LOGINเสียงเชียร์เบา ๆ ดังอยู่รอบสนาม ขณะที่ทีมบาสกำลังวอร์มอัพร่างกายก่อนลงซ้อม เมษานั่งไขว่ห้างอยู่บนแสตนด์เชียร์ในร่ม ใบหน้าแต่งจาง ๆ ดูสดใสจนคนมองไม่รู้เลยว่าเธอเพิ่งข้อเท้าพลิกมาไม่กี่วัน
“เมษา เท้าเป็นไงมั่ง?”
พริ้มนั่งข้าง ๆ เอียงตัวถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
เมษาหันไปยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนกระดิกข้อเท้าเบา ๆ โชว์ให้ดู พริ้มตาโตทันที
“เฮ้ย! หายแล้วเหรอ!?”
“หายสิ! แค่พลิกนิดเดียวเอง ฉันก็...โอเว่อร์แอคติ้งไปงั้นแหละ”
เมษาหัวเราะเบา ๆ ตาหยีอย่างคนรู้ตัวว่าตัวเองแสบแค่ไหน
“แต่ได้พี่คีตะคอยดูแล คุ้มจะตาย~”
“ยัยเมษา!”
พริ้มกลอกตา ก่อนดีดหน้าผากเพื่อนเปรี๊ยะเข้าให้
“โอ๊ยยยย! ดีดฉันทำไมล่ะ!?” เมษาทำปากยื่น
“ฉันเป็นห่วงจริงจังเลยนะ กลัวเท้าเธอจะเดินไม่ได้” พริ้มบ่น
เมษาหันมายิ้มกว้างทันที
“พริ้มม~ เธอก็รู้นิสัยฉันป้ะ...แต่ขอบคุณนะ ที่เป็นห่วง”
พูดจบก็โถมตัวไปกอดเพื่อนแน่น จนพริ้มทำหน้าตกใจ ก่อนจะแกล้งดิ้นหงึก ๆ พอประมาณ
“ยัยตัวป่วนเอ๊ย!”
แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้แกล้งกันต่อ—เสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้ ๆ
“เมษา…”
มุกยืนอยู่ตรงหน้า สีหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่จริงใจนัก
“พี่...ขอคุยด้วยได้มั้ย?”
บรรยากาศรอบตัวเหมือนชะงักลงครู่หนึ่ง พริ้มเหลือบตามองคนมาใหม่อย่างระแวง ขณะที่เมษายังคงยิ้มบาง ๆ ราวกับไม่ได้สะทกสะท้าน
“ได้สิคะ พี่มุก…”
เสียงหวานดังขึ้นเรียบเนียน ก่อนที่เมษาจะยกยิ้มช้า ๆ
“อยากคุยเรื่องอะไรเหรอคะ?”
มุกส่งยิ้มกลับ แต่แววตากลับอ่านยาก
“เราไปคุยตรงอื่นดีกว่า จะได้ไม่รบกวนการซ้อมของทีมบาสน่ะ”
เมษาหรี่ตามองเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันไปสบตาพริ้ม
“ไปด้วยกันนะ พริ้ม”
น้ำเสียงเธอนุ่ม แต่แฝงความเจ้าเล่ห์ พริ้มพยักหน้าเข้าใจทันที ลุกขึ้นประคองเพื่อนอย่างรู้งาน
“นำไปสิคะ”
...
หลังอาคารสนามบาสมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ พงหญ้ารกรุงรังกับเงาไม้สลัวปกคลุมพื้นที่ราวกับป่าย่อม ๆ ทำให้แทบไม่มีใครกล้าเฉียดเข้ามาในโซนนี้
ท่ามกลางความเงียบสงัด—
พริ้มยืนพิงต้นไม้ใหญ่ กอดอกมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
เมษาย่อตัวลง ใช้มือตบเบา ๆ บนแก้มของหญิงสาวที่นอนหมดสติอยู่กับพื้น หายใจรวยริน รอบตัวมีร่างของผู้หญิงอีกหลายคนที่นอนเกลื่อนกระจัดกระจาย ใบหน้าบางคนมีรอยฟกช้ำ บ้างเสื้อผ้าหลุดลุ่ยจากการปะทะ
“เฮ้อ…เป็นแบบนี้อีกแล้วสินะ”
เสียงถอนใจของพริ้มเต็มไปด้วยความเคยชินปนเหนื่อยใจ
— ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นสามสิบนาที —
“ทำไมต้องมาคุยกันตรงนี้คะ?” เมษาขมวดคิ้วอย่างสงสัย พลางหันไปมองพริ้มที่เดินตามมาด้านหลัง
ต้นไม้สูงเรียงราย แสงแดดลอดผ่านไม่ถึงพื้น เงาไม้พาดผ่านพื้นดินชื้น ๆ บรรยากาศชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
มุกเดินนำเข้ามาในจุดที่ลึกกว่าเดิม ก่อนจะหยุด หันกลับมาพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย
“ก็แค่อยากคุยแบบส่วนตัวน่ะ...”
ยังไม่ทันที่เมษาจะได้ตอบอะไร—
เสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ดังขึ้นจากด้านข้าง แพรว, แนน และสาว ๆ อีก 4 คน กรูเข้ามาล้อมวงอย่างพร้อมเพรียง
“ว้าว บังเอิญเจอกันจริง ๆ เลยน้า~” แพรวแกล้งแย้มยิ้ม น้ำเสียงหวาน แต่แววตาเหี้ยมเกรียม
พริ้มหันซ้ายขวาอย่างระแวง ก้าวขยับมาใกล้เมษาทันที
“เล่นอะไรของพวกเธอ?” พริ้มถามเสียงเขียว
“จะตบสั่งสอนน่ะสิ”
แนนขยับเข้ามาหนึ่งก้าว ยกยิ้มร้าย
“ใครใช้ให้ทำตัวใกล้ชิดพี่คีตะเกินหน้าเกินตา”
เมษาถอนหายใจเบา ๆ พลางกระซิบกับพริ้มโดยไม่ละสายตาจากกลุ่มตรงหน้า
“แกไปยืนหลบตรงต้นไม้ข้างหลังนะ”
“หา? เดี๋ยวสิเมษา—”
“เร็วพริ้ม”
เสียงของเธอเรียบเย็นขึ้นผิดปกติ จนพริ้มชะงัก ก่อนจะถูกเมษาผลักเบา ๆ ออกนอกวง
แล้วเมษาก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับสาวทั้งหกคน ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับราวกับสนุกกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“แน่ใจนะ ว่าพร้อมเล่นกับฉัน?”
น้ำเสียงหวานเจือความนิ่งเย็น ริมฝีปากคลี่ยิ้มเจือความน่ากลัว
“ปากดี เดี๋ยวก็ได้เลือด” มุกตวาด ก่อนจะปรี่เข้ามาคนแรก
แต่ทันทีที่เธอเงื้อแขนขึ้น—
เพี๊ยะ!
เสียงตบดังลั่นสะท้านไปทั้งป่า ใบหน้าของมุกสะบัดไปตามแรงฝ่ามือเมษา ก่อนร่วงลงไปกองกับพื้นสลบเหมือด
“คนแรกไปแล้ว...” เมษาแสยะยิ้ม มือไล้ผมข้างหูเบา ๆ ขณะเอียงคอมองพวกที่เหลือ
“ใครต่อดีน้า~?”
“ยัยนี่…!!!”
แพรวกรีดร้อง ก่อนสาว ๆ ที่เหลือจะกรูกันเข้ามาทันที
จากนั้นก็กลายเป็นความชุลมุนวุ่นวาย ทั้งหมัด ทั้งตบ ทั้งถีบที่เมษาใช้จัดการกับทุกคนอย่างแม่นยำและเฉียบขาด
ร่างบางเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว หลบการโจมตีด้วยจังหวะอันงดงาม ท่วงท่าพริ้วไหวราวนักเต้น ทว่ามือไม้ที่เหวี่ยงออกไป กลับเฉียบคมดั่งนักสู้
ทุกหมัดและฝ่ามือหนักราวกับก้อนหิน
ไม่เกินห้านาที—
หญิงสาวทั้งหมดก็นอนเกลื่อนรอบพื้น ใบหน้าแตกต่างกันไปตั้งแต่ฟกช้ำยันสลบคาพื้น
พริ้มยืนพิงต้นไม้ ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบา ๆ
“ให้ตาย...เห็นแบบนี้ทีไร ฉันจะเป็นลมทุกที”
ตัดกลับมาปัจจุบัน—
เมษานั่งยอง ๆ ข้างร่างของมุก ใช้ปลายนิ้วตบแก้มเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
“ตื่นเถอะน้า~ พี่บอกมีอะไรจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอคะ~?”
“คุณหนูครับ”
เสียงทุ้มเย็นแต่คุ้นหูดังขึ้นจากเงามืดหลังต้นไม้ใหญ่ เมษาเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตากลมโตเป็นประกาย
“พี่คิน~!”
เธอยิ้มหวานอย่างลั้นลา เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทดำปรากฏตัวออกมาจากเงาไม้ ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึมตามสไตล์บอดี้การ์ดผู้เงียบขรึม
เขาถอนหายใจเล็กน้อยก่อนพูดด้วยน้ำเสียงติดเหนื่อยใจ
“อีกแล้วเหรอครับ...”
เมษาหัวเราะแหะ ๆ แล้วชี้นิ้วไปทางร่างของสาว ๆ ที่นอนระเกะระกะอยู่รอบพื้น
“หนูฝากเก็บด้วยนะค้า~ แพรว แนน มุก แล้วก็…ไม่รู้จักชื่อพวกที่เหลือ แฮ่~”
เธอยิ้มแหย ๆ พร้อมส่งมือถือของตัวเองให้อคิน
“มีคลิปจากกล้องแอบถ่ายไว้ด้วย ฝากจัดการด้วยนะคะ เผื่อมีอะไรผิดพลาด หนูจะกลายเป็นจำเลยสังคมซะก่อน”
“รับทราบครับ” อคินรับมือถือไป ก่อนจะหยิบของตัวเองขึ้นมากดส่งข้อความไปยังทีมสนับสนุนทันที
ขณะนั้น พริ้มที่ยืนมองอยู่ข้างต้นไม้ก็ออกมาทักทาย
“อะ…เอ่อ สวัสดีค่ะ พี่คิน”
น้ำเสียงเธอเบาและติดประหม่าเล็กน้อย
อคินหันไปสบตาแล้วยกคิ้วเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับ
“สวัสดีครับ คุณพริ้ม”
“ฮู้ว~เขินไรยะ” เมษาแซวพร้อมยกศอกสะกิดพริ้มเบา ๆ
“หุบปากเลยยัยเมษา!” พริ้มหน้าแดงจัดรีบตีแขนเพื่อนทันที
“โอ๊ยย~ แซวเล่นหน่อยก็ไม่ได้ หืม~”
เมษาหัวเราะร่า ก่อนจะหันกลับไปหาอคินอีกครั้ง
“หนูกลับก่อนนะ เดี๋ยวพี่คีตะหาไม่เจอ”
“ครับ เดี๋ยวผมจัดการที่เหลือเอง”
เมษายกมือทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหารล้อเลียนอย่างน่ารัก แล้วกอดแขนพริ้ม
“ไปค่ะเพื่อน~ เรากลับไปสแตนด์กันดีกว่า~”
“เฮ้อ...เธอนี่ ทำยังกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ” พริ้มบ่นอุบ แต่ก็ยอมเดินตาม
“ก็ไม่มีอะไรนี่นา~ แค่ยุงหกตัวบินมาแล้วโดนดีดตายแค่นั้นเอง”
เมษาว่า พลางหมุนตัวเล่นอย่างสบายใจ พร้อมเดินกลับไปยังสแตนด์เชียร์...ก่อนที่คีตะจะซ้อมบาสเสร็จ
สัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์เมษายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นแค่ช่วงนี้…ข้าวมันไก่ที่เคยกินแล้วฟินตอนดึก กลับกลายเป็นศัตรูของชีวิต ข้าวต้มปลาเจ้าประจำที่เคยคลั่งไคล้ ตอนนี้แค่ได้กลิ่นก็แทบอ้วกแต่สิ่งที่เธอรู้แน่ ๆ คือ…เธอกำลังจะมีลูก และ “คุณพ่อเด็ก” ก็คือสามีสุดหล่อผู้คลั่งรักที่เพิ่งรู้ข่าวนี้ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว18.47 น.เสียงประตูคอนโดดัง “แกร๊ก”“เมียครับ!!! ลูกพี่กินอะไรได้บ้าง!! พี่ซื้อของมาเป็นสิบถุง!!!”คีตะ โชติธาดาคนเดิม เพิ่มเติมคือระดับความเห่อเกินหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ในมือเขาถือทั้งซุปปลาแบบออร์แกนิก ขิงแก่สดจากเชียงราย น้ำมะพร้าวไม่แช่เย็น ผ้าคลุมไหล่สำหรับหญิงตั้งครรภ์และ…หนังสือชื่อ ‘เข้าใจเมียท้องใน 60 นาที’ ที่เปิดอ่านค้างไว้ตรงหน้าแรก“พี่คีตะคะ…” เมษาถอนใจเฮือก“แค่หนูบอกว่าอาเจียนตอนเช้า พี่ก็ไปเหมาโซเชียลเหรอคะ?”“ก็…ก็พี่กลัวเมียเหนื่อยไงคะ แล้วก็ลูกพี่…ก็แสบตั้งแต่ยังไม่ออกมา!”คีตะวางของลง ก่อนจะพุ่งมาทรุดตัวนั่งข้างเธอบนโซฟา เอามือทาบท้องเธอเบา ๆ ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่เห็นพุงแม้แต่นิด“อยากให้พี่ทำอะไรมั้ยครับ? อยากกินอะไรเป็นพิเศษ? น้ำแข็งจากขั้วโลก? ท
3 ปีต่อมา…แม้กรุงเทพฯ ยังจมอยู่ในวังวนเดิม ๆ ของการจราจรที่เหมือนภาพซ้ำทุกเช้าเย็น แต่ชีวิตของคีตะเปลี่ยนไปไกลราวฟ้ากับเหวจากเมื่อสามปีก่อนจากอดีตหนุ่มวิศวกรรมเครื่องกลที่ชีวิตผูกติดกับเครื่องจักร น้ำมันเครื่อง และซอฟต์แวร์ควบคุมอัตโนมัติวันนี้เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หนังสีดำในห้องประชุมกระจกชั้นบนสุดของสำนักงานใหญ่ อาริกาโตะ กรุ๊ป—บริษัทเทคโนโลยีระดับอินเตอร์ที่กำลังเติบโตเร็วเหมือนติดจรวดในมือของเขามีทั้งดีลระดับพันล้าน หุ้นใหญ่ในมือ และแผนระดมทุนรอบใหม่ที่เหล่านักลงทุนต่างเฝ้ารอแต่ในสมองของเขา...มีเพียงคำถามเดียวที่วนซ้ำอยู่ทุกวัน‘เมียกูกินข้าวยังวะ’ไม่ว่าในแต่ละวันจะมีตารางงานแน่นขนาดไหน ต่อให้เลขาฯ ต้องคุกเข่ากราบขอให้เลื่อนนัดด่วนกับนักลงทุนต่างชาติคีตะก็จะส่ายหน้า...แล้วพูดเสียงนิ่งว่า“ผมห้ามมีนัดหลังหกโมงเย็นเด็ดขาด”‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ประจำตัวผู้บริหารใหญ่นี้คือกฎเหล็กข้อเดียวที่ใครก็ห้ามล้ำเส้นเพราะนั่นคือเวลาที่เขาจะรีบกลับคอนโดหรูย่านสุขุมวิท...กลับไปหาเมียที่ทั้งน่ารัก แสบ และเป็นแม่บ้านที่เขาหลงรักยิ่งกว่ากำไรรายไตรมาสวันนี้ก็เช่นกัน...เสียง ‘ติ๊ด’ จากปร
เสียงแสงแดดกลางฤดูหนาวทาบทอผ่านสนามหญ้ากว้างของมหาวิทยาลัย R.C.U. กลิ่นดอกไม้ปนกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ท่ามกลางเสียงชัตเตอร์มือถือที่ดังระรัวจากบรรดาเพื่อน ญาติ พี่น้องที่แห่มาร่วมแสดงความยินดีในวันสำเร็จการศึกษาเมษาในชุดครุยปักตราประจำคณะเดินออกจากหอประชุม พร้อมรอยยิ้มสดใสทันทีที่เห็นคนสำคัญ“คุณแม่! คุณพ่อ!”เธอวิ่งเข้าไปกอดคุณแม่ปาริฉัตรแน่น ส่วนท่านทูตดิลกก็ส่งยิ้มอย่างภูมิใจพลางเอื้อมมาลูบผมลูกสาวเบา ๆ“ลูกสาวพ่อเรียนจบแล้วนะ”“สวยที่สุดในรุ่นเลยค่ะ ลูกแม่!”ด้านหลังยังมีอีกสองคนที่ยิ้มอย่างภูมิใจไม่แพ้กัน — คุณธนา และคุณแม่อัญญาของคีตะ ทั้งคู่ยืนถือของขวัญกล่องเล็ก ๆ พร้อมดอกไม้ช่อโตที่เตรียมมาให้เธอเช่นกัน“ยินดีด้วยนะจ๊ะ หนูเมษา”“ขอบคุณค่ะ คุณอา คุณน้า” เมษายิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะรับของขวัญจากทั้งคู่“แล้ว...พี่คีตะล่ะคะ?” หญิงสาวหันมองไปรอบตัวทุกคนมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนแอบอมยิ้ม“หาพี่เหรอ?”เสียงทุ้มคุ้นหูทำเอาเมษาหันขวับไปทันทีคีตะมาในเสื้อเชิ้ตพอดีตัว กางเกงสแลค หล่อเนี้ยบจนทำเอาเมษาถึงกับตาพร่า แต่สิ่งที่ทำให้เธอใจเต้นกลับไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ —มันคือสายตาที่
“คิดอะไรอยู่ หืม~?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นด้านหลัง ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมอง แล้วต้องกลั้นหายใจเล็กน้อยคีตะในชุดลำลองเสื้อกล้ามสีเข้มกับกางเกงผ้าสบาย ๆ ผมเปียกนิดหน่อยจากการอาบน้ำ มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำเย็น อีกข้างถือผ้าขนหนูเขาเดินเข้ามาหาช้า ๆ แล้วนั่งลงข้างเธอ พลางยื่นผ้ามาคลุมศีรษะเธอไว้เบา ๆ ก่อนวางแก้วไว้ข้างตัว“ผมยังไม่แห้งดีเลย เดี๋ยวไม่สบาย” เสียงนุ่มนวลเต็มไปด้วยความอ่อนโยน และค่อย ๆ เช็ดผมให้เธอ“อื้อออ~ ไม่ต้องเช็ดแรงก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหัวหนูหายหมด” เมษาบ่นอุบ แต่เสียงกลับแผ่วลงเรื่อย ๆคีตะหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยุดเช็ด แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาคมนิ่งลึกสะท้อนแสงจันทร์ และเธอรู้สึกได้ว่า ลมหายใจของเขาอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว“พะ...พี่คีตะ...”“หืม?” คีตะเลื่อนมือมาจับปลายคางเธอเบา ๆ“คือ...” เมษาตาโต หน้าแดงซ่านไม่ทันได้พูดอะไร ริมฝีปากของเขาก็โน้มลงมาแตะกับริมฝีปากของเธอเบา ๆ จูบแรกนั้นนุ่มนวล...อบอุ่น...แฝงความทะนุถนอมแต่ในวินาทีถัดมา รสจูบนั้นกลับค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆปลายลิ้นร้อนแตะที่กลีบปากเธอ ก่อนจะค่อย ๆ ดุนดันให้เธอเปิดรับสัมผัสที่เร่าร้อนยิ่งกว
หลังจากคีตะเรียนจบคุณพ่อธนาไม่รอช้า…กดดันให้ลูกชายคนเดียวเข้าไปช่วยงานในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวทันที“จะออกแบบเครื่องยนต์ หุ่นยนต์ หรืออะไร พ่อไม่ว่า แต่ช่วยทำโปรเจกต์กับแผนกเทคโนโลยีในเครือเราซักอาทิตย์สองอาทิตย์ก่อน ได้มั้ยลูก!”เสียงของคุณพ่อยังดังก้องในหัวเขาแต่คีตะในเสื้อฮู้ดสีเทา กับกางเกงวอร์มเรียบ ๆ กลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ยกโน้ตบุ๊กขึ้นบนตัก เปิดแบบจำลองหุ่นยนต์ต้นแบบที่เขาออกแบบเอง —โครงสร้างเครื่องกลซับซ้อนแต่สมบูรณ์แบบจนเหมือนสิ่งมีชีวิตจริง‘ถ้ามีเวลาอีกซักหน่อย...โปรเจกต์นี้ต้องสำเร็จแน่’เขาคิดในใจ ก่อนเสียงใส ๆ ที่คุ้นเคยจะดังขึ้นจากประตู“พี่คีตะขา~ หนูเอาน้ำมะพร้าวมาฝาก~”เสียงหวานนั่นทำให้เขาชะงัก เงยหน้าขึ้น — และทันทีที่เห็นคนตรงหน้า ความเครียดทั้งวันก็ละลายหายไปในพริบตาเมษาในชุดเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาวกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า เดินยิ้มหวานถือแก้วที่มีน้ำมะพร้าวเย็น ๆ กับถุงใส่ขนมที่เธอซื้อมาฝากตั้งแต่สอบปลายภาคเสร็จ พ่อและแม่ของเธอก็ต้องกลับไปประจำสถานทูตอังกฤษเหมือนเคย และเพราะไม่อยากให้เธออยู่บ้านคนเดียว — เมษาจึงกลับมาอยู่บ้านโชติธาดาอีกครั้งแล
วันเวลาผ่านไปจนเมษาและคีตะเข้าสู่ปิดเทอมอีกครั้ง และครั้งนี้พ่อและแม่ของเมษาลางานกลับมาเพื่อใช้เวลาอยู่กับลูกสาวที่เมืองไทย ทำให้เมษาต้องกลับไปอยู่ที่บ้านของเธอชั่วคราวแต่เมื่อท่านทูตดิลกรู้ว่าคีตะกับเมษาคบกัน ท่านทูตก็เปลี่ยนบุคลิกกลายเป็นคุณพ่อโหมดหวงลูกสาวทันทีวันนี้...คีตะมีภารกิจ เขาตั้งใจมาขออนุญาตท่านทูตดิลกเพื่อพาเมษาไปเที่ยวด้วยกัน สำหรับ ‘เดทแรก’ ของทั้งคู่ในฐานะ ‘แฟน’บรรยากาศบ้าน ‘ไทระ’ ในย่านเงียบสงบของกรุงเทพฯ ร่มรื่นด้วยเงาต้นไม้ใหญ่และกลิ่นชาเขียวจากสวนญี่ปุ่นที่อยู่ข้างตัวบ้าน แสงแดดอ่อนของช่วงบ่ายส่องลอดใบไผ่รำไร — สะท้อนลงบนกระดานหมากรุกไม้สักกลางโต๊ะหินทรงสี่เหลี่ยม“นั่งสิ”เสียงทุ้มทรงอำนาจแต่สุภาพของท่านทูตดิลกดังขึ้นชัดเจน ขณะเขานั่งไขว่ห้างใต้ร่มกันสาดผ้าเช็ดหน้าสีขาวพับอย่างเรียบกริบวางไว้บนตัก ข้างตัวคือชาร้อนและคุกกี้จากลอนดอนที่ลูกสาวสุดรักสุดหวงจัดเตรียมไว้ให้คีตะในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมเรียบกับกางเกงสแล็กยืนอยู่ตรงหน้า — ข้างกายเขาคือเมษาที่ทำท่าจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกสายตาปรามเบา ๆ จากคุณแม่ปาริฉัตร ที่ยืนพิงประตูกอดอกราวกับกำลังดูซีรีส์เกาหลีด้วยสีหน้าสนุก







