยังพิการอีกด้วย ท่านพ่อคงไม่มีทางให้ข้าแต่งเข้าไปเป็นแน่” ซ่างกวนซืออินวิเคราะห์ได้อย่างสมเหตุสมผล“สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้นก็ไม่เป็นอะไรนี่นา! ก็เหมือนกับเจ้า เจ้าก็ไม่เป็นวรยุทธ์เช่นกันมิใช่หรือ? แต่ บทกวี คำกลอน และบทประพันธ์ของเจ้า มีด้านใดที่ด้อยไปกว่าชายชาตรีบ้างเล่า?” หยางจิ่นอวี๋หยิบยกนางขึ้นมาเปรียบเทียบ“ข้าไม่เหมือนเขา ข้าเป็นสตรีที่อ่อนแอ หากเขาอ่อนแอเกินไปละก็ ต่อไปจะปกครองบ้านเมืองอย่างไรล่ะเจ้าคะ?” ซ่างกวนซืออินไม่ค่อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 78

    ในฐานะที่เป็นน้องสาวของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่มีทรัพยากรมากมายในมือ เพียงแต่นางอายุสามสิบกว่าปีแล้ว จึงไม่คิดที่จะแต่งงานมาโดยตลอด ทำให้ผู้คนยากจะคาดเดาความคิดในใจของนางได้หยางเฉินไม่อยากจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของท่านน้า ที่เขามาในครั้งนี้ก็เพราะต้องการมาคัดเลือกบุคคลผู้มีความสามารถในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนา ร่างงดงามร่างหนึ่งเดินย่างกรายเข้ามาที่ประตูใหญ่ของหอถงเหวิน ดึงดูดสายตาของชายหนุ่มนับไม่ถ้วนทันทีหญิงงามคนหนึ่งในชุดสีเขียวบาง สวมผ้าคลุมหน้า แม้จะมองเห็นหน้าไม่ชัด แต่ ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้น กลับส่องประกายใสกระจ่าง ดุจดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้ารูปร่างอันน่าประทับใจ สมส่วน เรือนร่างที่ได้สัดส่วนทองคำ ผมยาวสลวยพอดีเอว ปอยผมหลายเส้นพลิ้วไหวตามการก้าวเดิน“แม่นางซ่างกวนมาแล้ว! แม่นางซ่างกวนมาแล้ว...” ภายในห้องโถงมีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้นเมื่อหยางเฉินได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย หันศีรษะมองไปทางด้านนอกหน้าต่าง อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม “ท่านน้า ท่านนี้คงจะไม่ใช่คุณหนูแห่งตระกูลอัครมหาเสนาบดีใช่หรือไม่?”“ถูกต้อง นางก็คือซ่างกวนซืออิน แล้วก็เป็นแขกประจำของหอถงเหวินของเรา อีก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status