เข้าสู่ระบบสิบห้าปีที่ก่อน
“ริต้า คืนนี้เราไปเที่ยวผับกันไหม ฉลองที่สอบวิชาสุดท้ายจบแล้ว” อารียาถามเพื่อนที่นั่งด้านข้างทั้งคู่ต่างเป็นนักศึกษาชั้นปีสามที่มาเจอกันในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ในคณะบริหารธุรกิจ
“เราคงไปไม่ได้โทษทีนะอารีย์” หญิงสาวปฏิเสธเพื่อนไปตามตรง
ในตอนนี้ที่ทั้งคู่อายุยี่สิบปีได้มาเจอกันในคณะเรียน น่าแปลกที่ทั้งคู่ต่างกันสุดขั้วทว่ามักจะได้อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ รสิตาเป็นคน เรียบร้อยเงียบและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ต่างจากอารียาที่เธอนั้นเป็นคนสดใสเข้ากันได้กับทุกคนและมักจะเป็นคนที่ชวนรสิตาคุยอยู่ตลอด
“คนอื่นเขาก็ไปฉลองกันหมดนะ นี่เราก็ไปชวนกลุ่มนั้นไปเหมือนกันพวกเขาก็จะไป” อารียาชี้ไปยังคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ
“ถ้าไปเที่ยวตอนกลางคืนเราไปไม่ได้หรอก พวกเธอไปเที่ยวให้สนุกนะ” รสิตาไม่ได้รู้สึกเสียดายสักนิดที่ไม่ได้ไปท่องราตรีในคืนนี้กับเราเพื่อน ๆ ในคณะ
“ทำไมล่ะ ไม่ดึกมากนักหรอก เดี๋ยวถ้าเธอเมาฉันจะไปส่งบ้านเอง” อารียายังคงเสนออีกครั้ง
“คือพ่อกะแม่ไม่อยากให้เที่ยวกลางคืนน่ะ โทษทีนะเราไปไม่ได้จริง ๆ”
“โอเค งั้นเราไปกันแค่นี้ก็ได้” อารียาไม่เร้าหรือต่อ
เธอพอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าเพื่อนสาวคนนี้ ค่อนข้างจะเป็นคนเรียบร้อยและก็ไม่ค่อยเข้าสังคมเท่าไร ไม่แปลกนักหากเธอจะไม่อยากเที่ยวกลางคืน อารียาเข้าใจดีคนที่เป็นอินโทรเวิร์ดนั้นก็ประมาณนี้ เดิมทีรสิตาอ้างพ่อและแม่ขึ้นมาเธอก็ไม่เชื่อสักเท่าไรเพราะด้วยวัยนี้ก็เท่ากับว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว หลังจากที่สังเกตรสิตามาสักพักก็ไม่เห็นคนคนนี้จะสุงสิงกับใครเท่าไรนัก จึงคิดว่าเป็นเพราะเธอไม่ค่อยเข้าสังคมมากกว่า
แต่ทว่าพอได้รู้จักกันจริง ๆ แล้วมันเป็นอย่างที่รสิตาบอกจริง ๆ ด้วย แม้ว่าตัวเธอเองจะอายุอานามเท่านี้แล้วจะยังต้องขออนุญาตพ่อกับแม่อยู่เลย อารียาพยายามเข้าใจว่าพ่อแม่ก็คงห่วงนั่นแหละ เพราะรสิตาเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของทั้งคู่ เดี๋ยวโตมาสักหน่อยก็คงจะผ่อนปรนไปเอง
แต่นั่นเธอคิดผิด จวบจนรสิตาอายุยี่สิบห้าปีที่ควรจะเริ่มต้นมีคนรักหรือว่าคิดถึงเรื่องหน้าที่การงานและครอบครัวของตัวเองได้แล้ว แต่พ่อกับแม่ยังคงยืนยันว่า รสิตายังเด็กอยู่ยังไม่เหมาะที่จะมีคนรักตอนนี้
“นี่เธอจะตามใจพ่อแม่ไปจนถึงเมื่อไหร่ เธอต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองสักทีนะริต้า” ในที่สุดอารียาก็ทนไม่ได้จนต้องถามเพื่อนขึ้นมาเป็นจริงเป็นจัง
หลังจากที่อารียาเอ่ยชวนรสิตาไปเที่ยวต่างจังหวัดพร้อมทั้งเพื่อนเก่าที่เรียนมาด้วยกัน ทั้งที่ไปเที่ยวกันสิบกว่าคนแต่พ่อกับแม่รสิตากลับไม่ยอม
“เราไม่อยากทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วง ถ้าเราไม่เชื่อฟังพวกท่านจะเสียใจ ถ้าเป็นอย่างงั้นเราไม่เอาหรอก” และคำตอบนี้ก็เป็นคำตอบที่รสิตาพูดมาตลอดห้าปีที่รู้จักกันมา
อารียาอยากจะบ้าตาย ไม่เข้าใจจริง ๆ เหตุใดพ่อและแม่ของเพื่อนคนนี้จึงได้กำกับชีวิตลูกขนาดนี้ เรียกได้ว่าเป็นนกน้อยในกรงทองของแท้ ครอบครัวของรสิตานับได้ว่าฐานะดีพอสมควร แต่กลับขังลูกของตัวเองไว้ไม่ให้พบเจอสังคม แถมยังไม่ยอมให้มีคนรักอีกด้วย นี่ถ้าหากอารียาเป็นคนเกเรไม่เอาอ่าวละก็มีหวังโดนไล่ตะเพิดไม่ให้มาเป็นเพื่อนของรสิตาแล้วแน่นอน
แต่ใช่ว่าอารียาจะเป็นคนที่อยู่แต่ในกรอบเสียหน่อย หากเธอรู้สึกชอบใครเธอก็คบหา หากวันหนึ่งรู้สึกไม่ชอบแล้วก็แค่เลิกราหรืออะไรหลาย ๆ อย่างที่รู้สึกอยากจะทำก็ทำได้เลย ไม่เห็นจะต้องรอขออนุญาตพ่อและแม่ ยิ่งในตอนนี้เธอทำงานหาเงินด้วยตัวเองแล้ว บอกได้คำเดียวเลยว่าอิสระสุด ๆ
“ขอถามหน่อยเถอะ เธอจะให้พ่อและแม่กำหนดชีวิตของเธอ ไปตลอดชีวิตเลยงั้นเหรอ” อารียาทนไม่ไหวอีกต่อไป ทั้งรู้สึกสงสารและไม่เข้าใจเพื่อนมากๆ เหตุใดจึงไม่ต่อสู้เพื่ออิสระของตัวเอง
“คือว่า...” รสิตาอึกอักเห็นได้ชัดว่าเธอเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะอยู่ในขอบเขตที่พ่อแม่วางไว้สักเท่าไร แต่ด้วยความที่เป็นเด็กดี จึงทำให้เธอไม่ค่อยขัดใจพวกท่านนัก แล้วทุกครั้งที่เธอร้องขอที่จะมีชีวิตเป็นอิสระตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง พ่อและแม่มักจะข่มขู่ด้วยการยกความผิดพลาดของคนรอบข้างมาเป็นบทเรียนให้กับเธอ
หรือเรียกอีกนัยหนึ่งก็คือ ทำให้เธอกลัวโลกภายนอกจนไม่กล้าเดินออกไป รสิตาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตัวเธอเองก็ไม่มีอะไรสามารถการันตีกับพ่อแม่ได้เลยว่าหากเลือกชีวิตด้วยตัวเองแล้วจะประสบผลสำเร็จ จึงทำให้เธอยังต้องเดินตามทางที่พ่อและแม่ขีดไว้ ราวกับนกไร้ปีกแบบนี้
“โอเค โอเค ฉันไม่จู้จี้เธอแล้วก็ได้ เดี๋ยวพ่อกับแม่เธอหาว่าฉันพาเธอใจแตก จะทำอะไรก็ทำแล้วกัน ถ้าเกิดอยากระบายอะไรออกมาก็พูดได้นะ เดี๋ยวฉันรับฟังเอง” อารียาแพ้สีหน้าขมขื่นของเพื่อน
ในความรู้สึกของเธอรสิตาก็ไม่ใช่คนไม่ดีขนาดนั้นหรอก การเป็นคนที่เชื่อฟังพ่อแม่มันก็มีเรื่องดี แต่อาจจะเชื่อฟังมากเกินไปจนไม่เป็นตัวเองนี่ก็เป็นสิ่งที่เธอกังวลเช่นกัน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่รสิตาจะได้มีชีวิตของตัวเองซักที เป็นห่วงก็แต่ว่าหากวันหนึ่งพ่อแม่จากไปแล้วคนคนนี้จะเคว้งคว้างหาทางไปไม่เจอน่ะสิ
“ขอบคุณเธอมากนะที่เข้าใจ ไม่แน่นะเมื่ออายุสามสิบแล้วพ่อกับแม่อาจจะปล่อยให้เราได้ลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองก็ได้” รสิตายังคงคาดหวังอยู่
อารียาได้เพียงแต่ส่ายหน้า เพราะรู้ดีว่าคงไม่มีวันนั้นหรอก คนที่อายุเท่ากันป่านนี้เขาได้ตัดสินใจทำนั่นทำนี่ล้มลุกคลุกคลานหรือสำเร็จไปด้วยตัวเองกันหมดแล้ว เหลือเพียงนกน้อยตัวนี้นั่นแหละที่ยังคงอยู่ในกรงทองขยับไปไหนไม่ได้
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ชีวิตของรสิตาราวกับว่ามันพังทลายลง เมื่อตอนที่เธออายุ ได้สามสิบปีพอดี พ่อและแม่ของเธอก็ประสบอุบัติเหตุจากไปพร้อมกัน สิ่งที่อารียากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น นั่นก็คือระสิตาไม่สามารถบินได้ด้วยตัวเอง
บริษัทนำเข้าเครื่องดื่มที่ผู้เป็นพ่อสร้างขึ้นมาให้ ตกมาอยู่ในมือของผู้เป็นลูกสาวเพียงหนึ่งเดียวในเวลานั้นเอง อารียาต้องคอยดูแลเพื่อนคนนี้ราวกับเป็นแม่คนที่สอง ต้องคอยบอกคอยสอนการใช้ชีวิต ยังดีหน่อยที่ไม่ได้สอนในเรื่องของบริหาร เพราะตั้งแต่ที่เรียนจบมา พ่อของรสิตาก็ให้มาช่วยเหลืองานที่บริษัททันทีเธอจึงมีสกิลการบริหารอยู่บ้าง
แต่ว่าการคุยธุรกิจกับลูกค้าหรือการเข้าสังคมกับเหล่าลูกน้องนั้น ประสบการณ์ของผู้บริหารสาวคนนี้เท่ากับศูนย์ ถึงแม้จะเป็นคนที่เชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่างแต่รสิตาก็เป็นคนที่เรียกได้ว่าคลั่งความสมบูรณ์แบบพอสมควร อะไรที่ขัดใจเธอจะติทันทีโดยที่ใช้คำพูดตรง ๆ ไม่มีการอ้อมค้อมหรือถนอมน้ำใจคนฟังสักเท่าไร เรื่องนี้อารียาได้ตักเตือนหลายรอบแต่ก็ช่วยได้นิดหน่อย สุดท้ายแล้วเมื่ออยู่กับ ลูกน้องหญิงสาวคนนี้ก็กลับไปเป็นคนที่เคร่งงานเหมือนเดิม
แล้วไม่ต้องนึกถึงเรื่องของการมีแฟน ไม่เคยมีในหัวของผู้หญิงคนนี้เลยสักครั้ง อารียาต้องคอยนัดให้เธอไปพบปะสังสรรค์กับคนอื่นบ้างหรือแม้กระทั่งนัดบอดก็มี แต่ด้วยความที่เจ้าระเบียบของรสิตานี่แหละที่ทำให้เธอเข้ากับใครไม่ได้เลยสักคน
จนชีวิตล่วงเลยมาถึงสามสิบห้าปี อารียาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงได้ลากคอเพื่อนไปที่บาร์โฮสต์ในค่ำคืนนั้น อย่างน้อยก็อาจจะพอช่วยให้เพื่อนคนนี้ลองเข้าหาผู้ชายได้บ้าง
ล่วงผ่านไปหลายเดือนเสียงโอ้กอ้ากดังระงมในห้องน้ำจนคนด้านนอกเป็นห่วงไม่น้อยจากอาการแพ้ท้อง แต่คนที่ออกอาการแพ้ท้องอย่างหนักหน่วงไม่ใช่คนอุ้มท้องเจ้าตัวเล็กอย่างรสิตา หากแต่เป็นว่าทีคุณพ่อลูกแฝดอย่างกรวิวัฒน์ต่างหาก ก๊อก ก๊อก ก๊อก “คุณกรไหวไหมคะ มีอะไรให้ริต้าช่วยไหมคะ” “ไม่เป็นไรครับผมยังวะ…อุ๊บ” กรวิวัฒน์ส่งเสียงตอบภรรยาในขณะที่เจ้าตัวยังนั่งกอดชักโครกโก่งคออ้วกอยู่เป็นระยะ ๆ รสิตาเอาหูแนบประตูห้องน้ำด้วยความเป็นห่วงสามี สองสามวันมานี้เขามีอาการอย่างนี้มาอย่างต่อเนื่องจนไม่เป็นอันทำงานทำการ ต้องให้เลขาประจำตัวของเขาเป็นคนประสานงานให้แทนแทบทุกอย่าง เอกสารถ้ามีเลขาก็หอบมาให้ทำที่บ้านจนหมดคิดว่าเมื่ออาการของเขาดีขึ้นแล้วจะกลับไปทำงานตามปกติแต่ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ยังไม่มีท่าทีว่ามันจะเป็นแบบนั้นเลยสักนิดเดียว มีแต่จะหนักขึ้นด้วยซ้ำ “เจ้าตัวเล็กแสบน่าดูเลยนะ เล่นผมซะน่วมเลย” กรวิวัฒน์หอบร่างอันอ่อนระโหยโรยแรงออกมาจากห้องน้ำพร้อมใบหน้าที่ซีดเซียวไม่ต่างอะไรกับคนป่วย จนคนรอรับอยู่ข้างนอกต้องช่วยพยุงเขามานั่
“รักนะครับ” วาจานุ่มละมุนออกมาจากปากของชายหนุ่มผู้เป็นสามีอย่างถูกต้องทางกฎหมายและประเพณีเอ่ยกับคนรักขณะที่นั่งอยู่บนเตียงนอนในเรือนหอ มันถูกโปรยด้วยกลีบกุหลาบเป็นรูปหัวใจตามที่เคยเห็นในทุกงานแต่ง นัยน์ตาสีเข้มสื่อความรักดั่งที่ปากพูดให้แก่เธอผู้เป็นภรรยา รสิตาก้มหน้าเอียงอาย ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะจดทะเบียนสมรสและอยู่บ้านหลังเดียวกันนานหลายเดือนแต่ก็ไม่เคยลึกซึ้งกันสักครั้ง เพราะเขาอยากรอให้ค่ำคืนแรกของเธอคือวันที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี นั่นก็คือวันนี้ นอกจากคำรักก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดคำไหน สีหน้าแดงเรื่องของภรรยายิ่งทำให้ก้อนเนื้อในอกของเขาเต้นรัวมากขึ้น รสิตางดงามมากในชุดเจ้าสาว แต่ใช่ว่าที่ผ่านมาเธอจะขี้เหร่ เพียงแต่ว่าวันนี้เธองดงามเป็นพิเศษ นิ้วเรียวช้อนใบหน้าเล็กให้ขึ้นมาสบตากัน “เราอาบน้ำกันก่อนไหมครับ จะได้สบายตัว วันนี้ไม่ต้องเกร็งนะทำตัวปกติ” ถึงจะว่าอย่างแต่ก็เป็นเขานั่นแหละที่ไม่ปกติ ความตื่นเต้นมันทะลุสีหน้าออกมาอย่างปิดไม่มิด ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะรู้สึกมากขนาดนี้ นอนด้วยกันทุกวันก็ไม่เคยรู้สึ
กรวิวัฒน์เห็นว่าทุกอย่างลงตัวจนไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วก็เหลือได้ชีวิตของเขาและรสิตานี่แหละที่ยังเดินไปไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น เพราะที่ผ่านมาเหตุการณ์มากมายประดังประเดเข้ามาในฝั่งของรสิตามันก็ช่วยให้ทั้งคู่ได้เติบโตมากพอสมควร กรวิวัฒน์ขับรถหรูแล่นเข้ามาในบริษัทนำเข้าแอลกอฮอล์จากต่างประเทศของคนรัก ที่ตอนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ เนื่องจากการรับผิดชอบความผิดพลาดที่โปร่งใสตรงจสิบได้ทำให้คู่ค้าไว้ใจและเชื่อใจมากขึ้น เขาไม่ลืมที่จะหอบช่อดอกไม้ช่อใหญ่สีขาวอมฟ้าติดไม้ติดมือมาด้วยเพราะวันนี้เขาตั้งใจมาพูดเรื่องสำคัญกับเธอ วินาทีที่กรวิวัฒน์ย่างก้าวเข้ามาในบริษัทความหล่อของเขาก็แผ่กระจายไปทั่วหน้าล็อบบี้ทำให้เหล่าพนักงานต่างหันมองเป็นตาเดียว “อ้าวคุณกร มาหาคุณริต้าเหรอคะ” เลขาของรสิตาที่เดินออกมาจากลิฟท์ส่วนกลางพอดีเอ่ยทักขึ้น “ใช่ครับ ริต้าอยู่หรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมอมยิ้มน้อยๆให้เลขาสาว “อยู่ค่ะคุณริต้าอยู่ในห้องทำงาน วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะทำไมดิฉันรู้สึกว่าคุณกรดูหล่อกว่าทุก
ณ บ้านของกรวิวัฒน์ "หนูริต้าไม่ต้องเกร็งนะลูก มานี่มา มานั่งข้างแม่" ตรีชฎา มารดาของกรวิวัฒน์เอ่ยกับว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เธอเอ็นดูรสิตาอย่างมากที่นั่งตัวเกร็งอยู่ข้างลูกชายของเธอ หญิงสาวมองหน้าคนรักอย่างขอความเห็น กรวิวัฒน์พยักหน้าเป็นตำตอบเธอจึงได้สบายใจย้ายที่ไปนั่งข้างผู้อาวุโส แต่ก็ไม่ลายความรู้สึกเป็นกังวลลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มคนรักยิ้มให้เพื่อเป็นกำลังใจ เขาเข้าใจดีในความรู้สึกของรสิตา เมื่อเห็นทางทีของเธอก็รู้สึกเอ็นดูอย่างมาก "อันที่จริงกรก็บอกพ่อกับแม่ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วแหละว่าจะพาหนูเข้ามา เห็นว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะพูด ให้เดาคงเป็นเรื่องที่อยากจะแต่งงานกันใช่ไหม" ผู้ที่นั่งหัวโต๊ะของบ้านอย่างกิตติพูดขึ้นอย่างตรงประเด็น เขารู้ดีว่าวันนี้จะต้องมาถึง มิหนำซ้ำกลับรู้สึกว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ เพราะคนในวัยเดียวกันกับกรวิวัฒน์นั้นมีเมียมีลูกไปหลายคนแล้ว "ครับ ผมกับคุณริต้าตั้งใจว่าจะแต่งงานกัน" เป็นกรวิวัฒน์ที่ตอบคำถามของผู้เป็นพ่อ "เอาสิ วันไหนดีล่ะพ่อจะได้บอกเพื่อน ๆ
“เป็นยังไงบ้างครับ บาร์โฮสต์ของผมยังทำให้คุณริต้าสนใจอยู่รึเปล่า” หลังจากที่ดูการจัดการร้านของกรวิวัฒน์เสร็จแล้วทั้งคู่ก็ลงมาดูส่วนอื่น ๆ จนเรียบร้อย เขาถามเธอขึ้นมาแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วเพราะสีหน้ารสิตาดูสนอกสนใจอย่างมาก “สนใจสิคะ มันดูต่างจากงานที่ริต้าทำมาก ๆ เลย นี่ถ้าคุณกรรู้ว่าริต้าอยู่ในกรอบความต้องการของทางผู้ใหญ่มากแค่ไหน ก็คงจะรู้สึกว่าริต้าควรจะทำงานนี้มาก ๆ” “ผมก็พอรู้มาบ้างครับ ก็เลยอยากชวนมาทำนี่ไงครับ แล้วอีกอย่างผมจำได้ว่าพรุ่งนี้คุณริต้าไม่ต้องไปพบกับลูกค้าแล้ว ถ้างั้นเจียดเวลาสักหน่อยมาพบคุณพ่อกับคุณแม่ผมได้ไหมครับ” “คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณกรเหรอคะ แต่ริต้ายังไม่ทันได้เตรียมใจเลยค่ะ” เธอรู้สึกประหม่าอย่างเห็นได้ชัด รสิตาไม่ทันได้เตรียมใจมาก่อนเพราะเพิ่งจะเป็นแฟนกันได้ไม่นาน ถึงแม้ว่าจะรู้สึกชอบพอกันมาสักพักแล้วก็เถอะแต่เรื่องของการไปพบพ่อและแม่ของคนรักยังไม่ได้มีในหัวของเธอมาก่อน ในใจตอนนี้นึกถึงเพื่อนรักอย่างมากอยากจะขอคำปรึกษาแบบด่วนจี๋ “ไม่ต้องกังวลเลยนะครับ คุณพ่อคุณแม่ท่านใจดี ปกติแล้วพวกท่าน
พอจัดการเรื่องราวของการตามหาตัวคนร้ายที่โกงสินค้าเรียบร้อย รสิตาก็ต้องพากรวิวัฒน์กลับเข้ามาที่ร้านของตัวเองบ้าง เพราะเขานั้นง่วนอยู่แต่กับเรื่องของเธอมาหลายวันมันผ่านช่วงที่ตึงเครียดมาแล้ว ในค่ำคืนนี้บาร์โฮสต์ของกรวิวัฒน์ก็ยังคงครึกครื้นเช่นเดิม และแน่นอนว่าหนึ่งที่นั่งวีไอพีจะต้องเป็นของรสิตาและคนที่มาดูแลก็ไม่พ้นเป็นชายหนุ่มเจ้าของร้าน ตัวเธอนั้นยกเครื่องดื่มขึ้นจิบด้วยความสบายอกสบายใจมากขึ้น มองไปรอบ ๆ แล้วเห็นโฮสต์ที่ดูแลลูกค้าก็เกิดความสนใจขึ้นมา จากที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้สนใจสิ่งรอบข้างสักเท่าไร “คิดอะไรอยู่เหรอครับ” เมื่อเห็นว่ารสิตานั้นเงียบไปพร้อมกับมองไปทั่วร้านก็เกิดความสงสัยว่ามีอะไรที่รสิตาสนใจอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ “ริต้าคิดว่าเราก็รู้จักกันมาสักพักแล้ว แต่ริต้าเองก็ยังไม่ค่อยรู้จักคุณกรในแง่ของการทำงานเลยนะคะ” หลังจากที่ได้มาลิ้มลองเครื่องดื่มหลากหลายรูปแบบโดยที่กรวิวัฒน์เป็นคนบรรจงชงให้ ก็ทำให้เธอเริ่มสนใจร้านเหล้านี้ขึ้นมาแล้วล่ะ จากเดิมที่ไม่เคยมาที่แห่งนี้เพราะว่าพ่อ





![[Engineering] รุ่นพี่เย็นชากับรุ่นน้องหน้าใส](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

