Share

บทที่ 4

Author: อู๋ตู๋จุ้ยหลิง
หว่านเอ๋อร์เป็นสาวใช้ของเสด็จแม่ นับตั้งแต่ที่ตนย้ายเข้ามาอยู่ในตำหนักบูรพา เสด็จแม่ก็ให้หว่านเอ๋อร์มาคอยดูแลตนเอง

ถึงแม้จะเป็นนายบ่าว แต่ก็สนิทสนมกันราวกับพี่น้อง!

บัดนี้กลับมีคนกล้าสังหารนาง แค้นนี้หากไม่ชำระ ข้าหยางเฉินขอสาบานว่าจะไม่ขอเป็นคนอีกต่อไป!

“องค์รัชทายาท เมื่อวานหว่านเอ๋อร์กัดองค์ชายเจ็ดจนบาดเจ็บ ข้าน้อยสงสัยว่าเป็นเขาและองค์ชายรองที่สังหารหว่านเอ๋อร์” แม่ทัพไป๋สะกดกลั้นน้ำตา กล่าวเสียงเย็น

“เจ้าเดรัจฉานสองตัวนั่น กล้าดีอย่างไรมาฆ่าหว่านเอ๋อร์ ข้าจะสับพวกมันให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น!” ดวงตาทั้งคู่ของหยางเฉินแดงก่ำ จิตสังหารพลุ่งพล่านออกมา

“องค์รัชทายาท ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี?” แม่ทัพไป๋เอ่ยถามเสียงเย็น

นางคือแม่ทัพหญิงผู้เด็ดขาดในสนามรบ วรยุทธ์ทั่วร่างบรรลุถึงขั้นเก้าแล้ว ขอเพียงหยางเฉินเอ่ยปากคำเดียว ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย

แม้จะต้องไปสังหารองค์ชายทั้งสอง นางก็จะปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

ทว่า ข้างกายองค์ชายรองและองค์ชายเจ็ดก็มียอดฝีมือคอยคุ้มกันอยู่ หากลงมือขึ้นมา เกรงว่าแม่ทัพไป๋ก็คงจะไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้

นับตั้งแต่ศึกที่เขาซือถัว แม่ทัพใหญ่ข้างกายทั้งสามคนของเขา ก็เหลือเพียงไป๋หานอีคนเดียว ตอนนี้เขาไม่อยากให้นางต้องไปตายเปล่า

“เรื่องแก้แค้นค่อยว่ากันทีหลัง พาข้าไปดูหว่านเอ๋อร์ก่อน” หยางเฉินสะกดกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าว กล่าวเสียงเย็น

“องค์รัชทายาท ท่าน... ท่านอย่าไปดูเลยจะดีกว่า!” ไป๋หานอีนึกถึงสภาพศพอันน่าสยดสยองของหว่านเอ๋อร์ ก็ไม่อยากให้หยางเฉินไปเห็นแล้วเศร้าโศกเสียใจ

หยางเฉินคล้ายจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ความโกรธแค้นและความเศร้าโศกพลันจู่โจมเข้าสู่หัวใจ ตรงหน้าพลันมืดลง ร่างกายโงนเงนแทบจะล้มหมดสติไป

“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท...” แม่ทัพไป๋รีบเข้าไปประคองเขา

“ข้าไม่เป็นไร ข้า... ข้าจะไปดูหว่านเอ๋อร์!” หยางเฉินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

เป็นดั่งที่แม่ทัพไป๋กล่าว ก่อนตายหว่านเอ๋อร์ถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ใบหน้าเละจนจำไม่ได้ และยังถูกล่วงละเมิดก่อนสิ้นใจอีกด้วย

ภายในโถงใหญ่ของจวนองค์รัชทายาท หยางเฉินมองร่างไร้วิญญาณอันเย็นเยียบของหว่านเอ๋อร์ น้ำตารื้นอยู่ในดวงตา ไอสังหารอันเย็นเยียบแผ่กระจายออกมา แม้แต่ไป๋หานอีที่อยู่ข้างกายก็รู้สึกราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง

ตำหนักบูรพาคือที่พำนักขององค์รัชทายาท กลับมีคนกล้าลงมือฆ่าคนในเขตพระราชวัง ยิ่งไปกว่านั้น หว่านเอ๋อร์ยังเป็นนางกำนัลคนสนิทขององค์รัชทายาท นี่มันไม่ต่างอะไรกับการเชือดไก่ให้ลิงดู เป็นการข่มขู่เขา

ในขณะนั้นเอง ผู้บัญชาการใหญ่เซียวแห่งหน่วยทหารรักษาพระองค์ก็ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่า เมื่อทราบข่าวว่าหว่านเอ๋อร์ถูกสังหาร ก็รีบรุดมาทันที

“ข้าน้อยถวายบังคมองค์รัชทายาท!” เซียวจ้านเทียนประสานมือคารวะ

“ผู้บัญชาการเซียว เช้าวันนี้หว่านเอ๋อร์ถูกสังหาร ข้าคิดว่าท่านคงจะรู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดกระมัง?” หยางเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง

“ข้าน้อยทราบว่าแม่นางหว่านเอ๋อร์ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ก็ได้ส่งคนไปสืบสวนทันที...” ผู้บัญชาการเซียวกล่าวถึงตรงนี้ ก็หยุดไปเล็กน้อย พลางชำเลืองมองคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบกาย

หยางเฉินรู้ว่ามีบางคำพูดที่เขาไม่สะดวกจะพูด จึงโบกมือให้ไป๋หานอี นางเข้าใจในทันที จึงพานางกำนัลและขันทีออกไป

เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ผู้บัญชาการเซียวจึงขยับเข้าไปใกล้หยางเฉิน กระซิบเกลี้ยกล่อมว่า “องค์รัชทายาท ขออภัยที่ข้าน้อยปากมาก แม่นางหว่านเอ๋อร์เป็นเพียงนางกำนัลตัวเล็ก ๆ ตายแล้วก็แล้วไปเถิด ท่านอย่าได้สืบสาวราวเรื่องต่อเลยพ่ะย่ะค่ะ”

อันที่จริงแล้ว ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด และผู้บัญชาการเซียวเองก็นับถือหยางเฉินอย่างยิ่ง จึงได้เอ่ยปากเกลี้ยกล่อม ไม่ต้องการให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต

“หว่านเอ๋อร์กับข้าผูกพันกันดั่งพี่น้อง ไม่ว่าใครจะฆ่านาง ข้าจะทำให้มันต้องชดใช้ด้วยเลือด!” ดวงตาสีแดงก่ำของหยางเฉินจ้องเขม็งไปยังผู้บัญชาการเซียว ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาจนตัวสั่น

ผู้บัญชาการเซียวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สายตาฉายแววลังเลเล็กน้อย คล้ายกำลังคิดว่าจะบอกหยางเฉินดีหรือไม่

เพราะอย่างไรเสีย หยางเฉินในตอนนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว วรยุทธ์สูญสิ้น ขาข้างหนึ่งก็พิการ บรรดาขุนนางไร้จุดยืนในราชสำนักเหล่านั้น ต่างพากันเอนเอียงไปเข้ากับองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองกันหมดแล้ว

“ผู้บัญชาการเซียว ท่านเพียงแค่บอกข้ามาว่า ใครเป็นคนฆ่าหว่านเอ๋อร์ ส่วนเรื่องอื่นท่านไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวก็ได้” หยางเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ในฐานะผู้บัญชาการใหญ่ของหน่วยทหารรักษาพระองค์ รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของพระราชวัง หากบอกว่าไม่รู้ว่าใครฆ่าหว่านเอ๋อร์ นั่นย่อมเป็นการปัดความรับผิดชอบต่อหยางเฉิน

แต่ถ้าหากเขาบอกหยางเฉินไปว่าใครคือฆาตกร ตัวเขาเองก็ย่อมสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้บัญชาการเซียวขมวดคิ้วแน่น ก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่งแล้วโน้มตัวไปกระซิบข้างหูของหยางเฉิน “องค์รัชทายาท เช้าวันนี้องค์ชายรองและองค์ชายเจ็ดได้เสด็จเข้าวังมาถวายพระพรกุ้ยเฟย หลังจากนั้นคุณหนูหว่านเอ๋อร์ก็เกิดเรื่องขึ้น...”

เป็นเจ้าคนใจแคบอย่างองค์ชายเจ็ดนั่นจริง ๆ ด้วย!

สีหน้าของหยางเฉินเขียวคล้ำ จิตสังหารพลุ่งพล่าน เขาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วโบกมือให้ผู้บัญชาการเซียว เป็นสัญญาณว่าให้เขาออกไปได้แล้ว

“องค์รัชทายาท ตอนนี้ท่านสูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้ว ต้องอดทนไว้นะพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้บัญชาการเซียวเอ่ยเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ประสานมือคารวะแล้วถอยออกไป

ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือขององค์ชายรองและองค์ชายเจ็ด หยางเฉินก็สาบานว่าจะต้องให้เจ้าสองคนนั่นชดใช้ด้วยเลือด หากไม่ใช่เพราะตอนนี้เขาสูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้ว ป่านนี้คงบุกไปถึงจวนองค์ชายเจ็ดแล้วสังหารมันไปแล้ว

ไป๋หานอีเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “องค์รัชทายาท เป็นฝีมือขององค์ชายเจ็ดใช่หรือไม่?”

“ผู้บัญชาการเซียวบอกข้าว่า เช้าวันนี้องค์ชายรองและองค์ชายเจ็ดเข้าวังมาถวายพระพรกุ้ยเฟย หลังจากนั้นหว่านเอ๋อร์ก็เกิดเรื่องขึ้น” สีหน้าของหยางเฉินเย็นชาอย่างยิ่ง

“เป็นเจ้าสารเลวสองคนนั่นจริง ๆ ข้าจะไปฆ่าพวกมัน!” ไป๋หานอีแผ่จิตสังหารไปทั่วบริเวณ

นางคือหนึ่งในสามขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดข้างกายหยางเฉิน ทั่วร่างแฝงไปด้วยกลิ่นอายคาวเลือดและจิตสังหารอันเข้มข้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนที่ผ่านสมรภูมินองเลือดมาแล้ว

“แม่ทัพไป๋ เจ้าติดตามข้ามากี่ปีแล้ว?” หยางเฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ไป๋หานอีชะงักไปเล็กน้อย ลองนับในใจดูแล้วจึงตอบเสียงดัง “ทูลองค์รัชทายาท สามปีแล้วเพคะ”

“ในเมื่อสามปีแล้ว เหตุใดจึงยังไม่เปลี่ยนนิสัยเลือดร้อนของเจ้าเสียที หว่านเอ๋อร์ถูกฆ่า หัวใจของข้าก็เจ็บปวดเช่นกัน เจ้าวางใจเถิด ข้าจะฆ่าองค์ชายรองและองค์ชายเจ็ด เพื่อแก้แค้นให้หว่านเอ๋อร์อย่างแน่นอน” หยางเฉินกล่าวเสียงเย็น

“องค์รัชทายาท ข้าน้อยทนกล้ำกลืนความแค้นนี้ไม่ได้จริง ๆ ” ไป๋หานอีนึกถึงสภาพอันน่าสยดสยองของหว่านเอ๋อร์ ก็แทบจะระงับโทสะไว้ไม่อยู่

“แม่ทัพลี่และแม่ทัพจีมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?” หยางเฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

แม่ทัพลี่หมางและแม่ทัพจีอู๋หยาทั้งสองคือยอดขุนพลใต้บังคับบัญชาของเขา เช่นเดียวกับไป๋หานอีที่ได้พาเขาฝ่าวงล้อมออกมา และเพื่อถ่วงเวลาทหารที่ไล่ตามมา พวกเขาจึงต้องอยู่รั้งท้ายเพื่อสกัดศัตรู

ตอนนี้เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว กลับยังไม่มีข่าวคราวของแม่ทัพทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าเป็นลางร้ายมากกว่าดี แต่หยางเฉินกลับมีความรู้สึกสังหรณ์ใจลึก ๆ ว่า พวกเขาน่าจะยังมีชีวิตอยู่

เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นยอดฝีมือขั้นเก้าแล้ว ในทั่วทั้งทวีปเฉียนอู่นี้ล้วนจัดเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด แน่นอนว่า หากเทียบกับยอดฝีมือระดับปรมาจารย์และระดับเซียนกระบี่แล้ว ย่อมไม่อาจเทียบได้

แต่ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์และระดับเซียนกระบี่ ไหนเลยจะเข้าร่วมกับกองทัพ พวกเขาสูงส่งอยู่เหนือผู้อื่น มองสรรพชีวิตด้วยสายตาดูแคลน ไม่เคยคิดจะลดตัวลงมาร่วมสงครามเช่นนี้

หากไม่มีการเข้าร่วมของยอดฝีมือระดับปรมาจารย์และระดับเซียนกระบี่ โอกาสที่พวกเขาจะหนีรอดออกมาได้ก็ค่อนข้างสูง

“องค์รัชทายาท ข้าน้อยได้ส่งหน่วยย่อยสิบหน่วยออกไปค้นหาแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของพวกเขา คาดว่าคงจะเป็นลางร้ายมากกว่าดี” ไป๋หานอีกล่าวถึงตรงนี้ อารมณ์ก็พลันหนักอึ้ง

“พวกเขาติดตามข้าทำศึกเหนือใต้ ทุกครั้งล้วนสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ ข้าเชื่อว่าคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง พวกเขาจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”

หยางเฉินหวังว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไร แต่จะรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่นั้น ก็คงต้องแล้วแต่ลิขิตสวรรค์จริง ๆ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 83

    ฉึบ!เสิ่นหนานซิงโดนเข้าอีกหนึ่งกระบี่ ครั้งนี้เป็นบริเวณต้นขา เลือดพุ่งออกมาในทันที หากเป็นคนทั่วไปต้องสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้วเป็นแน่ทว่า เจ้าหนุ่มนี่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนร่างแม้แต่น้อย เขาพุ่งเข้าไปต่อสู้กับเผิงหู่อีกครั้งกล่าวตามตรง เผิงหู่ก็ถูกวิธีการต่อสู้แลกชีวิตของเจ้าเด็กนี่ทำเอาตกใจจนมือเท้าติดขัดแล้ว ทันทีที่ไม่ทันระวังก็ถูกฟันเข้าดาบหนึ่งดาบนี้เมื่อตวัดลงไป ก็กรีดแผ่นหลังของเผิงหู่เป็นแผลยาวสายหนึ่ง โลหิตเนืองนองยิ่งกว่า“เสิ่นหนานซิง พวกเราแค่ประลองยุทธ์กัน เหตุใดเจ้าจึงเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนี้เล่า!” เผิงหู่ร้องตะโกนเสียงดัง“การประลองก็เหมือนการเข้าสู่สนามรบ แม้แต่พญาราชสีห์ยามสู้กับกระต่ายก็ยังต้องใช้สุดกำลัง หากข้าแม้แต่แลกชีวิตก็ยังไม่กล้า แล้วจะเข้าสู่สนามรบไปเอาชีวิตศัตรูได้อย่างไร?” เสิ่นหนานซิงตอบกลับอย่างเย็นชาก็เห็นเขาพุ่งเข้าหาเผิงหู่อีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำดั่งโลหิตคู่นั้น ฉายไอสังหารที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ทำเอาเผิงหู่หวาดหวั่นจนถอยหลังติดต่อกันเผิงหู่ที่พลังใจตกเป็นรอง สุดท้ายก็ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงเวทีประลอง ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 82

    เมื่อเสิ่นหนานซิงเห็นกระบอกเขี้ยวหมาป่าเพิ่มความเร็วขึ้น คล้ายกับคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วก็ไม่ปาน เขากระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนด้ามยาวของกระบองเขี้ยวหมาป่า หยิบยืมกำลังกระโจนเข้าหาเฟิงปู้ผิงเคร้งเคร้งเคร้ง…เสียงอาวุธกระทบกันดังต่อเนื่องไม่หยุด ทำเอาคนทั้งหลายชมดูไม่ทันจนตาลายท่ามกลางการปะทะกันอย่างแข็งกร้าวนั่นเอง อาวุธหนักอย่างกระบองเขี้ยวหมาป่าก็ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงจากเวทีประลองไปในเท้าเดียวป๊าบป๊าบป๊าบ…เสียงปรบมือดังกระหึ่มอย่างกึกก้องหยางจิ่นอวี๋เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นอย่างไร?”“เห็นว่าเขาอายุยังน้อย เป็นผู้มีพรสวรรค์ให้ส่งเสริมได้ก็จริง แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ข้าต้องการ” หยางเฉินส่ายหัวอย่างไม่สนใจนัก“เหตุใดกันเล่า? ตอนนี้เขาอายุยังน้อย แค่สิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น โอกาสในการพัฒนาต่อยังมีอีกมาก ขอเพียงเจ้ามอบให้ทรัพยากรให้เขาเล็กน้อย จะฟูมฟักถึงระดับเก้าก็ไม่น่ามีปัญหาอันใด” หยางจิ่นอวี๋กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“เฟิงปู้ผิงประลองมาแล้วหลายสนาม สูญเสียกำลังภายในไปมาก หากเป็นยามปกติ เสิ่นหนานซิงย่อมไม่อ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 81

    เมื่อเฟิงปู้ผิงเห็นว่าดาบคู่ของอีกฝ่ายเป็นอาวุธเบา ก็ฟาดกระบองลงไปอย่างแรงทันที คิดจะกระแทกเขาให้ตกเวทีไปในกระบวนท่าเดียวทว่าเสิ่นหนานซิงคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างมาก เขากลิ้งตัวไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว ดาบคู่ฟันใส่ขาทั้งสองข้างของเฟิงปู้ผิงเฟิงปู้ผิงย่อมไม่ให้เขาได้สมหวัง เขาถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว พร้อมรั้งกระบองเขี้ยวหมาป่าในมือกลับมาฝืนสกัดแนวโจมตีของดาบคู่น่าเสียดายที่ดาบคู่ของเสิ่นหนานซิงได้พุ่งมาถึงเบื้องหน้าของเขาแล้ว พร้อมกับการโจมตีราวพายุฝนโหมกระหน่ำเคร้งเคร้งเคร้ง…ดาบคู่สลับฟันเข้ามาจนเฟิงปู้ผิงร่นถอยติดต่อกัน และเป็นเพราะดาบคู่จู่โจมช่วงล่าง ทำให้เฟิงปู้ผิงสูญเสียสมดุลไปอย่างสิ้นเชิง และต้องถอยร่นอย่างเร่งร้อนอยู่หลายครั้งเมื่อหยางเฉินเห็นการจู่โจมของเขา ก็อดเผยรอยยิ้มชื่นชมออกมาไม่ได้ยาวขึ้นหนึ่งนิ้วก็แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งขั้น!กระบอกเขี้ยวหมาป่าจัดเป็นอาวุธหนัก ต้องใช้กระบวนท่ารุกถอยอย่างต่อเนื่องโจมตีอย่างลื่นไหล และทุกกระบวนท่าล้วนดุดันทรงพลังแต่ดาบคู่จัดอยู่ในประเภทอาวุธเบา และจำเป็นต้องต่อสู้ในระยะประชิดจึงจะสำแดงพลังของดาบคู่ออกมาได้ ที่เสิ่นหนานซิงเข้าประชิ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 80

    การประลองยุทธ์บนเวทีประลองเช่นนี้ อันแรกต้องมีเจ้าแห่งเวทีประลอง คนที่มาทีหลังจะต้องท้าประลองกับเจ้าแห่งเวทีประลอง จนกว่าจะไม่มีคนขึ้นมาท้าประลองบนเวที ก็จะได้เป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของค่ำคืนนี้โดยทั่วไปแล้ว ทุกสัปดาห์จะจัดการประลองเช่นนี้หนึ่งครั้ง ทันทีที่องค์หญิงใหญ่พอใจ ก็จะแนะนำให้เข้ารับตำแหน่งในกองทัพ หรือแนะนำให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ จากนั้นก็จะได้เดินไปสู่ชีวิตที่รุ่งโรจน์ทันทีที่สาวใช้พูดจบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เหาะขึ้นมาบนเวที กล่าวเสียงดัง “ข้าน้อยอวี๋จื่อเชิงจากอำเภอหลินอู่ ยินดีเป็นเจ้าแห่งเวทีประลอง เพื่อรับการท้าประลองจากวีรบุรุษทุกท่าน”คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ ในมือถือดาบขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเชี่ยวชาญวิชาดาบ“ในเมื่อมีเจ้าแห่งเวทีประลอง ตอนนี้ขอเชิญวีรบุรุษทุกท่านขึ้นเวทีเพื่อท้าประลอง หากสุดท้ายสามารถเป็นเจ้าแห่งเวทีประลองคนสุดท้ายได้ ตามกฎ องค์หญิงใหญ่จะเสนอแนะบุคคลผู้นั้น” สาวใช้กล่าวเสียงดังเมื่อได้ยินว่าผู้ชนะจะได้รับการเสนอแนะจากองค์หญิงใหญ่ หนุ่มน้อยรูปร่างผอมโซคนหนึ่ง ถือหอกยาว ก็กระโดดขึ้นมาบนเวทีทันที“ข้าน้อยเผิงจื้อหย่ง มาเพื่อท้าประลอง!” หนุ่มน้อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 79

    “เช่นนั้นเซวียกุ้ยเฟยส่งคนมาเป็นแม่สื่อให้แก่องค์ชายรอง เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องจริงกระมัง?” หยางจิ่นอวี๋ถามพร้อมอมยิ้ม“องค์หญิงใหญ่ ข้าไม่รู้จริง ๆ หรือ? แต่ว่า องค์ชายรองมีพระชายาตั้งนานแล้ว ท่านพ่อตงจะไม่ยอมให้แต่งเข้าไปเป็นอนุหรอกเจ้าค่ะ” ซ่างกวนซืออินพูดจบ แก้มก็เป็นสีแดงก่ำ เขินอายจนไม่กล้าสบตา“เอาล่ะ ข้าเพียงแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น หากเจ้าแต่งงานกับองค์รัชทายาท เช่นนั้นข้าก็จะเป็นท่านน้าของเจ้าอย่างชอบธรรมแล้ว” หยางจิ่นอวี๋หัวเราะอย่างมีเลศนัย“ได้ข่าวว่านับตั้งแต่ที่องค์รัชทายาทกลับมาจากศึกเขาซือถัว ก็สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้น ทั้งขาข้างหนึ่งยังพิการอีกด้วย ท่านพ่อคงไม่มีทางให้ข้าแต่งเข้าไปเป็นแน่” ซ่างกวนซืออินวิเคราะห์ได้อย่างสมเหตุสมผล“สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้นก็ไม่เป็นอะไรนี่นา! ก็เหมือนกับเจ้า เจ้าก็ไม่เป็นวรยุทธ์เช่นกันมิใช่หรือ? แต่ บทกวี คำกลอน และบทประพันธ์ของเจ้า มีด้านใดที่ด้อยไปกว่าชายชาตรีบ้างเล่า?” หยางจิ่นอวี๋หยิบยกนางขึ้นมาเปรียบเทียบ“ข้าไม่เหมือนเขา ข้าเป็นสตรีที่อ่อนแอ หากเขาอ่อนแอเกินไปละก็ ต่อไปจะปกครองบ้านเมืองอย่างไรล่ะเจ้าคะ?” ซ่างกวนซืออินไม่ค่อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 78

    ในฐานะที่เป็นน้องสาวของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่มีทรัพยากรมากมายในมือ เพียงแต่นางอายุสามสิบกว่าปีแล้ว จึงไม่คิดที่จะแต่งงานมาโดยตลอด ทำให้ผู้คนยากจะคาดเดาความคิดในใจของนางได้หยางเฉินไม่อยากจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของท่านน้า ที่เขามาในครั้งนี้ก็เพราะต้องการมาคัดเลือกบุคคลผู้มีความสามารถในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนา ร่างงดงามร่างหนึ่งเดินย่างกรายเข้ามาที่ประตูใหญ่ของหอถงเหวิน ดึงดูดสายตาของชายหนุ่มนับไม่ถ้วนทันทีหญิงงามคนหนึ่งในชุดสีเขียวบาง สวมผ้าคลุมหน้า แม้จะมองเห็นหน้าไม่ชัด แต่ ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้น กลับส่องประกายใสกระจ่าง ดุจดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้ารูปร่างอันน่าประทับใจ สมส่วน เรือนร่างที่ได้สัดส่วนทองคำ ผมยาวสลวยพอดีเอว ปอยผมหลายเส้นพลิ้วไหวตามการก้าวเดิน“แม่นางซ่างกวนมาแล้ว! แม่นางซ่างกวนมาแล้ว...” ภายในห้องโถงมีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้นเมื่อหยางเฉินได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย หันศีรษะมองไปทางด้านนอกหน้าต่าง อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม “ท่านน้า ท่านนี้คงจะไม่ใช่คุณหนูแห่งตระกูลอัครมหาเสนาบดีใช่หรือไม่?”“ถูกต้อง นางก็คือซ่างกวนซืออิน แล้วก็เป็นแขกประจำของหอถงเหวินของเรา อีก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status