ภายในห้องหับอันคับแคบที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนของหลิงเวยมาตลอดหลายปีหลังจากที่มารดาตายจาก
บัดนี้กำลังมีบ่าวรับใช้เดินเข้าเดินออกกันอย่างคึกคักผิดกับเมื่อก่อนยิ่งนัก
เมื่อยามก่อนนั้นเรือนของนางมีบ่าวรับใช้เข้ามาก็จริงแต่ในเมื่อนางมิใช่บุตรีคนโปรดและไม่มีมารดาเป็นที่พึ่งพิง บ่าวรับใช้พวกนี้ก็เข้ามาแค่ให้รู้ว่าเข้ามาแล้ว และทำความสะอาดอะไรก็แค่ทำแบบขอไปทีทั้งยังมิได้มาทุกวัน
แต่ทว่ายามนี้หลังจากที่นางตัดสินใจหนีออกไปเมื่อวานและถูกนำตัวกลับมา นางก็มีบ่าวไพร่อยู่เต็มเรือน บ้างทำความสะอาด บ้างจัดเตรียมเครื่องหอม บางคนจัดเตรียมอาภรณ์ และหลายคนกำลังดูแลหลิงเวยอย่างประคบประหงมผิดจากกาลก่อนชัดเจน
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยอยู่ในสายตาของใครอยู่ไปแบบไร้ตัวตนกระทั่งออกนอกเรือนยังไม่มีใครรู้ว่านางหายไป
แต่ทว่าในยามนี้แม้แต่ลุกขึ้นยืนยังมีคนมองแม้กระทั่งยามนอนยังคงมีบ่าวไพร่ตามติดมานอนคุมนางที่เตียง แล้วอย่างนี้นางจะหาโอกาสหนีอีกได้เยี่ยงไรกัน
ชีวิตของหนึ่งในภรรยาจากหลายๆ นางจากบุรุษหนึ่งเดียวเฉกเช่นมารดา นางคงหนีไม่พ้นใช่หรือไม่ บุตรที่นางให้กำเนิดจะต้องเกิดมามีโชคชะตาเดียวกันหรืออย่างไร
หลิงเวยได้แต่นั่งหลับตาเก็บข่มอารมณ์หลากหลายเป็นเพียงตุ๊กตาให้บรรดาบ่าวไพร่พากันจับตรึงประโคมเครื่องหอมบำรุงผิวพรรณอย่างยอมจำนน
พระราชวังแคว้นเฉินอันวิจิตรการตาและใหญ่โตโออ่าประดับประดาสิ่งมงคลสีเหลืองทองอร่ามสุดลูกหูลูกตารอบทิศทาง
ภายในศาลากลางอุทยานสวยงามที่ร่มรื่นท่ามกลางแมกไม้ของตำหนักเซียนกงแห่งอ๋องเฉินนามว่าหยางหลง
บุรุษหนุ่มใบหน้าคมคายรูปร่างสูงใหญ่สวมใส่อาภรณ์สีกรมท่าตามแบบฉบับชายชาติทหารทระนงองอาจกำลังนั่งจิบชาอยู่กับบุรุษหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มีใบหน้ารูปงามผิวพรรณขาวเนียนสวมใส่อาภรณ์สีขาวนวลตามแบบฉบับชายสูงศักดิ์ผู้เป็นเจ้าของตำหนักแห่งนี้
ทั้งสองมีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างลิบลับทั้งยังนั่งจิบชาอยู่ด้วยกันในอารมณ์ที่ห่างกันคนละชั้นอย่างสิ้นเชิง
“ข้าดีใจยิ่งนัก ที่แม่ทัพผู้เกรียงไกรและไม่เคยสนใจผูกสมัครรักใคร่กับสตรีนางใดกำลังจะได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที” บุรุษชุดขาวกล่าวจบก็ยกชาขึ้นตรงหน้าประหนึ่งว่ากำลังนั่งร่ำสุราอยู่กระนั้น เขายกยิ้มมุมปากด้วยมาดมากเสน่ห์พร้อมสายตาคมทอประกายล้อเลียน
“ฮึ! กระหม่อมพลาดเอง” ฟงชินหยางเจ้าของอาภรณ์สีเข้มที่นั่งจิบชาอยู่กับบุรุษชุดขาวส่งเสียงกดต่ำออกมาด้วยแววตาเหี้ยมเกรียมไม่สร่างซา
เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะถูกวางยาปลุกกำหนัดให้ร่วมรักกับสตรีนางนั้น กระทั่งมีคนจากตระกูลของนางเข้ามายืนรอเป็นพยานกดดันอย่างเข้มข้น
ช่างแยบยลร้ายกาจเสียจริง!
เฉินหยางหลงยังคงยกยิ้มชอบใจพลางเอ่ย “ตระกูลหลิงเป็นตระกูลใหญ่ ถึงแม้ว่าใต้เท้าหลิงจะเจ้าเล่ห์ไปสักหน่อย แต่ได้บุตรีของเขามาครอบครองนั่นนับว่าเป็นการดี ข้ายังไม่เห็นว่ามีอะไรเสียหาย”
ฟงชินหยางได้ฟังจึงหรี่ตามองบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าแล้วเอ่ยคำตามที่ใจคิด “กระหม่อมถูกลอบวางยา บุตรีของเขาช่างหน้าไม่อาย” เขาเริ่มเดือดดาลเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้
สตรีอะไรกัน! ช่างทำตัวได้น่ารังเกียจยิ่งนัก
บุรุษโครงหน้างดงามเจ้าของตำหนักเซียนกงยังคงเอ่ยเย้า “หากเจ้ายังมิได้กลืนกินนางเข้าไปเต็มคำอย่างนั้นก็อาจจะพอปฏิเสธได้แต่นี่เจ้า...เฮ่อ!”
กล่าวจบก็ทำท่าถอนหายใจทั้งๆ ที่นัยน์ยังคงทอประกายสนุกสนาน
สหายของเขาผู้นี้ชนะศึกในสนามรบมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่กลับมาแพ้ทางสตรีตัวเล็กๆ เสียได้ มิรู้ว่าจะเห็นใจหรือขำขันดี
“ท่านกำลังเห็นใจกันใช่หรือไม่” ฟงชินหยางเสียงเข้มขึ้น ใบหน้าคมคายไม่มีแววล้อเล่นด้วยแต่อย่างใดเมื่อมองเห็นใบหน้าของสหายบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังขบขันตน น่าอายยิ่งนัก!
“เอาน่าๆ อาหยาง การมีเมียมิใช่เรื่องใหญ่ ข้าเองก็มีเมียอยู่หลายคน แต่ละค่ำคืนช่างสำราญ ไม่ดีตรงไหน ตัวข้าเองกำลังจะได้บุตรีงดงามของใต้เท้าหลิงที่ข้าแอบหลงรักมานอนกอดให้ชื่นใจ” เฉินหยางหลงเริ่มปลอบใจสหายอย่างจริงจังเมื่อเห็นสีหน้าดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ ของอีกฝ่าย
ฟงชินหยางได้แต่เงียบงันมิได้เอ่ยต่อคำใด
ชายหนุ่มเริ่มตกอยู่ในภวังค์แห่งตนโดยไม่สนใจสหายตรงหน้าอีกต่อไป
เขามิได้ผูกสมัครรักใคร่นาง สตรีนางนี้เป็นใครเขาไม่เคยได้รู้จัก อารมณ์ยามนั้นที่กระทำไปเขามิได้พิศมองใบหน้าของนางด้วยซ้ำ แล้วจะอยู่ร่วมเรือนกันอย่างไร หากแต่เรื่องที่เขาถูกวางยาปลุกกำหนัดจนต้องแต่งงานกันนั้นล่วงรู้ไปถึงท่านพ่อกับท่านแม่ พวกท่านคงจะผิดหวังในตัวของเขาอยู่ไม่น้อย
เฉินหยางหลงนั่งมองใบหน้าคมเข้มของสหายอย่างเข้าใจเป็นอย่างดีจึงเริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างรู้ใจ
“ข้าจะไม่บอกใคร อาหยาง เรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตบุรุษอย่างฟงชินหยาง ข้าจะไม่บอกใคร”
บุรุษร่างใหญ่ในอาภรร์สีเข้มได้ยินพลันมองสบตากับสหายของตน
เจ้าของตำหนักเซียนกงยังคงเอ่ย “เรื่องนี้จะมีเพียงเราสองที่รับรู้...นะ...” กล่าวจบก็ทำท่ากรุ่มกริ่มประหนึ่งชอบตัดแขนเสื้อกับสหายตรงหน้า
ฟงชินหยางได้แต่ถอนหายใจ นี่เขาเป็นสหายกับอ๋องผู้นี้ได้อย่างไร เขายังงง!
ภายในโรงเตี๊ยมอี้ฉางแห่งเดิมที่ไม่มีเงาร่างของฟงชินหยางเข้าพักอีกต่อไป
เถ้าแก่เนี๊ยนามเหมยลี่กำลังวิ่งไปกรีดร้องไปตามมุมต่างๆ ของสวนสวยหลังโรงเตี๊ยมแห่งนี้
“ใจเย็นก่อน ข้ามิได้รู้เรื่องอันใด” เหมยลี่วิ่งไปบ่นไปหลบมือเรียวสวยของอวี้ถิงที่ไล่บีบคอตนอยู่
“คืนเงินมา” อวี้ถิงเอ่ยเสียงกดต่ำพลางแบมือไปด้วยไล่บีบคอเถ้าแก่เนี๊ยไปด้วย
“ข้านำยาปลุกกำหนัดเอาไปไว้ให้ตามคำสั่งของเจ้าและนำพาพยานมาชี้เป้ารับผิดชอบเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้า มิใช่ธุระของข้านะ เช่นนั้นข้าไม่จำเป็นต้องคืนเงินแก่เจ้า” เหมยลี่เอ่ยคำอย่างไม่ยินยอมใดๆ เงินเข้ามือมาแล้วย่อมไม่มีทางได้ออกจากมือไป นางไม่ยอม!
“สตรีใต้ร่างของท่านแม่ทัพควรเป็นข้า แล้วสตรีนางนั้นเป็นใครกัน” อวี้ถิงเริ่มคำรามถามคำถามเดิมๆ อย่างต่อเนื่อง
“นางเป็นถึงบุตรีของเสนาบดีหลิง เจ้าก็จงทำใจเสีย” เหมยลี่ทำใจดีสู้เสือกล่าวเตือนสติอวี้ถิง
“ไม่มีทาง!” หญิงสาวเจ้าของฝ่ามือที่กำลังจะเอื้อมมาบีบคอเหมยลี่เอ่ยเสียงกดต่ำดวงตาวาวแดง “ข้าไม่มีทางปล่อยสตรีนางนั้นให้ลอยนวล ข้าจะตามราวีมิให้นางได้เป็นสุข”
เหมยลี่วิ่งหลบมุมปากก็พร่ำถาม “เจ้าจะไปเป็นอนุให้ท่านแม่ทัพหรือไร”
อวี้ถิงสะบัดเสียงกลับ “ไม่มีทาง ข้าจะต้องได้แม่ทัพฟงเป็นสามีของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
“แต่พวกเขาจะแต่งงานกันในเร็ววัน” เถ้าแก้เนี๊ยกล่าวออกมาเมื่อร่างงามของตนหลบอยู่หลังพุ่มไม้ได้สำเร็จ
“แต่งได้ก็หย่าได้” อวี้ถิงยังคงดุดันในน้ำเสียงพลางยืน ทะมึงทึงอยู่เหนือพุ่มไม้นั้น “หากไม่หย่าข้าจะฆ่านางทิ้งเสีย”
เหมยลี่ถึงกับชะงักจ้องมองอวี้ถิงนิ่งงัน
ดียิ่งนักที่ท่านแม่ทัพมิได้สตรีนางนี้เป็นเมีย เฮ่อ!
ยามทิวากาลภายในพระราชวังเป่ยฉีตามทางเดินทอดยาวระหว่างทางไปท้องพระโรงกับตำหนักในอันเป็นที่ประทับของฮองเฮาหรือก็คือแม่สามีของเฉินลี่หลินในยามเช้าฉีเล่อยังคงต้องเข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรงร่วมกับฮ่องเต้และขุนนางอันเป็นกิจวัตรปกติ ในขณะเฉินลี่หลินยังคงทำตัวไม่ปกติเนื่องจากนางจำต้องทำตัวเป็นองค์หญิงผู้งดงามอ่อนหวานฝึกฝนความเป็นสตรีชั้นสูงในห้องหออย่างต่อเนื่องด้วยปณิธานอันแรงกล้าที่จะทำตนให้คู่ควรกับสามีเช่นฉีเล่อ ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะยังคงนึกหวาดหวั่นอยู่บ้างและในวันนี้เฉินลี่หลินต้องเข้าวังมาทำความเคารพแม่สามีซึ่งก็คือฮองเฮาแห่งแคว้นเป่ยฉี โดยมีหลิงเวยและฟงจินหมิงคอยติดตามดูแลไม่ห่างกัน พวกเขายังคงปลอมตัวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ข้างกายให้เฉินลี่หลินโดยที่ฟงชินหยางจำต้องรออยู่ในวังไท่เล่อกับลูกชายทั้งสอง เนื่องจากว่าฟงชินหยางมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นจนเกินไป อาจจะทำให้ขุนนางในวังเป่ยฉีจดจำฟงชินหยางที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฉินได้และอาจจะทำให้เกิดข้อพิพาทว่าเหตุใดท่านแม่ทัพแคว้นเฉินยังคงปักหลักอยู่ในแคว้นเป่ยฉี"ลี่หลิน..." น้ำเสียงอ่อนหวานของหลิงเวยเอ่ยกระซิบกระซาบขึ้นมาทางเบื้องหลังให้ได้
ฟงจินหมิงเดินมาเรื่อยๆ ห่างจากประตูวังอันใหญ่โตที่เชื่อมต่อกับวังหลังอันเป็นสถานที่ของพวกสตรีชั้นสูงเขาเดินก้มหน้ามองพื้นอย่างสงบเสงี่ยมแนบเนียนเยี่ยงบ่าวชายธรรมดา หาได้ผิดแผกไปจากบ่าวไพร่ในวังแห่งนี้ไม่ชายหนุ่มเลือกมุมอับลับตาผู้คน แล้วล้วงเอาจดหมายที่ได้รับมาก่อนเข้าวังขึ้นมาอ่าน จดหมายฉบับนี้ส่งตรงมาจากท่านแม่ที่หัวเมืองหลักของแคว้นเฉิน ใจความในจดหมายบอกกล่าวถึงสตรีนามว่าจินเยว่ชิงธิดาสาวสูงศักดิ์หนึ่งเดียวของชินอ๋องเฉินจิ้นเหอจินเยว่ชิงเป็นสตรีที่แอบชอบพี่ชายของเขาจนหูมืดตามัวหลงผิด นางแอบส่งคนไปที่บ้านฟงหมายล่อลวงพี่สะใภ้ออกจากจวนเพื่อให้พี่สะใภ้แยกจากพี่ชายของเขา หวังจะทำลายความรักของคนทั้งสอง เขาจึงล่อลวงนางให้ถอดใจจากพี่ชายอีกต่อหนึ่งซึ่งมันก็ได้ผล จินเยว่ชิงหันมาสนใจเขาภายในเวลาเพียงสองวันแน่นอนว่าเขาย่อมให้โอกาสนาง แต่ทว่าสตรีนามว่าจินเยว่ชิงช่างเป็นสตรีที่มีนิสัยโลเลเปลี่ยนใจได้ง่ายดายยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแลเครื่องประดับฟงจินหมิงยังคงอ่านจดหมายในมืออยู่นิ่งๆ สายตาคู่คมกวาดมองจนทั่วบนกระดาษจดหมาย เรียวคิ้วคมเข้มเพียงยกขึ้นน้อยๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากบางเบาเมื่อได
ค่ำคืนราตรีกาลอันยาวนานแห่งวสันต์ ภายในตำหนักหย่งหลวนของวังบูรพาเรือนร่างสูงโปร่งงามสง่าของรัชทายาทฉีหย่งเหอกำลังยืนอยู่กลางห้องนอนอันรโหฐานของตำหนักหวั่นอัน ใบหน้าหล่อเหลาที่มีสายตาเฉียบคมดำขลับกำลังทอดมองมาทางสตรีงดงามอ่อนหวานที่นั่งยอบกายอย่างอ่อนน้อมนามว่าลู่ชิงเขามองนางอย่างพึงพอใจลู่ชิงย่อกายทำความเคารพบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างนอบน้อมนุ่มนวลแต่ยั่วยวนในทีนางหลุบตาลงต่ำเห็นเพียงแพขนตางามงอนทาบทับอยู่บนพวงแก้มนวลเนียนสีแดงระเรื่อ ริมฝีปากคล้ายเม้มคล้ายเผยอคล้ายเชิญชวนแลล่อลวงใจหนุ่มให้ติดบ่วงรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นงดงามภายในอาภรณ์สีหวานบางเบาล้อเล่นกับแสงเทียนที่โชกโชนเกิดเป็นเงาโค้งเว้าสะท้อนวูบไหวให้ความรู้สึกวาบหวามไม่เบา “มือของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฉีหย่งเหอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแหบพร่าแลดูอ่อนโยน“รัชทายาททรงทราบหรือเพคะ” ลู่ชิงถึงกับเงยหน้าขึ้นมองบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้า นัยน์ตาคล้ายมีหยดน้ำฉ่ำวาวกำลังสั่นไหวบางเบายากเก็บอาการตื่นเต้นตระหนกระคนยินดีฉีหย่งเหอยกยิ้มมุมปากมากเสน่ห์เปล่งวาจาน่าฟัง“มีอะไรบ้างที่ข้าไม่รู้ ลี่เหมยมักจะโหดร้ายกับทุกคนเสมอ ไม่เว้นแม้แต่สหายอย
“ข้าจำได้ว่าลู่ชิงเป็นสหายของลี่เหมย”เส้นเสียงทุ้มต่ำของฉีเล่อเอ่ยขึ้นมาทางฉีหย่งเหอที่นั่งใกล้กันตรงข้างลานการแสดงคัดเลือกสาวงามในค่ำคืนนี้“อืม...” ฉีหย่งเหอครางรับในลำคอด้วยใบหน้าเฉยชาแต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มบางเบาแสดงถึงความพึงพอใจไม่ปิดบังฉีเล่อจิบชาเล็กน้อยก่อนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะตรงหน้าด้วยมาดสูงศักดิ์ตามวิสัยพลางเอ่ยคำเรียบเรื่อยกับพี่ชายของตน “ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าสตรีหลังวังบูรพาของพี่ใหญ่เป็นเพียงเพื่อสร้างฐานอำนาจหรือความชอบเฉกเช่นบุรุษเพศหรือเพราะอะไรกันแน่”ครานี้ฉีหย่งเหอถึงกับละสายตาจากสตรีงดงามอ่อนหวานกลางลานแสดงมามองน้องชายของตนพลางเอ่ย“เจ้าน่าจะรู้ใจข้าดีกว่าใคร ข้าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”“...”ฉีเล่อเริ่มหรี่ตามองพี่ชายของตน“ฐานอำนาจย่อมสำคัญไม่แพ้ความสำราญยามค่ำคืน” ฉีหย่งเหอกล่าวคำเรียบเรื่อยผินใบหน้าเบนสายตากลับไปจ้องมองสตรีงดงามกลางลานแสดงต่อ“ข้าเพียงสงสัยว่าพี่ใหญ่กำลังเลือกสหายของคู่หมั้นมานอนเคียงข้างเพื่อสิ่งใดกันแน่” ฉีเล่อเอ่ยถามตามตรงพลางปรายสายตามองไปทางหลี่ลี่เหมยผู้เป็นหัวข้อสนทนาฉีหย่งเหอมิได้ตอบคำ เขาย่อมทำตามใจตนเองหาใช่ต้องตามใจใครไม่เมื่อ
เมื่อสตรีปากมากจากไปด้วยลำตัวที่อ่อนปวกเปียกไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ความเงียบสงบจึงกลับมาอีกครั้งสตรีนามว่าลู่ชิงยังคงดึงความสนใจจากทุกคนตรงกลางลานแสดงเฉินลี่หลินยิ่งกะพริบตาเพื่อเพ่งมองนางกำลังนั่งอยู่กับท่านหญิงหลี่ลี่เหมยที่เป็นพระคู่หมั้นขององค์รัชทายาทฉีหย่งเหอรัชทายาทฉีหย่งเหอกับสตรีนามว่าลู่ชิงกำลังส่งสายตาบอกรักกันอย่างโจ่งแจ้งในขณะที่คู่หมั้นของเขานั่งอยู่ข้างๆ นางเฉินลี่หลินจึงละสายตาจากฉีหย่งเหอและลู่ชิงมามองหลี่ลี่เหมยอย่างใคร่รู้นางกำลังตระหนักได้เป็นอย่างดีถึงการที่จะต้องเป็นสตรีของบุรุษสูงศักดิ์ในรั้วในวังทั้งยังเป็นแคว้นที่ให้ความสำคัญกับอำนาจเส้นสายขั้วสกุล นางเองก็กำลังเป็นหนึ่งในนั้น นางเป็นชายาขององค์ชายรองที่จำต้องมีอำนาจเป็นฐานสำคัญ เช่นนั้นแล้วนางต้องทำตัวอย่างไร คงต้องศึกษาเอาไว้“โง่งม!”“...!?”เฉินลี่หลินยิ่งกะพริบตาถี่ๆ เมื่อหลี่ลี่เหมยเอ่ยคำนั้นออกมาลอยๆหลี่ลี่เหมยเอ่ยคำพร้อมปรายสายตาร้ายกาจมาทางเฉินลี่หลินแบบตรงๆ“เจ้าว่าข้าหรือ?” เฉินลี่หลินคล้ายแน่ใจคล้ายไม่แน่ใจกับประโยคที่ได้ยินจึงถามกลับแบบตามตรงตามวิสัย“ยามนี้เรานั่งอยู่ด้วยกันแค่สองคน เจ้าคิดว่าข้
อึดใจต่อมาเสียงแนะนำตัวของสาวงามนางหนึ่งกลางลานแสดงพลันดัง“หม่อมฉัน ลู่ชิง เพคะ”น้ำเสียงแว่วหวานสำเนียงหวานล้ำอย่างนั้นดึงสายตาของหลี่ลี่เหมยที่กำลังสาดความร้ายกาจเข้าใส่เฉินลี่หลินให้หันไปมองตามเสียงในทันทีเฉินลี่หลินจึงมองตามโดยสัญชาตญาณ นางเห็นเป็นสตรีงดงามท่าทางอ่อนหวานมากๆ กำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานกว้างที่ใช้แสดงความสามารถตรงพิณกู่เจิงคันงามสตรีอ่อนหวานนางนี้มีใบหน้าที่งดงามมากนัก ร่างระหงของนางแลดูอรชรน่าทะนุถนอม แต่หากสังเกตดีๆ มือของนางที่ควรจะเผยเรียวนิ้วงามเสลากลับถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าดิบสีขาวเกือบทุกนิ้ว เห็นได้ชัดว่ามือของนางบาดเจ็บไม่น้อย นางกำลังจะแสดงความสามารถด้วยการดีดผิณกู่เจิงที่นับว่าบรรเลงได้ยากมากนักทั้งๆ ที่มือของนางบาดเจ็บ สตรีนามว่าลู่ชิงทำความเคารพบุคลสำคัญรายรอบด้วยความนอบน้อมงดงามก่อนจะยืนสงบนิ่งอยู่กลางลานกว้างสำหรับการแสดงนางยืนด้วยมาดงามสง่า เผยฝ่ามือและเรียวนิ้วที่บาดเจ็บแบบไม่มีปิดบังนางยืนอยู่ตรงพิณกู่เจิงด้วยมาดทรงพลังอย่างมั่นใจ สายตาฉ่ำหวานของนางมองไปทางรัชทายาทฉีหย่งเหอก่อนจะคลี่ยิ้มตรึงใจส่งให้เขาในขณะที่องค์รัชทายาทฉีหย่งเหอผู้หล่อ