เสียงเกือกม้าวิ่งกระทบพื้นและเสียงล้อของรถม้าที่กำลังขับเคลื่อนเหยียบดินเหยียบหินเป็นจังหวะโยกคลอน
ทำเอาหลิงเวยเริ่มมีสติขึ้นมาอีกคราพร้อมอาการปวดหัวและเจ็บหน่วงรุนแรงช่วงกลางลำตัว นางเป็นลมหมดสติไปหลายรอบหลังจากที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนให้ห้องพักนั้นแล้วเห็นตนเองอยู่ในสภาพไม่คาดฝัน
“อา...เจ็บ” หลิงเวยถึงกับหลุดอุทานออกมาพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลเป็นทางยาวสายใหม่ทับถมคราบน้ำตาหลายสายก่อนหน้านี้ นางร้องไห้มาหลายครั้งแล้วตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมา
“ฟื้นแล้วหรือ” จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำทรงพลังพลันดังอยู่ข้างๆ กายกันพาเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มได้สติเด่นชัด
หลิงเวยยิ่งกะพริบตาปริบๆ เมื่อรับรู้ได้แล้วว่านางกำลังนั่งอยู่ภายในรถม้าคันหนึ่งและข้างกายกันก็เป็นบุรุษลึกลับร่างหนาที่นางเจอบนเตียงนอนนั่น
“ท่าน ท่าน ไยถึง...ฮึก...” หญิงสาวเอ่ยคำได้แค่นั้นพลันรู้สึกว่ามีก้อนปริศนาลูกใหญ่ขวางตันอยู่กลางลำคอ
นางมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งมาด้วยกันภายในรถม้าอย่างไม่เข้าใจอันใด เขากำลังนั่งกอดอกอยู่ข้างๆ นางและมองมาทางนางด้วยอาการโกรธกรุ่น สันกรามคร้ามแกร่งของเขาขบเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูน สายตาเรียวคมของเขาก็เต็มไปด้วยไอสังหาร ใบหน้าของเขาถึงจะหล่อเหลาคมคายแต่รูปร่างใหญ่โตและแววตาขึงเครียดอย่างนั้นทำให้ความหล่อเหลาคล้ายกับเทพเซียนของเขาเสมือนถูกปีศาจกลืนกินไปจนหมดสิ้น
หลิงเวยยิ่งงงงันแต่กระนั้นนางก็แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักกับชายผู้นี้และไม่เคยมีความแค้นอันใดต่อกัน ไยเขาถึงต้องทำกับนางอย่างนั้น ทำไมกัน!?
หญิงสาวเริ่มร้องไห้หนักๆ ออกมา น้ำตาของนางไหลเป็นทางยาวไม่หยุดราวกับเขื่อนกั้นทะเลสาบแตกทลาย
“ท่าน...ท่านขืนใจข้า” นางกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจ็บปวดรวดร้าวที่สุดในชีวิต ทำเอาชายหนุ่มที่นั่งมาด้วยกันต้องคำรามออกมาเสียงดัง
“หยุดเล่นงิ้วเสียที!”
ประโยคอย่างนั้น น้ำเสียงอย่างนั้น ทำเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจเฮือกใหญ่ ดวงตาพองโตเพ่งมองเขาผ่านน้ำตาชุ่มฉ่ำคล้ายม่านน้ำตก
อันใด!? ต้องเป็นนางมิใช่หรือไรที่ต้องโกรธจนอยากจะฆ่าเขา
“ท่าน...ท่าน...” หลิงเวยเริ่มละล่ำละลักทั้งน้ำตาหมายเรียกร้องความสูญเสียของตนที่เขาพรากไป แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะว่ากล่าวต่อคำสิ่งใด เสียงเกือกม้ากระทบพื้นพลันเงียบลงรถม้าพลันจอดนิ่ง
บุรุษร่างหนาใบหน้าหล่อเหลาสายตาดุดันเหี้ยมเกรียมก็ลุกออกไปจากรถม้าโดยไม่หันหน้ามามองหลิงเวยแต่อย่างใด
เขาลุกออกจากรถม้าไปด้วยอาการฉุนเฉียวไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมองนาง หรือรอรับร่างบางของนางให้ลงจากรถม้าแต่อย่างใด
หญิงสาวพยายามเรียกสติของตนอีกครู่หนึ่งจึงเริ่มขยับกายตามเขาออกมาจากรถม้าหวังจะด่าทอเขาสักหลายๆ คำ
แต่ทว่าความเจ็บแปลบช่วงกลางลำตัวพลันเล่นงาน นางถึงกับต้องนั่งลงเอื้อมฝ่ามือขึ้นกุมหน้าท้องอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเรียวสวยต้องขมวดพันกันมุ่นสายตาคู่สวยพลันผงะเมื่อมองเห็นเบื้องหน้าของนางเป็นจวนของตระกูลหลิง
“คุณหนู โปรดลงมาเถิด” และตามด้วยเสียงของบ่าวชายผู้หนึ่งเอ่ยมาทางหลิงเวย
หลิงเวยลงจากรถม้าด้วยตนเองอย่างยากลำบากเพราะอาการเจ็บร้าวไปหมดตั้งแต่ศีรษะลงมา นางพยายามประคองเรือนร่างของตนเดินตามหลังของบ่าวชายผู้หนึ่งมาตามทางเมื่อบ่าวชายผู้นี้บอกกล่าวให้นางเดินตามเขามายังห้องโถงกลางเรือนพร้อมกับมีบ่าวชายอีกสามคนเดินตามหลังนางเพื่อคุมตัวนาง
นี่มันเรื่องบ้าอันใด ไยนางถึงอับโชคปานนี้ นี่คงเป็นแผนการของบิดาใช่หรือไม่ เขาโกรธที่นางแอบหนีออกจากจวนไปใช่หรือไม่ ไยต้องทำกันถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมายังทรมานกันไม่พอหรืออย่างไร ไยต้องใช้วิธีการที่ชั่วช้าสามานย์ปานนี้กัน เขายังเป็นคนอยู่หรือไม่
หลิงเวยพร่ำบ่นอยู่ในใจด้วยความชอกช้ำที่สุดในชีวิตน้ำตาแห่งความเสียใจพลันเริ่มเอ่อคลอหน่วยของดวงตาจนล้นออกมาเป็นทางยาว นางเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามายังเรือนรับรองอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตาอันอับแสง
ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำของผู้หนึ่งพลันดัง
“ข้าย่อมรับผิดชอบ ชายชาติทหารกล้าทำย่อมกล้ารับ”
เสียงนั้นเป็นเสียงของบุรุษที่นั่งมาในรถม้าคันเดียวกันกับหลิงเวยนั่นเอง หญิงสาวจำน้ำเสียงนี้ได้จึงเงยหน้าขึ้นมองหลังจากที่ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าห้องมาแล้วนั่งลงกับพื้นกลางห้องเพื่อรอรับโชคชะตาอันอับเฉา นางเห็นเป็นเขาจริงๆ บุรุษร่างใหญ่ผู้นั้น
“เช่นนั้นย่อมดี” เสียงของบุรุษสูงวัยอีกเสียงหนึ่งพลันดังตาม เสียงนั้นเป็นเสียงของประมุขแห่งจวนตระกูลหลิงนั่นเอง หลิงเวยจึงผินหน้าไปมองบิดาของตนตาปริบๆ ผ่านม่านน้ำตา
“ข้าจะจัดงานสมรสให้หลังจากนี้อีกสามเดือนตามความเหมาะสม” เสียงเข้มข้นของบุรุษร่างใหญ่คนเดิมกล่าวออกมาอีกครั้ง หลิงเวยก็ผินใบหน้าเบนสายตากลับมามองเขาอีกครา
“กำหนดมงคลสมรสนั้น ข้าต้องการให้เกิดขึ้นภายในสามวัน นางเป็นบุตรีของข้าที่มิใช่สตรีข้างถนน ในเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกถึงเพียงนี้ ท่านจักรอให้อับอายแก่วงตระกูลยิ่งกว่าเดิมไปไย” หลิงอี้ถังเสนาบดีกรมคลังเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอมด้วยสีหน้าจริงจังเอาเรื่องทั้งยังวางตัวเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าไปทางบุรุษร่างใหญ่ในอาภรณ์สีน้ำตาลเข้ม หลิงเวยจึงพลิกสายตากลับมายังฝั่งบิดา
ฟงชินหยางกัดฟันกรอดตอบกลับเสียงกดต่ำ “ย่อมได้” จบคำก็สะบัดชายผ้าเสียงดังเดินออกจากห้องโถงของเรือนรับรองไป
หลิงเวยหันหน้ามองบุรุษผู้ที่นั่งรถม้ามากับนางอย่างอึ้งๆ และยังคงมองตามเขาอยู่อย่างนั้น
นางมองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่งามสง่าของเขาอย่างเงียบงัน นางเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ของเขาเดินจากไปโดยที่เขาไม่หันมามองนางอีกเลย
หญิงสาวขมวดคิ้วพันกันแน่นมากยิ่งขึ้น บิดาของนางคงเป็นเจ้าของแผนการจับเสือให้กระต่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิงเวยผินใบหน้าหันกลับมามองบิดาของตนอีกคราอย่างมิรู้ได้ว่าจะต้องกล่าวคำอันใดกับบิดาเช่นนี้ที่ไม่สมควรเป็นบิดาของนางเลยสักเสี้ยว
หลิงอี้ถังมองธิดาตัวเล็กของตนด้วยรอยยิ้มละไมประดับใบหน้าหล่อเหลารูปงามที่คมคร้ามตามอายุ บุตรีตัวดีของเขาบังอาจคิดหนีงานแต่งที่เขาหมายจะยกระดับอำนาจตระกูล
ไม่คิดไม่ฝันว่านางจะแอบรักอยู่กับท่านแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรผู้ถือกำลังพลมากมายอย่างฟงชินหยาง ถึงขั้นแอบไปนอนพรอดรักกันในโรงเตี๊ยม ถึงแม้ว่าฟงชินหยางจะมีท่าทางคล้ายกับโกรธขึงประหนึ่งว่าถูกวางยากระนั้น
แต่หากว่าเขาถูกวางยาจริงก็นับว่าบุตรีของเขาช่างฉลาดล้ำยิ่งแล้ว ฮึฮึ!
หลิงอี้ถังคิดอย่างปลื้มปริ่มดีใจยิ่งอยู่ภายในใจหาได้เสียใจอันใดไม่พลางเอ่ยเสียงเรียบไปทางสาวใช้รายรอบ
“เวยเอ๋อร์คงเหนื่อยมากแล้ว พวกเจ้าตามไปดูแลปรนนิบัตินางให้ดีอย่าให้คลาดสายตา” ประมุขตระกูลหลิงเน้นย้ำตรงปลายประโยคด้วยเกรงว่าบุตรีผู้นี้เกิดเปลี่ยนใจหนีตามบุรุษไปประเดี๋ยวเขาจะมิได้อันใดตอบแทนให้สาสมกับค่าน้ำแกงที่เลี้ยงดูมา
“เจ้าค่ะ” เสียงบ่าวรับใช้ตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะเดินเข้ามากึ่งจับกึ่งประคองหลิงเวยที่ยังคงหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจคล้ายกับสิ่งไร้ชีวิตให้เดินออกไปจนลับตา
ยามทิวากาลภายในพระราชวังเป่ยฉีตามทางเดินทอดยาวระหว่างทางไปท้องพระโรงกับตำหนักในอันเป็นที่ประทับของฮองเฮาหรือก็คือแม่สามีของเฉินลี่หลินในยามเช้าฉีเล่อยังคงต้องเข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรงร่วมกับฮ่องเต้และขุนนางอันเป็นกิจวัตรปกติ ในขณะเฉินลี่หลินยังคงทำตัวไม่ปกติเนื่องจากนางจำต้องทำตัวเป็นองค์หญิงผู้งดงามอ่อนหวานฝึกฝนความเป็นสตรีชั้นสูงในห้องหออย่างต่อเนื่องด้วยปณิธานอันแรงกล้าที่จะทำตนให้คู่ควรกับสามีเช่นฉีเล่อ ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ จะยังคงนึกหวาดหวั่นอยู่บ้างและในวันนี้เฉินลี่หลินต้องเข้าวังมาทำความเคารพแม่สามีซึ่งก็คือฮองเฮาแห่งแคว้นเป่ยฉี โดยมีหลิงเวยและฟงจินหมิงคอยติดตามดูแลไม่ห่างกัน พวกเขายังคงปลอมตัวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ข้างกายให้เฉินลี่หลินโดยที่ฟงชินหยางจำต้องรออยู่ในวังไท่เล่อกับลูกชายทั้งสอง เนื่องจากว่าฟงชินหยางมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นจนเกินไป อาจจะทำให้ขุนนางในวังเป่ยฉีจดจำฟงชินหยางที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฉินได้และอาจจะทำให้เกิดข้อพิพาทว่าเหตุใดท่านแม่ทัพแคว้นเฉินยังคงปักหลักอยู่ในแคว้นเป่ยฉี"ลี่หลิน..." น้ำเสียงอ่อนหวานของหลิงเวยเอ่ยกระซิบกระซาบขึ้นมาทางเบื้องหลังให้ได้
ฟงจินหมิงเดินมาเรื่อยๆ ห่างจากประตูวังอันใหญ่โตที่เชื่อมต่อกับวังหลังอันเป็นสถานที่ของพวกสตรีชั้นสูงเขาเดินก้มหน้ามองพื้นอย่างสงบเสงี่ยมแนบเนียนเยี่ยงบ่าวชายธรรมดา หาได้ผิดแผกไปจากบ่าวไพร่ในวังแห่งนี้ไม่ชายหนุ่มเลือกมุมอับลับตาผู้คน แล้วล้วงเอาจดหมายที่ได้รับมาก่อนเข้าวังขึ้นมาอ่าน จดหมายฉบับนี้ส่งตรงมาจากท่านแม่ที่หัวเมืองหลักของแคว้นเฉิน ใจความในจดหมายบอกกล่าวถึงสตรีนามว่าจินเยว่ชิงธิดาสาวสูงศักดิ์หนึ่งเดียวของชินอ๋องเฉินจิ้นเหอจินเยว่ชิงเป็นสตรีที่แอบชอบพี่ชายของเขาจนหูมืดตามัวหลงผิด นางแอบส่งคนไปที่บ้านฟงหมายล่อลวงพี่สะใภ้ออกจากจวนเพื่อให้พี่สะใภ้แยกจากพี่ชายของเขา หวังจะทำลายความรักของคนทั้งสอง เขาจึงล่อลวงนางให้ถอดใจจากพี่ชายอีกต่อหนึ่งซึ่งมันก็ได้ผล จินเยว่ชิงหันมาสนใจเขาภายในเวลาเพียงสองวันแน่นอนว่าเขาย่อมให้โอกาสนาง แต่ทว่าสตรีนามว่าจินเยว่ชิงช่างเป็นสตรีที่มีนิสัยโลเลเปลี่ยนใจได้ง่ายดายยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแลเครื่องประดับฟงจินหมิงยังคงอ่านจดหมายในมืออยู่นิ่งๆ สายตาคู่คมกวาดมองจนทั่วบนกระดาษจดหมาย เรียวคิ้วคมเข้มเพียงยกขึ้นน้อยๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากบางเบาเมื่อได
ค่ำคืนราตรีกาลอันยาวนานแห่งวสันต์ ภายในตำหนักหย่งหลวนของวังบูรพาเรือนร่างสูงโปร่งงามสง่าของรัชทายาทฉีหย่งเหอกำลังยืนอยู่กลางห้องนอนอันรโหฐานของตำหนักหวั่นอัน ใบหน้าหล่อเหลาที่มีสายตาเฉียบคมดำขลับกำลังทอดมองมาทางสตรีงดงามอ่อนหวานที่นั่งยอบกายอย่างอ่อนน้อมนามว่าลู่ชิงเขามองนางอย่างพึงพอใจลู่ชิงย่อกายทำความเคารพบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างนอบน้อมนุ่มนวลแต่ยั่วยวนในทีนางหลุบตาลงต่ำเห็นเพียงแพขนตางามงอนทาบทับอยู่บนพวงแก้มนวลเนียนสีแดงระเรื่อ ริมฝีปากคล้ายเม้มคล้ายเผยอคล้ายเชิญชวนแลล่อลวงใจหนุ่มให้ติดบ่วงรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นงดงามภายในอาภรณ์สีหวานบางเบาล้อเล่นกับแสงเทียนที่โชกโชนเกิดเป็นเงาโค้งเว้าสะท้อนวูบไหวให้ความรู้สึกวาบหวามไม่เบา “มือของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฉีหย่งเหอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแหบพร่าแลดูอ่อนโยน“รัชทายาททรงทราบหรือเพคะ” ลู่ชิงถึงกับเงยหน้าขึ้นมองบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้า นัยน์ตาคล้ายมีหยดน้ำฉ่ำวาวกำลังสั่นไหวบางเบายากเก็บอาการตื่นเต้นตระหนกระคนยินดีฉีหย่งเหอยกยิ้มมุมปากมากเสน่ห์เปล่งวาจาน่าฟัง“มีอะไรบ้างที่ข้าไม่รู้ ลี่เหมยมักจะโหดร้ายกับทุกคนเสมอ ไม่เว้นแม้แต่สหายอย
“ข้าจำได้ว่าลู่ชิงเป็นสหายของลี่เหมย”เส้นเสียงทุ้มต่ำของฉีเล่อเอ่ยขึ้นมาทางฉีหย่งเหอที่นั่งใกล้กันตรงข้างลานการแสดงคัดเลือกสาวงามในค่ำคืนนี้“อืม...” ฉีหย่งเหอครางรับในลำคอด้วยใบหน้าเฉยชาแต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มบางเบาแสดงถึงความพึงพอใจไม่ปิดบังฉีเล่อจิบชาเล็กน้อยก่อนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะตรงหน้าด้วยมาดสูงศักดิ์ตามวิสัยพลางเอ่ยคำเรียบเรื่อยกับพี่ชายของตน “ข้าเริ่มไม่แน่ใจว่าสตรีหลังวังบูรพาของพี่ใหญ่เป็นเพียงเพื่อสร้างฐานอำนาจหรือความชอบเฉกเช่นบุรุษเพศหรือเพราะอะไรกันแน่”ครานี้ฉีหย่งเหอถึงกับละสายตาจากสตรีงดงามอ่อนหวานกลางลานแสดงมามองน้องชายของตนพลางเอ่ย“เจ้าน่าจะรู้ใจข้าดีกว่าใคร ข้าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”“...”ฉีเล่อเริ่มหรี่ตามองพี่ชายของตน“ฐานอำนาจย่อมสำคัญไม่แพ้ความสำราญยามค่ำคืน” ฉีหย่งเหอกล่าวคำเรียบเรื่อยผินใบหน้าเบนสายตากลับไปจ้องมองสตรีงดงามกลางลานแสดงต่อ“ข้าเพียงสงสัยว่าพี่ใหญ่กำลังเลือกสหายของคู่หมั้นมานอนเคียงข้างเพื่อสิ่งใดกันแน่” ฉีเล่อเอ่ยถามตามตรงพลางปรายสายตามองไปทางหลี่ลี่เหมยผู้เป็นหัวข้อสนทนาฉีหย่งเหอมิได้ตอบคำ เขาย่อมทำตามใจตนเองหาใช่ต้องตามใจใครไม่เมื่อ
เมื่อสตรีปากมากจากไปด้วยลำตัวที่อ่อนปวกเปียกไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ความเงียบสงบจึงกลับมาอีกครั้งสตรีนามว่าลู่ชิงยังคงดึงความสนใจจากทุกคนตรงกลางลานแสดงเฉินลี่หลินยิ่งกะพริบตาเพื่อเพ่งมองนางกำลังนั่งอยู่กับท่านหญิงหลี่ลี่เหมยที่เป็นพระคู่หมั้นขององค์รัชทายาทฉีหย่งเหอรัชทายาทฉีหย่งเหอกับสตรีนามว่าลู่ชิงกำลังส่งสายตาบอกรักกันอย่างโจ่งแจ้งในขณะที่คู่หมั้นของเขานั่งอยู่ข้างๆ นางเฉินลี่หลินจึงละสายตาจากฉีหย่งเหอและลู่ชิงมามองหลี่ลี่เหมยอย่างใคร่รู้นางกำลังตระหนักได้เป็นอย่างดีถึงการที่จะต้องเป็นสตรีของบุรุษสูงศักดิ์ในรั้วในวังทั้งยังเป็นแคว้นที่ให้ความสำคัญกับอำนาจเส้นสายขั้วสกุล นางเองก็กำลังเป็นหนึ่งในนั้น นางเป็นชายาขององค์ชายรองที่จำต้องมีอำนาจเป็นฐานสำคัญ เช่นนั้นแล้วนางต้องทำตัวอย่างไร คงต้องศึกษาเอาไว้“โง่งม!”“...!?”เฉินลี่หลินยิ่งกะพริบตาถี่ๆ เมื่อหลี่ลี่เหมยเอ่ยคำนั้นออกมาลอยๆหลี่ลี่เหมยเอ่ยคำพร้อมปรายสายตาร้ายกาจมาทางเฉินลี่หลินแบบตรงๆ“เจ้าว่าข้าหรือ?” เฉินลี่หลินคล้ายแน่ใจคล้ายไม่แน่ใจกับประโยคที่ได้ยินจึงถามกลับแบบตามตรงตามวิสัย“ยามนี้เรานั่งอยู่ด้วยกันแค่สองคน เจ้าคิดว่าข้
อึดใจต่อมาเสียงแนะนำตัวของสาวงามนางหนึ่งกลางลานแสดงพลันดัง“หม่อมฉัน ลู่ชิง เพคะ”น้ำเสียงแว่วหวานสำเนียงหวานล้ำอย่างนั้นดึงสายตาของหลี่ลี่เหมยที่กำลังสาดความร้ายกาจเข้าใส่เฉินลี่หลินให้หันไปมองตามเสียงในทันทีเฉินลี่หลินจึงมองตามโดยสัญชาตญาณ นางเห็นเป็นสตรีงดงามท่าทางอ่อนหวานมากๆ กำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานกว้างที่ใช้แสดงความสามารถตรงพิณกู่เจิงคันงามสตรีอ่อนหวานนางนี้มีใบหน้าที่งดงามมากนัก ร่างระหงของนางแลดูอรชรน่าทะนุถนอม แต่หากสังเกตดีๆ มือของนางที่ควรจะเผยเรียวนิ้วงามเสลากลับถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าดิบสีขาวเกือบทุกนิ้ว เห็นได้ชัดว่ามือของนางบาดเจ็บไม่น้อย นางกำลังจะแสดงความสามารถด้วยการดีดผิณกู่เจิงที่นับว่าบรรเลงได้ยากมากนักทั้งๆ ที่มือของนางบาดเจ็บ สตรีนามว่าลู่ชิงทำความเคารพบุคลสำคัญรายรอบด้วยความนอบน้อมงดงามก่อนจะยืนสงบนิ่งอยู่กลางลานกว้างสำหรับการแสดงนางยืนด้วยมาดงามสง่า เผยฝ่ามือและเรียวนิ้วที่บาดเจ็บแบบไม่มีปิดบังนางยืนอยู่ตรงพิณกู่เจิงด้วยมาดทรงพลังอย่างมั่นใจ สายตาฉ่ำหวานของนางมองไปทางรัชทายาทฉีหย่งเหอก่อนจะคลี่ยิ้มตรึงใจส่งให้เขาในขณะที่องค์รัชทายาทฉีหย่งเหอผู้หล่อ