สามวันผ่านมาช่างรวดเร็วประหนึ่งว่าเป็นเวลาแค่หนึ่งเค่อ
ค่ำคืนอันเป็นมงคลที่ประดับประดาไปด้วยม่านมุ้งสีแดงจนเต็มพื้นที่ เจ้าสาวในชุดสีแดงมงคลกำลังนั่งรอเจ้าบ่าวอยู่ภายในห้องหอสีแดงสดอย่างเดียวดายเงียบเชียบภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกับอาภรณ์
นางกำลังนั่งอยู่ด้วยอาการตื่นกลัวอยู่ไม่น้อยกับการสมรสที่รวดเร็วรวบรัดนี้
นางถูกบ่าวไพร่คุมตัวเอาไว้มิให้คลาดสายตามาตลอดสามวันกระทั่งวันส่งตัวขึ้นเกี้ยวแล้วเดินทางรอนแรมมานั่งอย่างเดียวดายอยู่ตรงนี้
เจ้าบ่าวของนางก็ช่างน่ากลัวยิ่งนัก นางเป็นของเขาด้วยวิธีผิดๆ และเขายังต้องรับผิดชอบนางด้วยความจำใจ
มองดูสีหน้าของเขาเมื่อวันก่อนนั่นประไร เขาจะฆ่านางหรือไม่นางยังมิอาจคาดเดา
หลิงเวยนั่งกำมือแน่นอยู่ตรงโต๊ะที่คลุมด้วยผ้าสีแดงกลางห้องแห่งเรือนหอ นางนั่งอยู่ด้วยเนื้อตัวสั่นเทากระทั่งโต๊ะตรงหน้ายังรับแรงสะเทือนนั้นดังกึกๆ
นางผิดเองที่แอบหนีออกจากจวนในวันนั้นแล้วแอบเข้าไปนอนที่ห้องพักนั่นจนกระทั่งแผนการขยับขยายตระกูลของบิดาได้สำเร็จลุล่วงส่งผลให้บุรุษผู้นี้ต้องรับเคราะห์ไปกับนาง
หญิงสาวนั่งครุ่นคิดด้วยใจที่เศร้าหมองในโชคชะตาที่แสนจะอับแสงของตน นางตั้งใจหลบหนีออกจากจวนมาเพื่อที่จะหนีหน้าบิดาหวังให้บิดานำพาบุตรีคนอื่นที่เต็มใจมากกว่านางไปแทนที่ นางสังเกตเห็นพี่น้องของนางสองคนที่แสดงออกชัดเจนว่าชมชอบท่านอ๋องนั่น นางเห็นพี่น้องพวกนั้นมองนางอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ นางจึงตัดสินใจหลบหนีออกมา
แต่ทว่านางหนีเสือมาเจอหมาป่าโดยแท้ นางต้องเสียบริสุทธิ์ให้กับบุรุษที่ไม่รู้จักและไม่ได้รักเพราะความโง่เขลาของตนเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วนางจะกล่าวโทษใครได้
หลิงเวยนั่งหลับตาพยายามข่มจิตใจมิให้ดำดิ่งสู่ห้วงหลุมลึกไปมากกว่านี้ มารดาของนางสั่งเสียให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อวันข้างหน้าที่สดใสมากกว่าที่เป็น แต่นางยังมิเคยได้เห็นว่าจะมีวันใดที่จะสว่างไสวดังคำมารดา มันจะมีแต่ดำมืดลงเรื่อยๆ
มันช่าวมืดมิดน่ากลัวยิ่งนัก!
ในขณะที่เจ้าสาวกำลังนั่งข่มจิตใจอยู่ตรงโต๊ะกลางห้องเสียงฝีเท้าก้าวหนักๆ ของเจ้าบ่าวพลันดังใกล้เข้ามาที่หน้าประตูห้องหอแล้วตามด้วยเสียงเปิดประตูอย่างแรงและปิดลงเสียงดังอย่างไม่ไยดี
หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจต้องลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงนั้น อาการตื่นกลัวและสั่นเทายิ่งเพิ่มมากขึ้น นางถึงกับต้องลุกขึ้นพลางแอบเปิดผ้าคลุมหน้าเล็กน้อยแล้วรีบเดินหนีเข้าไปหลบตรงฉากกั้นด้านในห้องหออย่างเร็ว
ฟงชินหยางมองเห็นกระต่ายตื่นตูมเกิดขึ้นกับเจ้าสาวของเขาอย่างนั้น เขาถึงกับหางคิ้วกระตุก นางควรจะนั่งยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงรอเขาอยู่มิใช่หรือไร ไยกระโดดหนีไปเยี่ยงนั้น
“จะหนีไปไหน มานั่งนี่เดี๋ยวนี้” น้ำเสียงกดต่ำทรงพลังของบุรุษในอาภรณ์เจ้าบ่าวเอ่ยขึ้นไปทางเจ้าสาวที่ยืนหลบอยู่หลังฉากกั้น
หลิงเวยได้ยินพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่ก่อนจะหลับตาข่มกลั้นความกลัวที่กำลังพุ่งขึ้นมาจับขั้วหัวใจ
“มานี่!” ฟงชินหยางส่งเสียงคำรามดังมากกว่าเดิม
หลิงเวยรีบปล่อยมืออันสั่นเทาจากฉากกั้นเดินออกมาอย่างยอมจำนนด้วยลำตัวเกร็งแข็งทื่อ ภาพของมารดาที่เคยถูกบิดาสั่งบ่าวไพร่เฆี่ยนตีพลันปรากฏอยู่ในสามัญสำนึก นางไม่อยากโดนแบบนั้น
เมื่อเจ้าสาวเดินออกมาจนถึงโต๊ะกลางห้องหอภายในเวลานานเกินพอดีเจ้าบ่าวจึงส่งเสียงเหี้ยมเกรียมอีกครั้ง
“นั่ง!”
เจ้าสาวสะดุ้งอีกเฮือกใหญ่จนอาภรณ์สีแดงหวามไหวอย่างน่าขัน นางค่อยๆ หย่อนกายลงนั่งด้วยดวงตาที่เริ่มเต็มรื้นไปด้วยม่านน้ำใสที่ไหลบ่าเป็นทางยาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดง
อย่าร้องไห้ หลิงเวย อย่าร้องไห้ เข้มแข็งไว้
หญิงสาวปรามตนเองในใจพร้อมกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลเพิ่มออกมา
แต่ทว่า...ช่างยากเย็น
ทันใดนั้นผ้าคลุมหน้าพลันถูกเปิดออกคล้ายกับกระชากดึงออกไปด้วยฝ่ามือใหญ่หนาของเจ้าบ่าวตรงหน้า
หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจเนื้อตัวสั่นเทาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าบ่าวของตนอย่างต้องการต่อกรเพื่อมิให้เขาข่มนางจนจมดินมากไปกว่านี้
แต่ทว่า...นางคงคิดผิดไป
หญิงสาวรีบหลุบตาลงทันใดเมื่อมองเห็นใบหน้าคมเข้มสายตากราดเกรี้ยวเกินมนุษย์อย่างนั้นของคนตรงหน้า
เขาน่ากลัวเกินไป...
ยามทิวากาลภายในพระราชวังเป่ยฉีตามทางเดินทอดยาวระหว่างทางไปท้องพระโรงกับตำหนักในอันเป็นที่ประทับของฮองเฮาหรือก็คือแม่สามีของเฉินลี่หลินในยามเช้าฉีเล่อยังคงต้องเข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรงร่วมกับฮ่องเต้และขุนนางอันเป็นกิจวัตรปกติ ในขณะเฉินลี่หลินยังคงทำตัวไม่ปกติเนื่องจากนางจำต้องทำตัวเป็นองค์หญิงผู้งดงามอ่อนหวานฝึกฝนความเป็นสตรีชั้นสูงในห้องหออย่างต่อเนื่องด้วยปณิธานอันแรงกล้าที่จะทำตนให้คู่ควรกับสามีเช่นฉีเล่อ ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะยังคงนึกหวาดหวั่นอยู่บ้างและในวันนี้เฉินลี่หลินต้องเข้าวังมาทำความเคารพแม่สามีซึ่งก็คือฮองเฮาแห่งแคว้นเป่ยฉี โดยมีหลิงเวยและฟงจินหมิงคอยติดตามดูแลไม่ห่างกัน พวกเขายังคงปลอมตัวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ข้างกายให้เฉินลี่หลินโดยที่ฟงชินหยางจำต้องรออยู่ในวังไท่เล่อกับลูกชายทั้งสอง เนื่องจากว่าฟงชินหยางมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นจนเกินไป อาจจะทำให้ขุนนางในวังเป่ยฉีจดจำฟงชินหยางที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฉินได้และอาจจะทำให้เกิดข้อพิพาทว่าเหตุใดท่านแม่ทัพแคว้นเฉินยังคงปักหลักอยู่ในแคว้นเป่ยฉี"ลี่หลิน..." น้ำเสียงอ่อนหวานของหลิงเวยเอ่ยกระซิบกระซาบขึ้นมาทางเบื้องหลังให้ได้
ฟงจินหมิงเดินมาเรื่อยๆ ห่างจากประตูวังอันใหญ่โตที่เชื่อมต่อกับวังหลังอันเป็นสถานที่ของพวกสตรีชั้นสูงเขาเดินก้มหน้ามองพื้นอย่างสงบเสงี่ยมแนบเนียนเยี่ยงบ่าวชายธรรมดา หาได้ผิดแผกไปจากบ่าวไพร่ในวังแห่งนี้ไม่ชายหนุ่มเลือกมุมอับลับตาผู้คน แล้วล้วงเอาจดหมายที่ได้รับมาก่อนเข้าวังขึ้นมาอ่าน จดหมายฉบับนี้ส่งตรงมาจากท่านแม่ที่หัวเมืองหลักของแคว้นเฉิน ใจความในจดหมายบอกกล่าวถึงสตรีนามว่าจินเยว่ชิงธิดาสาวสูงศักดิ์หนึ่งเดียวของชินอ๋องเฉินจิ้นเหอจินเยว่ชิงเป็นสตรีที่แอบชอบพี่ชายของเขาจนหูมืดตามัวหลงผิด นางแอบส่งคนไปที่บ้านฟงหมายล่อลวงพี่สะใภ้ออกจากจวนเพื่อให้พี่สะใภ้แยกจากพี่ชายของเขา หวังจะทำลายความรักของคนทั้งสอง เขาจึงล่อลวงนางให้ถอดใจจากพี่ชายอีกต่อหนึ่งซึ่งมันก็ได้ผล จินเยว่ชิงหันมาสนใจเขาภายในเวลาเพียงสองวันแน่นอนว่าเขาย่อมให้โอกาสนาง แต่ทว่าสตรีนามว่าจินเยว่ชิงช่างเป็นสตรีที่มีนิสัยโลเลเปลี่ยนใจได้ง่ายดายยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแลเครื่องประดับฟงจินหมิงยังคงอ่านจดหมายในมืออยู่นิ่งๆ สายตาคู่คมกวาดมองจนทั่วบนกระดาษจดหมาย เรียวคิ้วคมเข้มเพียงยกขึ้นน้อยๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากบางเบาเมื่อได
ค่ำคืนราตรีกาลอันยาวนานแห่งวสันต์ ภายในตำหนักหย่งหลวนของวังบูรพาเรือนร่างสูงโปร่งงามสง่าของรัชทายาทฉีหย่งเหอกำลังยืนอยู่กลางห้องนอนอันรโหฐานของตำหนักหวั่นอัน ใบหน้าหล่อเหลาที่มีสายตาเฉียบคมดำขลับกำลังทอดมองมาทางสตรีงดงามอ่อนหวานที่นั่งยอบกายอย่างอ่อนน้อมนามว่าลู่ชิงเขามองนางอย่างพึงพอใจลู่ชิงย่อกายทำความเคารพบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างนอบน้อมนุ่มนวลแต่ยั่วยวนในทีนางหลุบตาลงต่ำเห็นเพียงแพขนตางามงอนทาบทับอยู่บนพวงแก้มนวลเนียนสีแดงระเรื่อ ริมฝีปากคล้ายเม้มคล้ายเผยอคล้ายเชิญชวนแลล่อลวงใจหนุ่มให้ติดบ่วงรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นงดงามภายในอาภรณ์สีหวานบางเบาล้อเล่นกับแสงเทียนที่โชกโชนเกิดเป็นเงาโค้งเว้าสะท้อนวูบไหวให้ความรู้สึกวาบหวามไม่เบา “มือของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฉีหย่งเหอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแหบพร่าแลดูอ่อนโยน“รัชทายาททรงทราบหรือเพคะ” ลู่ชิงถึงกับเงยหน้าขึ้นมองบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้า นัยน์ตาคล้ายมีหยดน้ำฉ่ำวาวกำลังสั่นไหวบางเบายากเก็บอาการตื่นเต้นตระหนกระคนยินดีฉีหย่งเหอยกยิ้มมุมปากมากเสน่ห์เปล่งวาจาน่าฟัง“มีอะไรบ้างที่ข้าไม่รู้ ลี่เหมยมักจะโหดร้ายกับทุกคนเสมอ ไม่เว้นแม้แต่สหายอย
“ข้าจำได้ว่าลู่ชิงเป็นสหายของลี่เหมย”เส้นเสียงทุ้มต่ำของฉีเล่อเอ่ยขึ้นมาทางฉีหย่งเหอที่นั่งใกล้กันตรงข้างลานการแสดงคัดเลือกสาวงามในค่ำคืนนี้“อืม...” ฉีหย่งเหอครางรับในลำคอด้วยใบหน้าเฉยชาแต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มบางเบาแสดงถึงความพึงพอใจไม่ปิดบังฉีเล่อจิบชาเล็กน้อยก่อนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะตรงหน้าด้วยมาดสูงศักดิ์ตามวิสัยพลางเอ่ยคำเรียบเรื่อยกับพี่ชายของตน “ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าสตรีหลังวังบูรพาของพี่ใหญ่เป็นเพียงเพื่อสร้างฐานอำนาจหรือความชอบเฉกเช่นบุรุษเพศหรือเพราะอะไรกันแน่”ครานี้ฉีหย่งเหอถึงกับละสายตาจากสตรีงดงามอ่อนหวานกลางลานแสดงมามองน้องชายของตนพลางเอ่ย“เจ้าน่าจะรู้ใจข้าดีกว่าใคร ข้าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”“...”ฉีเล่อเริ่มหรี่ตามองพี่ชายของตน“ฐานอำนาจย่อมสำคัญไม่แพ้ความสำราญยามค่ำคืน” ฉีหย่งเหอกล่าวคำเรียบเรื่อยผินใบหน้าเบนสายตากลับไปจ้องมองสตรีงดงามกลางลานแสดงต่อ“ข้าเพียงสงสัยว่าพี่ใหญ่กำลังเลือกสหายของคู่หมั้นมานอนเคียงข้างเพื่อสิ่งใดกันแน่” ฉีเล่อเอ่ยถามตามตรงพลางปรายสายตามองไปทางหลี่ลี่เหมยผู้เป็นหัวข้อสนทนาฉีหย่งเหอมิได้ตอบคำ เขาย่อมทำตามใจตนเองหาใช่ต้องตามใจใครไม่เมื่อ
เมื่อสตรีปากมากจากไปด้วยลำตัวที่อ่อนปวกเปียกไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ความเงียบสงบจึงกลับมาอีกครั้งสตรีนามว่าลู่ชิงยังคงดึงความสนใจจากทุกคนตรงกลางลานแสดงเฉินลี่หลินยิ่งกะพริบตาเพื่อเพ่งมองนางกำลังนั่งอยู่กับท่านหญิงหลี่ลี่เหมยที่เป็นพระคู่หมั้นขององค์รัชทายาทฉีหย่งเหอรัชทายาทฉีหย่งเหอกับสตรีนามว่าลู่ชิงกำลังส่งสายตาบอกรักกันอย่างโจ่งแจ้งในขณะที่คู่หมั้นของเขานั่งอยู่ข้างๆ นางเฉินลี่หลินจึงละสายตาจากฉีหย่งเหอและลู่ชิงมามองหลี่ลี่เหมยอย่างใคร่รู้นางกำลังตระหนักได้เป็นอย่างดีถึงการที่จะต้องเป็นสตรีของบุรุษสูงศักดิ์ในรั้วในวังทั้งยังเป็นแคว้นที่ให้ความสำคัญกับอำนาจเส้นสายขั้วสกุล นางเองก็กำลังเป็นหนึ่งในนั้น นางเป็นชายาขององค์ชายรองที่จำต้องมีอำนาจเป็นฐานสำคัญ เช่นนั้นแล้วนางต้องทำตัวอย่างไร คงต้องศึกษาเอาไว้“โง่งม!”“...!?”เฉินลี่หลินยิ่งกะพริบตาถี่ๆ เมื่อหลี่ลี่เหมยเอ่ยคำนั้นออกมาลอยๆหลี่ลี่เหมยเอ่ยคำพร้อมปรายสายตาร้ายกาจมาทางเฉินลี่หลินแบบตรงๆ“เจ้าว่าข้าหรือ?” เฉินลี่หลินคล้ายแน่ใจคล้ายไม่แน่ใจกับประโยคที่ได้ยินจึงถามกลับแบบตามตรงตามวิสัย“ยามนี้เรานั่งอยู่ด้วยกันแค่สองคน เจ้าคิดว่าข้
อึดใจต่อมาเสียงแนะนำตัวของสาวงามนางหนึ่งกลางลานแสดงพลันดัง“หม่อมฉัน ลู่ชิง เพคะ”น้ำเสียงแว่วหวานสำเนียงหวานล้ำอย่างนั้นดึงสายตาของหลี่ลี่เหมยที่กำลังสาดความร้ายกาจเข้าใส่เฉินลี่หลินให้หันไปมองตามเสียงในทันทีเฉินลี่หลินจึงมองตามโดยสัญชาตญาณ นางเห็นเป็นสตรีงดงามท่าทางอ่อนหวานมากๆ กำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานกว้างที่ใช้แสดงความสามารถตรงพิณกู่เจิงคันงามสตรีอ่อนหวานนางนี้มีใบหน้าที่งดงามมากนัก ร่างระหงของนางแลดูอรชรน่าทะนุถนอม แต่หากสังเกตดีๆ มือของนางที่ควรจะเผยเรียวนิ้วงามเสลากลับถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าดิบสีขาวเกือบทุกนิ้ว เห็นได้ชัดว่ามือของนางบาดเจ็บไม่น้อย นางกำลังจะแสดงความสามารถด้วยการดีดผิณกู่เจิงที่นับว่าบรรเลงได้ยากมากนักทั้งๆ ที่มือของนางบาดเจ็บ สตรีนามว่าลู่ชิงทำความเคารพบุคลสำคัญรายรอบด้วยความนอบน้อมงดงามก่อนจะยืนสงบนิ่งอยู่กลางลานกว้างสำหรับการแสดงนางยืนด้วยมาดงามสง่า เผยฝ่ามือและเรียวนิ้วที่บาดเจ็บแบบไม่มีปิดบังนางยืนอยู่ตรงพิณกู่เจิงด้วยมาดทรงพลังอย่างมั่นใจ สายตาฉ่ำหวานของนางมองไปทางรัชทายาทฉีหย่งเหอก่อนจะคลี่ยิ้มตรึงใจส่งให้เขาในขณะที่องค์รัชทายาทฉีหย่งเหอผู้หล่อ