สองพี่น้องเดินตามพราวตะวันที่มีพนักงานปลดรูปลงมาแล้วเดินนำไปอีกที เพื่อเอาภาพที่ถูกเลือกนั้นไปห่อด้วย Plastic wrap โดยรอบทั้งกรอบรูป รองมุมทั้งสี่ด้วยโฟมกันกระแทก ตามด้วยใส่กล่องกระดาษเป็นขั้นตอนสุดท้าย
คิณภัทรยื่นกุญแจรถให้น้องชาย
“เจตพาพนักงานไปที่รถสิ เอาแฟนไปด้วยเลยไหนๆก็ได้เวลาพักเที่ยงพอดี พี่จะจ่ายค่าภาพวาดนี่ก่อน สตาร์ทรถรอได้เลย”
พอพวกเขาทั้งหมดไปกันแล้ว เขาจัดการรูดบัตรดำชำระค่าภาพวาดเสร็จ ตามด้วยคุยกับผู้จัดการแกลลอรี่ในอีกเรื่องหนึ่ง
“เธอคนที่ขายภาพนี้ ผมต้องการโดเนทให้เธอเป็นการส่วนตัวนอกเหนือจากเปอร์เซ็นที่เธอจะได้”
“เอ่อ คุณสามารถติดต่อเธอโดยตรงก็ได้นะคะ ถ้ากรณีให้ด้วยความเสน่หา”
“ผมต้องการให้เธอมีกำลังใจในการทำงาน แต่อยากให้ในนามลูกค้าไม่ใช่จากส่วนตัว”
“โอเคค่ะ คุณสามารถระบุรายละเอียดได้เลยค่ะ”
“ผมจะโดเนทให้เธอเท่ากับราคาภาพในนามบริษัท Innova พวกใบเสร็จใบกำกับภาษีทั้งหมดขอให้ส่งไปที่ฝ่ายบัญชีของบริษัทนะครับ”
ทำเอาผู้จัดการตาโตที่เขาให้เยอะขนาดนี้สำหรับนักศึกษาฝึกงาน แม้ราคาภาพวาดจะแค่ 12,000 บาทเท่านั้น
“ขอถามได้มั้ยคะว่าอะไรที่ทำให้คุณอยากให้เธอมากขนาดนี้?”
“แพชชั่นที่เธอมีกับงาน”
ทางด้านเจตนิพัทธ์และพราวตะวันที่นั่งพูดคุยกันพลางๆระหว่างรอเจ้าของรถกลับมาเรื่องที่เดิมพันกันว่าภาพวาดจะขายให้คู่รักชาวต่างชาติได้หรือไม่ในตอนแรก
“เสียดายเนอะ เจตเลยแพ้พนันเลย”
“ไม่ได้คิดเรื่องจะเสียเงินเลี้ยงข้าวหรอก แค่อยากให้พราวดีใจถ้าขายพวกเขาได้ เห็นยืนคุยขาแข็งตั้งนาน”
เขาลูบศีรษะแฟนสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“แต่สุดท้ายก็ขายได้นะ พี่คิณซื้อไง”
“เขาซื้อเพราะเห็นความตั้งใจของพราวน่ะสิ ปกติไม่เห็นจะสนใจศิลปะอะไรหรอก สนใจแต่สรีระสาวๆ”
พูดจบก็ทำหน้าเชิงขำด้วยกันสองคน จนกระทั่งประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก คิณภัทรเข้ามานั่งในรถพร้อมกับทำหน้างง แล้วเอี้ยวตัวมามองทั้งสองคนที่เบาะหลัง
“นี่พี่เป็นคนขับรถไปแล้วเหรอเนี่ย?”
“เอาน่า ไม่อยากให้พราวนั่งเหงาคนเดียวด้านหลัง”
“นี่ฉันทั้งซื้อภาพวาด เป็นคนขับรถแถมต้องเลี้ยงข้าวด้วย แกไม่คิดจะเซอร์วิสพี่บ้างหรือไง?”
“เอ้า ก็อยากตามมาด้วย บอกแล้วว่าอยากกินข้าวกับแฟนสองคน”
พราวตะวันถือโอกาสกล่าวขอบคุณคิณภัทรขึ้นมาทันทีเพราะเกิดเกรงใจขึ้นมาหลังจากได้ยินการสนทนาของทั้งคู่
“ขอบคุณพี่คิณมากนะคะ วันนี้พราวได้ขายภาพนี้เป็นภาพแรกตั้งแต่ฝึกงานมาหลายวัน”
เขามองเธอจากกระจกมองหลัง สายตาที่สบกันในนั้นทำให้เธอต้องหลบตาเขาก่อน
“การเห็นคุณทำงานอย่างตั้งใจและดูมีความสุขกับสิ่งที่ทำ มัน Made my day สำหรับผมนะ”
“สำหรับเจต จะแฮปปี้มากกว่าถ้าพราวไม่ต้องยืนจนขาแข็งแบบนั้น ถ้าเราแต่งงานกัน เจตจะให้พราวทำในสิ่งที่อยากทำโดยไม่ต้องมาคิดเรื่องทำงานเพื่อหาเงิน”
คิณภัทรผิวปากแซวน้องชายทันที
“สายเปย์นี่หว่า ป๋าเจต”
“แน่นอนสิ ผู้ชายประเภทไหนกันที่จะเอาลูกสาวเค้ามาดูแลแล้วให้มาลำบาก”
“งั้นฉันถามแกอย่างนึง ถ้าแกไม่ได้เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยจะทำไง?”
“ถ้าเจตเกิดมาไม่รวยแต่มาเจอพราว ก็คงต้องขยันมากหน่อย แต่ถ้าพราวเจอคนที่มีพร้อมทุกอย่างมากกว่า เจตต้องยอมให้พราวไป เจ็บหน่อยแต่ก็ดีกว่าเห็นคนรักมาลำบากด้วยกัน”
พราวตะวันยิ้มกริ่มที่แฟนหนุ่มช่างพูดเอาใจ เลยหยิกแก้มไปทีหนึ่ง เขาถือโอกาสจับมือเธอมาจูบเบาๆ คิณภัทรที่เห็นทั้งคู่หยอกกันในกระจกมองหลังถึงกับกลอกตาบน
“ถ้าพราวเจอเจตแต่ว่าไม่ได้รวย เราก็แค่ใช้ชีวิตธรรมดาๆก็ได้ แค่อยู่กับคนที่ขยัน ทำให้สบายใจ แล้วก็หล่อ คือจบ”
คิณภัทรถอนหายใจเฮือก จนทั้งสองคนที่เบาะหลังขำ
“คนโสดอย่างฉันคงตายตอนนี้แหละ”
“มีเยอะจนจะตายคาอกล่ะไม่ว่านะ”
“เอ้ย..บ้ารึไง ฉันดูเป็นคนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“อย่าให้เจตพูดเลย พริตตี้ตบกันเพราะพี่ก็มีมาแล้ว”
“เรื่องมันนานมาแล้ว แค่เข้าใจผิดกันไม่เกี่ยวกับฉัน แกมั่วละเจต”
เขากลัวพราวตะวันมองว่าเขาเป็นเสือผู้หญิงจึงรีบพูดปัดน้องชายไปแบบนั้น
ไปถึงร้านอาหารอิตาเลียน พราวตะวันกินอาหารแทบนับคำได้ สองพี่น้องต่างพากันตักอาหารให้เธอกันใหญ่ เอาอกเอาใจจนโต๊ะข้างๆพากันแอบมองที่สาวสวยมากับหนุ่มหล่อสองคนอย่างน่าอิจฉา
“พราว คุณพ่อว่ายังไงบ้างเรื่องฝึกงานที่ไทย เห็นทุกปิดเทอมต้องไปเยี่ยม รอบนี้ไม่ได้ไป”
“บอกพ่อแล้วท่านเข้าใจ แต่น้องสาวบ่นอยู่ว่าอยากเจอ”
“คุณมีน้องสาวเหรอพราว?”
คิณภัทรถามขึ้นมาด้วยความสนใจ แต่เจอน้องชายเบรกหัวทิ่ม
“อายุแปดขวบน่ะ“
พราวตะวันถึงกับมองทั้งคู่สลับไปมา แต่คนพี่ก็ทำท่าไม่สนใจที่น้องชายบอกแบบนั้น จึงคุยต่อปกติ
“น้องสาวอยู่ฝรั่งเศสเหรอ?”
“ค่ะ เป็นน้องสาวคนละแม่ แต่ภรรยาใหม่กับน้องสาวดีกับพราวมาก ก็ดีใจนะคะที่คุณพ่อมีคนที่อยู่เคียงข้าง”
“แล้วคุณแม่ของพราวล่ะ”
“คุณแม่กลัวเรื่องพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงที่เห็นตามข่าวน่ะค่ะ ท่านไม่ไว้ใจใคร จริงๆถ้าแม่จะเปิดใจ พราวยินดีไปอยู่ข้างนอกนะ”
“ผมคิดว่าท่านคงรักเดียวใจเดียวมากกว่า การลืมใครสักคนที่รักมากๆ มันยากสำหรับใครหลายๆคน”
“พี่คิณเข้าใจเหรอคะ?”
เธอถามหน้าซื่อตามที่คิดแต่กลับทำเจตนิพัทธ์สำลักขึ้นมา ส่วนพี่ชายของเขาก็หน้าแดงก่ำ
ไอ้น้องบ้านี่…คนกำลังจะอินสักหน่อย..
พราวตะวันได้เห็นข้อความนั้นในตอนเช้าที่ตื่นนอน เธอยิ้มให้กับตัวเองที่เขาละเอียดอ่อนถึงกับอ่านกวีฝรั่งเศสและส่งประโยคที่น่ารักแต่ลึกซึ้งมาให้ สติ! พราวตะวัน…แม่บ้านได้มาทำงานแต่เช้าและเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคนด้วย oeuf à la coque เสิร์ฟกับขนมปังปิ้งที่เรียกว่าบาแก็ตสำหรับจุ่มน้ำ Les oeufs brouillés ไข่คน หรือออมเล็ต ตามด้วยเครื่องดื่มคือ เกรปฟรุต“ขอโทษนะคะ ฉันอยากได้ครัวซองต์ มีมั้ยคะ?”“ได้ค่ะ คุณแพรีส”“Merci beaucoup” (ขอบคุณมากนะคะ)พราวตะวันกล่าวและยิ้มให้แม่บ้านอย่างน่ารัก ก่อนจะหันไปถามเจตว่าต้องการอะไรเพิ่มหรือไม่ ซึ่งเขาโอเคกับทุกอย่างบนโต๊ะอยู่แล้วจึงปฏิเสธ “พี่แพรีส วันนี้จะไปเที่ยวที่ไหนคะ?”โคลเอ้ถามพี่สาวตาแป๋ว พร้อมกับตักซีเรียลผลไม้กินไปด้วย“ว่าจะไปลูฟวร์ แล้วก็แวะกินอะไรอร่อยๆแถวนั้น พ่อว่าร้านไหนดีคะ?”“ใกล้ลูฟวร์อย่างนั้นเหรอ.. Le Procope เป็นไง? มีไวน์ดีๆ กับสเต็กเนื้อ tenderloin อย่างดี พ่อแนะนำให้ลูกพาแฟนไปกินให้ได้นะ เอารถพ่อไปใช้สิ นั่งแค่สองคนใช้คันเล็กน่าจะได้”“ค่ะพ่อ”คิณภัทรที่ตื่นเช้ามาเห็นว่ามีข้อความเสียงจากพราวตะวัน เขาดีใจมากที่เธอยอมเรียกว่าพี่เหมื
คิณภัทรเฝ้าถามตัวเองทุกวันว่าเขาหงุดหงิดอะไรที่ไม่ได้เห็นหน้าพราวตะวัน จนทำให้เขาต้องแอบออกไปดื่มคนเดียวในตอนดึกๆเป็นระยะเวลาสักพักใหญ่มาแล้วตั้งแต่เริ่มคบกับเกรซเธอทำของใส่ฉันหรือเปล่านะ..ทำไมฉันเลิกคิดถึงเธอไม่เคยได้เลย..13.00 สนามบินสุวรรณภูมิ วันศุกร์ครอบครัวจิรวราพงศ์ได้มาส่งเจตนิพัทธ์เพื่อขึ้นเครื่อง ในขณะที่พราวตะวันลากกระเป๋าใบโตมาคนเดียว เธอดูสดใส มัดผมหางม้าที่หนาและยาวเป็นลอนใหญ่ เสื้อแขนกุดปิดคอรัดรูปสีดำแบบบอดี้สูท กางเกงยีนรัดรูปและบู้ทส้นสูงสีดำยาวถึงหัวเข่า ตุ้มหูเงินวงใหญ่และแต่งหน้าสวยมากแบบที่เจตนิพัทธ์ที่คบมาสองปีกว่ายังอ้าปากค้าง“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่..พี่คิณ เอ้อ เจต ตื่นเต้นมั้ยน่ะดูทำหน้า”สายตาเธอที่มองน้องชายของเขา ทำให้คิณภัทรได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในใจเงียบๆ ทุกคนพูดคุยสนุกสนานกัน มีเพียงเขาที่เหมือนส่วนเกิน“แม่โอนเงินให้เจตแล้วนะ อย่าลืมเอาคืนให้หนูพราวล่ะ ค่าตั๋วน่ะ แล้วแม่ให้เงินหนูพราวไว้ติดตัวด้วย ให้เผื่ออยากได้อะไรก็ซื้อเลยนะ“”แม่ให้พราวต่างหากแสนห้ากับค่าตั๋วของเราสองคน เจตโอนเลยตอนนี้แหละ”เธอตกใจที่คุณเจตสุภาให้ขนาดนั้น ทั้งที่เจอกันไม่กี่คร
เกรซพยายามชวนแฟนหนุ่มไปเที่ยวต่างจังหวัดเพื่อผ่อนคลายจากการที่เขาทำงานหนักตลอดจนแทบไม่มีเวลาให้เธอ ตั้งแต่เขากลับมาขอคบได้สองเดือน ไม่เคยมีช่วงเวลาส่วนตัวด้วยกันสักครั้ง ทั้งที่ในอดีตเขาไม่เคยปฏิเสธการที่จะได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเธอเลย“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวก็ไปเที่ยวฝรั่งเศสแล้วนี่”“จริงสินะ แล้ว…ต้องพักแยกห้องมั้ย? ไปกี่วัน?”“เดี๋ยวผมจัดการเอง ขอดูอะไรๆก่อน”“วันนี้ไปกินข้าวเย็นที่ไหนดี?”“ผมยังทำงานไม่เสร็จน่ะ อาจไม่ได้เจอกันนะ”“เกรซซื้อของกินไปให้คิณที่บริษัทเอาไหม?”“ไม่ต้องหรอก ผมใช้สมาธิ ยังไม่หิวน่ะ”เธอจึงไปรับลูกชายวัยสี่ขวบที่บ้านของสามีเก่าเพื่อไปกินข้าวเย็นแทนด้วยอารมณ์สุดเซ็งเจตนิพัทธ์พาพราวตะวันไปกินข้าวเย็นที่ห้างและไปเดินซื้อของกระจุ๊กกระจิ๊กที่สาวๆชอบกันก่อนจะกลับบ้านในตอนสามทุ่ม เขารู้สึกว่าช่วงนี้แฟนสาวกลับมาน่ารักเหมือนเดิม อาจจะเพราะพี่ชายของเขาเปิดตัวแฟนไปแล้ว ไม่มีใครมาคอยก่อกวนให้เธอต้องไขว้เขวอีก พราวตะวันยืนคุยกับแฟนหนุ่มที่หน้าบ้านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเขย่งตัวหอมแก้มไปหนึ่งที ยืนโบกมือให้เขาจนลับตา พอปิดประตูบ้านแล้ว เธอก้าวเข้าบ้านและกำลังขึ้นบันได
“สุดท้ายก็ต้องรบกวนแม่สินะ คิณดูแลส่วนนี้เองครับแม่”“อ้อ ดีๆ คิณจัดการให้น้องทีนะ”พราวตะวันรีบบีบขาแฟนหนุ่มให้ปฏิเสธไป ซึ่งเขาเห็นด้วย“ไม่ต้องพี่คิณ เจตกับพราวเราจัดการเองได้ พ่อครับ ถ้าเจตเรียนจบอาจไปลองหาประสบการณ์ทำงานที่อื่นสักพักแล้วจะกลับมาช่วยที่บ้านนะ“พ่อทำหน้าว่าไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ก่อนจะท้วง “ทำไมล่ะ ก็เห็นผู้จัดการกองทุนบอกอยู่ว่าหัวไว ตั้งใจทำงาน นี่พ่อมองตำแหน่งไว้ให้แล้วที่ Synergy Finance”“เจตไม่อยากอยู่ใต้เงาคนอื่น อยากไปลองลำบากดูบ้าง”พ่อกับแม่มองหน้ากันทันที พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าลูกชายคนเล็กคิดแบบนี้ แม้กระทั่งคิณภัทรเองก็ไม่คิดว่าน้องชายจะกล้าพูดออกมา “ใครยุแยงให้แกคิดแบบนี้ล่ะ? เดือดร้อนแม่อีก”เจตนิพัทธ์พยายามหายใจเข้าออกยาวๆ เขาสะกดความหัวร้อนของตัวเองแบบสุดๆที่มาพาดพิงแฟนสาว“ขอตัวไปส่งพราวกลับบ้านก่อนนะครับ”“ขอบคุณสำหรับมื้อนี้นะคะ”เขาพยักหน้าให้พราวตะวันลุกขึ้นและจับมือเธอออกไปจากห้องทานอาหารทันที “คิณ! ใช้คำพูดแบบนี้กับคนอื่นมันเกินไปนะ น้องมีความคิดของตัวเอง ไปพูดว่าใครยุแยงได้ยังไง? ลูกหมายถึงหนูพราวเหรอ? ต่อไปเค้าคงไม่มาที่นี่แล้วเพราะลูกปากร้ายก
พราวตะวันไปเอาผ้าชุบน้ำเพื่อมาเช็ดหน้าให้คิณภัทรที่แดงไปจนถึงหูและลำคอ เขาเอนหลังมองผู้หญิงที่เขารักไม่วางตา เธอปลดกระดุมเสื้อเขาออกจนเห็นอกกว้าง แล้วก็รู้สึกเขินเองทั้งจากสายตาและร่างกายที่กำยำนั้น“คุณไปอยู่ที่ไหนมา..ทำไมผมถึงไม่เจอคุณก่อน..”เขาจับมือเธอที่กำลังประคบผ้าบนคอออกไป แล้วกอดกดเธอลงบนโซฟา พราวตะวันละล่ำละลักพูดกระซิบ“พี่คิณ..แม่อยู่ข้างบน”“แม่บอกให้พราวตัดสินใจไม่ใช่เหรอ? แต่งงานกับพี่แล้วเราไม่ต้องอยู่ที่นี่ก็ได้ พี่จะกลับไทยมาเคลียร์งานแค่นั้น พราวอยากทำอะไร พี่จะให้ทุกอย่าง”อกกว้างที่กดทับหน้าอกเธออยู่ หัวใจเขาเต้นแรงสะเทือนมาถึงเธอที่นอนอยู่ใต้ตัวเขา ไม่มีคำพูดอะไรนอกจากคนทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่มลึกซึ้ง หนีไปกับเขาเหรอ…พระเจ้า…เกิดอะไรขึ้นกับหัวใจฉัน..เธอใช้มือดันอกเขา พยายามเบือนหน้าหนีไปซุกซอกคอเขาแทน ลมหายใจร้อนๆที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าชวนให้ร้อนรุ่ม “พี่ไม่อยู่สองเดือนกว่า กลับมาเจอพราวไล่เป็นการตอบแทนความคิดถึง”“เราไม่เคยคบกันนะคะ”คิณภัทรไม่ยอมรับสิ่งที่เธอพูด เขาซุกไซ้คอ บีบจับหน้าอกเธอด้วยตัณหาราคะที่ครอบงำเพราะน้ำเมา“ถ้ามันเลือกยากนัก ก็คบทั้งพี่ทั้
คิณภัทรยื่นถุงให้น้องชายแล้วสั่งเช็กบิล“ฉันซื้อให้เธอเพราะอยากให้มีกระเป๋าสวยๆเหมือนคนอื่นแต่เธอไม่รับ แกเอาให้เธอทีนะ เอาล่ะ..ฉันจะกลับบ้านไปนอนพักสักหน่อย”เขาลุกจากโต๊ะและบีบไหล่เจตนิพัทธ์ก่อนจะเดินออกจากร้านไป“พี่คิณ..”เขาวิ่งตามพี่ชายมาที่รถยนต์อย่างกระหืดกระหอบ แต่ไม่ทันจะพูดอะไร คิณภัทรก็ชิงพูดเสียก่อน“แกไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ติดต่อเธออีก”พราวตะวันเรียกแท็กซี่ให้มารับกลับบ้าน สักพักเจตนิพัทธ์ก็ขับรถมาจอดหน้าบ้านและเข้ามาเคาะประตู“เอ่อ เข้ามาก่อนสิ”“พี่คิณซื้อกระเป๋าให้พราวนะ รับไว้เถอะ แล้วเขาจะไม่มายุ่งกับพราวอีก”แม้พราวตะวันจะไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่แววตาเธอคือคำตอบทุกอย่างที่เจตนิพัทธ์ซึ่งคบหากับเธอมาสองปีครึ่ง รู้ดีที่สุดฉันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง..ที่ต้องทนเห็นคนที่ฉันรักเจ็บปวดเพราะมีใจให้พี่ชายของฉันเอง…“ดีแล้วล่ะ”เธอพูดได้แค่นั้น พลางชวนเขาทานข้าวเย็นเพราะไหนๆก็มาที่บ้านแล้ว พราวตะวันเดินเข้าห้องครัวเพื่อจะหุงข้าวรอแม่ที่กำลังกลับบ้าน เจตนิพัทธ์ได้เข้ามากอดเธอจากข้างหลัง มีแต่ความเงียบระหว่างคนทั้งคู่“เรียนจบเจตจะหางานทำที่อื่น จะย้ายออกมาอยู่คนเดียว อาจจะลำบากหน่อย