เวลาใกล้รุ่งสางก่อนที่แสงตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา หลิงเวยค่อยๆ ปรือตาขึ้นเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงเคาะไม้ถึงห้าครั้งบ่งบอกเวลาได้เป็นอย่างดี
หญิงสาวรีบเรียกสติของตนไม่ให้เสียเวลางัวเงีย นางตื่นลืมตาขึ้นมาช้าๆ แต่ทว่าพลันต้องชะงักเมื่อปะทะกับสายตามืดดำของใครบางคน
ใครคนนั้นนอนมองนางอยู่ด้วยสายตาดุดันใบหน้ามืดครึ้มใบหูแดงก่ำ เขาเปลือยแผงอกบึกบึนใหญ่โตช่วงบนลำตัว
เขาไม่หนาวหรือไร ไยไม่ห่มผ้า?
หลิงเวยมองคนตัวโตข้างกายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เฉกเช่นดังเดิมพลางเอื้อมมือน้อยๆ ลงมาจับดึงผ้าห่มบนตัวของตนแล้วตวัดห่มให้เขาอย่างใจดี เพราะว่านางแย่งเตียงนอนของเขาและผ้าห่มของเขามาห่มอยู่คนเดียว
ฟงชินหยางตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์โกรธกรุ่นแสดงออกฉายชัดให้เห็นทางสีหน้า นางเป็นของเขาแล้วถึงแม้ว่าจะผิดวิธีก็ตาม และนางกับเขาก็แต่งงานกันแล้วอย่างถูกต้อง อีกทั้งเมื่อคืนยังเป็นคืนเข้าหอ
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ากับเป็นบุรุษที่อับโชคเช่นนี้
ไยอาภัพยิ่งนัก!
เขาต้องนอนปวดเกร็งทั้งคืนด้วยเพราะว่ามีตัวนุ่มนิ่มมานอนข้างๆ ทั้งยังพ่นลมหายใจเป่าหูเขาตลอดคืนกระทั่งเช้า
แล้วดูนางทำ นางยังจะเอื้อมมือมาห่มผ้าให้เขาจนหน้าอกนุ่มๆ ของนางเบียดเสียดอยู่กับท่อนแขนของเขา นี่นางหมายยั่วยวนเขาในยามฟ้าสางได้อย่างไร เขาต้องพานางไปคารวะน้ำชาบิดามารดาที่น่าจะลุกขึ้นมารอเขาแล้วในเรือนใหญ่กลางจวนมิใช่หรือไร
กับอารมณ์คั่งค้างเมื่อคืนยังมิทันได้สะสาง นางก็สร้างอารมณ์รอบใหม่ในเวลาจำกัดซึ่งคงจะสะสางไม่ทัน นี่นางกำลังทำเรื่องร้ายกาจกับเขาอย่างยิ่งยวดอีกแล้ว มันใช่หรือไม่?
เจ้าของสีหน้ามืดดำและมีห้วงอารมณ์หลุมลึกทมิฬเอ่ยเสียงกดต่ำออกมา
“เจ้ากล้าดีอย่างไร?”
หลิงเวยได้ยินพลันงุนงง แค่ห่มผ้าให้ก็มิได้หรือไร
ไยเอาใจยากจริง?
หญิงสาวสบสายตากับชายหนุ่มข้างกายอยู่อึดใจก่อนตัดสินใจดึงผ้าห่มกลับมาห่อร่างของตนเอาไว้แน่นเห็นแค่เพียงดวงตาแล้วขยับกายถอยหลังออกห่างจากเขาอีกเล็กน้อยอย่างยอมจำนน นางไม่ควรทำให้เขาโกรธ
ฟงชินหยางเห็นอย่างนั้นยิ่งอารมณ์คุกรุ่นเมื่อเจ้าสาวของเขาขยับเข้ามาใกล้ทำทีขยุกขยิกเบียดเสียดแล้วถอยหลังออกห่างไปจนแผ่นหลังชิดกำแพง นางทำตัวคล้ายกับหลอกล่อเขาไปมา นางทำท่าทางคล้ายเข้าหาแล้วออกห่างคล้ายรังเกียจ นางทำคล้ายกับว่าเขาเป็นตัวตลกก็ไม่ปาน อย่างนี้ต้องสั่งสอน!
เมื่อคิดได้แล้วก็พลิกกายขึ้นคร่อมนางเสียเลย
หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจด้วยคาดไม่ถึงเมื่อเจ้าบ่าวของตนพลิกกายขึ้นมาทาบทับนางและคร่อมนางเอาไว้อย่างนี้ ทั้งยังก้มหน้าลงมามองนางเสียต่ำ จนลมหายใจร้อนๆ ของเขาเป่ารดใบหน้าของนาง ดวงตาคมเข้ม จมูกคมสัน ขยับอยู่ใกล้ๆ กัน พาเอาใจสั่นไหวลมหายใจคล้ายติดขัด
หญิงสาวถึงกับต้องเอื้อมฝ่ามือขึ้นจับตรึงสันกรามของคนเหนือร่างเอาไว้ด้วยเกรงว่าใบหน้าหล่อคมของเขามันจะร่วงลงมาใส่ใบหน้าของนาง
เมื่อถูกฝ่ามือนุ่มนิ่มจับตรึงที่สันกรามพาเอาชายตัวโตเหนือร่างสตรีคล้ายกับถูกไฟจี้กระนั้น เช่นนั้นแล้วเขาจะรีบสะสางให้ทันเวลายกน้ำชาก็แล้วกัน
ฟงชินหยางคิดอย่างนั้นพลางก้มหน้าลงต่ำอีกนิดเข้าประชิดนางอีกหน่อย หมายจัดการกับเจ้าสาวของตนอย่างที่ควรเป็น เสือไม่ควรปล่อยให้เนื้อลอยนวล
หลิงเวยถึงกับตาโตเมื่อใบหน้าคมคายกำลังร่วงลงมาใส่ใบหน้าของนางจริงๆ นางถึงกับต้องออกแรงตรึงมือตรงสันกรามของเขาเอาไว้อย่างสุดกำลัง
ฟงชินหยางรับรู้ได้ถึงฝ่ามือน้อยๆ ที่เป็นปราการอยู่ตรงสันกรามของเขาอย่างนั้น เขาจึงเอื้อมมือหนาใหญ่ของเขาจับรวบข้อมือทั้งสองข้างของสตรีใต้ร่างออกแล้วขึงเอาไว้เหนือศีรษะนาง
ดูทีเถิดว่าใครจะชนะ ฮึ!
ชายหนุ่มก้มหน้าลงหมายกระทำการจัดการเจ้าสาวของตนอย่างต่อเนื่อง เขาโน้มริมฝีปากของเขาเข้าหาริมฝีปากของนางหมายจะกดจูบนางให้สาแก่ใจตามสิทธิ์ทั้งหมดที่มี
หลิงเวยรีบเบี่ยงใบหน้าหนีทันทีเมื่อริมฝีปากแดงๆ ของชายผู้เป็นสามีเคลื่อนที่ลงมาแบบนั้น นางไม่อาจทำใจ ถึงแม้ว่าจะเคยมีสัมพันธ์กันแล้ว ถึงแม้ว่าจะแต่งงานกันแล้ว
แต่ทว่า...นางกลัวเหลือเกิน
ครานั้นนางเจ็บอยู่เป็นนาน เขาร่วมรักกับนางที่โรงเตี๊ยมในวันนั้นทำนางเจ็บร้าวจนก้าวเดินลำบาก
เขาตัวใหญ่มาก...
“ไม่นะ ท่าน! ข้ายังไม่พร้อม” เสียงแว่วหวานร้องออกมา
“จะไม่พร้อมได้อย่างไร อย่ามาเสแสร้ง” ฟงชินหยางไม่มีการฟังทั้งยังกล่าววาจาร้ายกาจ เขาก้มหน้าลงกดจูบนางที่แก้มนวลสีแดงเปล่งปลั่งอย่างนึกเข่นเขี้ยว นางเบี่ยงริมฝีปากหลบเขาแต่เป็นการเอียงใบหน้านวลเนียนล่อตาล่อใจ นางทำเขานอนทรมานทั้งคืนเชียว เขาจะไม่ปล่อยนาง
“ข้ามิได้เสแสร้ง ข้าไม่พร้อมจริงๆ ปล่อยข้านะ” หลิงเวย นึกกลัวยิ่งนัก เขาทำนางเจ็บช่วงกลางลำตัวอย่าบอกใคร
หญิงสาวพยายามดิ้นรนภายใต้ร่างใหญ่หนาของคนตัวโตอย่างยากลำบาก นางดิ้นขลุกขลักอยู่อย่างนั้น ใบหน้าก็เบี่ยงไปเบี่ยงมาหลบจมูกหลบริมฝีปากร้อนผ่าวพัลวัน เรียวขาก็พยายามดีดตีหมายให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม
ชายหนุ่มเหนือร่างบ้าพลังอย่างฟงชินหยางยิ่งนึกชอบใจกับอาการพยศของภรรยา นี่นับได้ว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่
ตื่นขึ้นมามีศึกแบบนี้บนเตียงนอน ทำเขายิ่งคึก
“ไม่เอา ปล่อยนะ” หลิงเวยที่ถูกจับตรึงข้อมือเอาไว้เหนือศีรษะทั้งยังถูกกดทับทั้งร่างทั้งตัวไม่เว้นแม้กระทั่งเรียวขาทำได้เพียงร้องห้ามและเบี่ยงใบหน้าซ้ายขวาไปมา นางกำลังรู้สึกร้อนผ่าวไปหมดแล้วในยามนี้ จมูกและริมฝีปากของเขาร้อนดั่งไฟ ฝ่ามือก็ร้อน ลำตัวก็ร้อน ทำนางร้อนตามไปหมดแล้ว“เจ้าเป็นเมียของข้าแล้ว ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ” บุรุษผู้มีนิสัยดิบเถื่อนอย่างฟงชินหยางมีหรือจะยอมเขาไม่จำเป็นต้องถนอมบุปผาเคลือบพิษ นั่นคือเหตุผลของการเอาแต่ใจกับภรรยาของตนเขายังคงก้มหน้าก้มตาลงกดจูบนางใต้ร่างไปตามข้างแก้ม ไปตามลำคอและติ่งหู ยิ่งนางเบี่ยงใบหน้าหลบเขาไปมาทำให้เขายิ่งฮึกเหิมตามสัญชาตญาณ“ข้าเป็นเมียท่านแล้วก็จริง แต่ยามนี้เช้าแล้ว”หลิงเวยพยายามหาเหตุผลห้ามปรามสามีผู้เอาแต่ใจด้วยใบหน้าแดงก่ำ ลำคอและใบหูก็เช่นเดียวกัน มันกำลังเห่อแดงร้อนแรงยิ่งกว่าผลอิงเถาและร้อนผ่าวไปหมดทั้งเรือนร่างที่ยามนี้ถูกชายเหนือร่างขึงตรึงตลอดทั้งลำตัวโดยเฉพาะท่อนขาเรียวเล็กของนางก็ถูกท่อนขาหนาหนักของเขากดทับจนจมที่นอน“เมื่อคืนมีโอกาสแล้วไยท่านไม่กระทำเสียเมื่อคืนเล่า” นางพยายามอ้างอย่างนั้น ในยามนี้ฟ้าสว่างจนเห็นใบหน้าเรือนร
“พี่ใหญ่!”เสียงหวานใสของดรุณีน้อยนางหนึ่งตะโกนอยู่หน้าห้องของเจ้าบ่าวเจ้าสาว“ท่านพ่อกับท่านแม่รอนานแล้วนะเจ้าคะ” สิ้นเสียงเอ่ยคำก็หัวเราะชอบใจที่ได้กลั่นแกล้งพี่ชายของตนฟงลี่หลินน้องสาวคนเล็กของบ้านมักมีนิสัยทโมนผิดสตรีด้วยกันเพราะว่าเติบโตมากับพี่ชายสองคนจึงชอบทำตัวบ้าบิ่นเกินพอดีจนฟงจินหมิงพี่ชายคนรองต้องเข้ามาห้ามปรามเสียงดัง“หยุดเดี๋ยวนี้นะน้องเล็ก!”“อะไรกันเล่าพี่รอง”“เจ้าไม่ควรรบกวนเวลาของพี่ใหญ่กับอาซ้อนะ”“หึ! เมื่อคืนเขาก็จัดการกันทั้งคืนแล้วกระมัง ไม่เป็นไรหรอก” ฟงลี่หลินเถียงฟงจินหมิงด้วยคำพูดเกินงามพลางเคาะประตูอีกคราแต่ทว่าฝ่ามือเรียวเล็กยังไม่ทันแตะต้องบานประตู เสียงผลัวะเปิดออกของประตูพลันดัง ตามด้วยบุรุษร่างสูงใหญ่เปลือยลำตัวช่วงบนเผยแผงอกบึกบึนกล้ามเนื้อหนั่นแน่นงดงามผสมผสานริ้วรอยแผลเป็นจากศึกสงครามของฟงชินหยางปรากฏกายพร้อมสายตาคมเข้มมืดดำอย่างต้องการฆ่าฟันน้องทั้งสองให้ตายตกฟงลี่หลินกับฟงจินหมิงถึงกับชะงักเล็กน้อยเสมองลำตัวใหญ่โตงามๆ ช่วงบนของพี่ชายด้วยสายตาทอประกายล้อเลียนก่อนจะรีบพากันหมุนตัววิ่งหนีพร้อมส่งเสียงหัวเราะชอบใจไปตามทางฟงชินหยางหรี่ตามองน้องชา
ฟงชินหยางยืนมองภรรยาหมาดๆ ของตนด้วยอาการคันยุบยิบตามเนื้อตัวอีกแล้วเขามองเห็นนางแต่งตัวทำผมอยู่ตรงมุมตู้เสื้อผ้าอย่างยากลำบากทำเขาถึงกับอดใจเอาไว้ไม่ไหวจำต้องเดินเข้าไปหานางอย่างหงุดหงิด“มานี่!” ฟงชินหยางคำรามเสียงดังหลิงเวยตกใจจนเนื้อกระตุกอีกคราก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่ที่มายืนอยู่ตรงด้านหลังของนาง“ท่านจะทำสิ่งใด” หญิงสาวถามขึ้นอย่างหวาดหวั่นตัวเกร็งแข็งทื่อไม่กล้าขยับเมื่อชายหนุ่มด้านหลังจับผมของนางขยุ้มขึ้นไปแล้วดึงเส้นผมของนางไปมาจนนางเจ็บตึงตรงหนังศีรษะไปหมดแต่ไม่กล้าร้องออกมาฟงชินหยางเคยทำผมให้น้องสาวคนเล็กมาบ้างแล้วเมื่อครั้งที่นางออดอ้อนเขาให้ทำพร้อมปักปิ่นในยามนั้นฟงลี่หลินเอาแต่ร้องไห้กล่าวหาว่าเขากลั่นแกล้งนางแล้วก็วิ่งไปฟ้องท่านแม่ให้แก้ทรงผมให้เขาแน่ใจว่าเขาทำมันได้ดีแต่ที่ไม่เข้าใจไยต้องร้องไห้แล้วใส่ร้ายเขาจนถูกท่านแม่ตี!“เสร็จแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยคำเสียงเข้มพลางปล่อยมือหนาหนักจากทรงผมของภรรยาแล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไปหลิงเวยได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของคนตัวโตพร้อมเอื้อมมือขึ้นจับทรงผมของตนที่บัดนี้ถูกรวบเอาไว้เป็นอย่างดีพร้อมปักปิ่นให้อีกด้วยอืม...แต่ทำไมนา
จวนอันใหญ่โตของตระกูลฟงมีเรือนมากมายทั้งยังมีอาณาบริเวณกว้างขวางระหว่างทางเดินของแต่ละเรือนประกอบไปด้วยสวนสวยรายรอบมีหินอ่อนทอดยาวคดเคี้ยวระหว่างเรือนและสวนที่มีสระบัวออกดอกชูช่องดงามตระการตาพาเอาจิตใจเบิกบาน...ฟงชินหยางเดินนำหน้าหลิงเวยมาตามทางเดินของเรือนต่างๆ ภายในจวนจนกระทั่งถึงเรือนใหญ่กลางจวนจึงหยุดเท้าก้าวเดินเพื่อรอคนตัวเล็กที่เดินนวยนาดนุ่มนวลเหลือเกินในยามปกติเขาเจอแต่พวกเดินฉับๆ ก้าวเท้าหนักๆ ของเหล่าลูกน้องในอาณัติไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี แต่กับภรรยาของเขานางนี้ทำให้เขาไม่ชินเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงต้องเดินให้ช้าลงแล้วหยุดเดินเพื่อยืนรอนางอยู่หลายก้าว เขาทำอย่างนั้นอยู่หลายคราจากเรือนหอของตนจนกระทั่งถึงหน้าเรือนกลางก่อนจะหันมามองนางด้วยสีหน้ามืดครึ้มสายตามืดดำไม่เปลี่ยนแปลงเขากำลังปรับอารมณ์ของตนเองเพื่อมิให้บิดามารดาจับผิดเขาได้ในเรื่องการแต่งงานที่ผิดพลาดนี้ เขายอมรับว่าไม่เคยต้องเสแสร้างแกล้งทำเรื่องใดมาก่อนนี่จึงนับว่าเป็นเรื่องแรกทั้งยังยากเย็นหนักหนาความผิดพลาดไหนเลยจักน่าอับอายเยี่ยงนี้!หลิงเวยที่กำลังเพลินเหลือเกินกับสภาพแวดล้อมของจวนแห่งนี้จำต้องหันหน้ามาม
ฟงชินหยางที่บัดนี้ได้พาภรรยามายืนอยู่ตรงหน้าทุกคนในครอบครัวแล้วจึงยืนนิ่งๆ สู้สายตาทุกผู้คนด้วยมาดเรียบเฉยสายตาคมกริบซ่อนแววหวาดหวั่นผิดกับหลิงเวยที่เริ่มสั่นสะพรึงขึ้นมาหญิงสาวหันหน้ามากระซิบกระซาบกับคนตัวโตข้างกายด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเบาหวิว “ข้ายังไม่รู้นามของทุกคนเลย”“ซือหลาง ซินหรู จินหมิง ลี่หลิน ตามลำดับอาวุโส”“...”ฟงชินหยางกระซิบตอบรัวเร็วประหนึ่งว่าเอ่ยสั่งการทหารด้วยรหัสลับในสนามรบยามข้าศึกเข้าประชิดกระนั้นหลิงเวยได้ฟังคำจึงรีบคิดตามประหนึ่งว่าเป็นลูกน้องทหารของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ นางจึงพยักหน้าน้อยๆ เข้าใจ“ข้าชื่อหลิงเวย” หญิงสาวคิดได้ว่ายังไม่รู้จักนามของสามีเพราะในพิธีแต่งงานเมื่อวานนางหูอื้อตาลายไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งนั้น นางจึงกระซิบแนะนำชื่อของตนอย่างรู้งาน“ข้าชินหยาง” ชายหนุ่มรู้งานยิ่งกว่ากระซิบกระซาบแนะนำตัวกลับไป“จะยืนกระซิบพร่ำคำรักกันอีกนานหรือไม่” เสียงหวานใสของฟงลี่หลินพลันดังมาจากกลางห้องโถงไกลออกไป “อะไรจะหวานกันปานนั้นเจ้าคะ” จบคำก็หัวเราะคิกคักชอบใจทำเอาบิดามารดาถึงกับต้องกระแอมไออยู่ในลำคอฟงชินหยางจึงเริ่มปฏิบัติการหลอกข้าศึกให้ตายใจโดยการเอื้อมฝ่าม
หลิงเวยเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากฟงชินหยางเพียงแต่นางกำลังรู้สึกผิดอย่างมหันต์และเริ่มตระหนักขึ้นมาหากว่าวันหนึ่งข้างหน้าบุรุษข้างกายของนางในยามนี้เกิดรักปักใจกับใครจนไม่อาจถอนใจแล้วเขาจักต้องทำอย่างไรนี่มิใช่ว่านางเป็นต้นเหตุให้บุรุษเช่นเขาหมดหนทางแห่งตนในภายภาคหน้าเลยหรือและบางทีเขาอาจจะมีสตรีในดวงใจอยู่แล้วก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นมิใช่ว่านางมาเป็นมารหัวใจของเขาหรอกหรือไรหญิงสาวยิ่งคิดยิ่งหม่นแสงในชีวิตดวงตาเริ่มรื้นน้ำใสจนต้องรีบยกชายผ้าขึ้นมาปาดออกไปในทันที“เจ้าเป็นอะไรไปเวยเอ๋อร์ ปลื้มมากหรือไร” ฟงชินหยางถามหลิงเวยในฉับพลันด้วยรอยยิ้มตรงมุมปากพร้อมสายตาคาดคั้นซ่อนแววประชดประชันในที หลิงเวยรีบปรับอารมณ์ของตนแล้วตอบคำเสียงเบา “เจ้าค่ะ ข้ากำลังรู้สึกปลื้มใจยิ่งนัก ต้องขออภัยท่านทั้งสอง” นางตอบคำแก้ต่างพลางยกยิ้มงดงามส่งให้บิดาและมารดาของสามี“เรียกท่านพ่อท่านแม่” ฟงชินหยางก้มหน้าเข้าหาพลางเอ่ยกระซิบดุดันเสียงเบาใส่หูของหลิงเวยหญิงสาวรีบปรับคำพูดในทันทีก่อนจะถูกใครบางคนกินหูของนางเข้าไปทั้งใบ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าหลิงเวยของฝากตัวเจ้าค่ะ ข้าขอสัญญาว่าจะทำตัวดีๆ ว่านอนสอนง่าย เป็นส
เมื่อกินอาหารอันโอชาเลิศรสจนหมดถ้วยหมดจาน ฟงชินหยางกับหลิงเวยจึงถูกฟงลี่หลินและฟงจินหมิงทั้งจับจูงทั้งดันแผ่นหลังพามานั่งเล่นที่ศาลาริมสระบัวของจวน เสียงหัวเราะขบขัน เสียงถกเถียงกันไปมาจึงดังลั่นจากในศาลาเป็นระยะๆที่จวนใหญ่โตแห่งนี้เป็นจวนประจำตระกูลฟงมิใช่จวนแม่ทัพและมิได้ตั้งอยู่ใกล้กับค่ายทหารแต่กระนั้นค่ายทหารก็ตั้งห่างออกไปจากตัวเมืองเพียงเจ็ดลี้เท่านั้นทำให้ไม่ลำบากอันใดในการเดินทางไปควบคุมยังค่ายทหาร ทั้งนี้เนื่องจากอดีตแม่ทัพใหญ่ฟงซือหลางและอดีตองค์หญิงเฉินซินหรูพระขนิษฐาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันต้องการอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกมิใคร่ให้แยกบ้านแยกจวน สามคนพี่น้องจึงสนิทสนมกันยิ่งนัก หลิงเวยนั่งสังเกตพวกเขาทั้งสามคนอย่างละเอียด ฟงชินหยางเป็นพี่ใหญ่ที่มีท่าทางขึงขังเคร่งขรึมเฉกเช่นบิดาไม่มีผิดเพี้ยน เขาเป็นบุรุษที่ตัวโตสูงใหญ่เกินบุรุษทั่วไปสมกับที่เป็นชายชาติทหาร เป็นบุรุษผู้องอาจ ใบหน้าของเขาถึงแม้ว่าจะหล่อเหลาคมเข้มแต่ทว่าแววตากลับฉายแววเหี้ยมเกรียมดุร้ายตลอดเวลา เขามักจะทำท่าทางดุดันน่ากลัวอยู่เป็นนิตย์ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเพราะสายงานของเขา ด้วยเพราะว่า
เขาไปทำอะไรให้ภรรยาไม่พอใจเมื่อไหร่มิทราบ ไยถึงต้องปั้นหน้าเยี่ยงนั้น ที่เขาถูกทุกคนลืมเลือนบนโต๊ะอาหารยังไม่พอหรือไร“เจ้าเป็นอะไรไป เวยเอ๋อร์” ฟงชินหยางเอ่ยเสียงที่ฟังออกได้ว่าพยายามให้นุ่มนวลทำเอาหลิงเวยพลันชะงักหลุดจากภวังค์“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนหวานส่งให้คล้ายขอโทษในที นางกำลังทำให้บรรยากาศดีๆ เสียไป “ข้าแค่เพียงนึกถึงพี่น้องที่บ้านว่าช่างแตกต่างจากพวกท่านมากนัก” นางเลือกที่จะบอกตามตรง “พวกท่านเป็นที่น้องที่รักกันมาก ข้านึกชมชอบจากใจจริง” “แน่นอน พวกเรามีกันแค่นี้ ครอบครัวของเราก็มีกันแค่ห้าคน” ฟงลี่หลินเอ่ยออกมาอย่างฉะฉานภาคภูมิใจ “พวกเราเป็นชนกลุ่มน้อยที่รักกันมาก...” น้องเล็กของตระกูลฟงพูดจาเปรียบเทียบทั้งยังลากเสียงยาวฟังดูน่าขันจนหลิงเวยต้องยิ้มกว้างกระทั่งหลุดหัวเราะออกมารอยยิ้มกระจ่างใสกับเสียงหัวเราะแว่วหวานของสตรีตรงหน้าทำเอาฟงชินหยางเริ่มไม่ชิน นางยิ้มอย่างนี้เป็นด้วยหรือตั้งแต่เจอกันก็เอาแต่ร้องไห้บีบน้ำตา นางกดดันเขาตลอดเวลาด้วยน้ำตาคล้ายน้ำตกนั่นทั้งยังทำเขาอึดอัดจนเขาหายใจลำบากอยู่ตลอดมา และทั้งๆ ที่เขาเสียท่าให้นางถึงเพียงนั้นไยไม่ยิ้มแ
ในวันนี้ชินอ๋องเฉินจิ้นเหอส่งคนมาเชิญฟงชินหยางให้ไปร่วมดื่มน้ำชาเสวนาพาทีพร้อมเดินหมากล้อมกันตามปกติวิสัย ฟงชินหยางจึงเดินทางไปยังจวนของชินอ๋องในยามสายของวันโดยพาทหารหญิงคนสนิทข้างกายไปด้วยกันตามติดด้วยทหารหน้าบากนายหนึ่งตามไปด้วยอย่างมึนๆบุรุษร่างหนาใบหน้ามีแผลเป็นลากยาวหนวดเครารุงรังผู้นี้ยังคงทำหน้าที่อันหลากหลายได้ดีในทุกๆ วันไม่ว่าจะเป็นองครักษ์พิทักษ์พี่สะใภ้ เป็นหน่วยข่าวกรองไม่เปิดเผยตัวตนให้พี่ใหญ่ ทั้งยังเป็นหน่วยกล้าตายในสังกัดค่ายทหารได้อย่างแนบเนียน หลิงเวยและฟงจินหมิงเดินขนาบข้างมากับฟงชินหยางจนกระทั่งเข้ามายังภายในจวนก่อนจะถูกเชื้อเชิญจากข้ารับใช้ภายในจวนให้เดินตามไปยังทิศทางที่ข้ารับใช้บอกกล่าวว่าชินอ๋องทรงนั่งประทับรออยู่แล้วเป็นนานภายในศาลากลางสระบัวเพียงไม่นานบุคคลทั้งหมดจึงเดินมาถึงศาลาหลังใหญ่ขนาดเก้าเสาหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางบึงสระบัวขนาดกว้างขวางเมื่อฟงชินหยางเดินมาจนถึงศาลานั้น เสียงเพลงพิณแว่วหวานส่งสำเนียงทำนองเสียงใสพลันดังกังวานอยู่ภายในศาลาฟงชินหยางถึงกับชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน หลิงเวยและฟงจินหมิงเองก็ไม่ต่างกัน ทั้งหมดพากันชะงักงันยืนตรึงอยู่กับท
“อันใดหรือเจ้าคะ” จินฮวาเอ่ยถามทหารหญิงคนสนิทของท่านแม่ทัพฟงในทันทีเมื่อมองเห็นผ้าปักงดงามล้ำค่ามากมายตรงหน้า “สำหรับลูกน้อยของเจ้าที่กำลังจะเกิดมา หวังว่าเจ้าคงไม่รังเกียจ” หลิงเวยบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจริงใจ“เอ่อ...มันงดงามมากเลยเจ้าค่ะ ไม่ธรรมดาเลย บุตรของข้ามิอาจเอื้อมเจ้าค่ะ” จินฮวาเอ่ยอย่างเกรงใจ ทุกวันนี้ท่านแม่ทัพฟงก็ดูแลพวกเราสองสามีภรรยาเป็นอย่างดีมากแล้ว“ข้ามีเยอะทีเดียว เจ้าอย่าได้เกรงใจ” หลิงเวยยังคงตั้งใจจริงจังในการขอโทษสตรีตั้งครรภ์ตรงหน้าจึงไม่คิดจะยินยอมให้จินฮวาปฏิเสธ “หากเจ้าไม่รับข้าเกรงว่าท่านแม่ทัพคงไม่พอใจ”“อา...เจ้าค่ะ” จินฮวายิ้มจนตาหยีรีบรับผ้าปักทั้งหมดเอาไว้ นางยอมรับว่าชมชอบอยู่ไม่น้อย ฝีมือปักผ้านี้ นางนั่งทำสิบปียังเทียบไม่ได้ “ผ้าปักพวกนี้ใส่ได้ทั้งบุตรสาวและบุตรชาย ไม่ว่าเจ้าจะได้บุตรเป็นชายหรือหญิงย่อมใช้ได้ทั้งหมด” “ขอบคุณแม่นางมากๆ เจ้าค่ะ ขอบคุณจริงๆ”สองสาวเพียงส่งยิ้มให้กันพร้อมเสียงหัวเราะสดใสดังกังวานคุยกันถูกปากถูกคอในเรื่องบุตรที่จะมีในไม่ช้าทำเอาในเวลาต่อมาเป็นฝ่ายบุรุษบ้างที่ต้องกลับกลายเป็นฝ่ายรอให้ฝ่ายสตรีเสวนาพาทีกันจนพอใจ
หลิงเวยสังเกตเห็นอาการตื่นเต้นนั้นของฟงชินหยาง นางจึงเริ่มขมวดคิ้วพันมุ่นเริ่มขัดเคืองฉับพลัน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามคำใด สตรีตั้งครรภ์นางหนึ่งก็เดินนวยนาดเข้ามายังห้องโถงแห่งนี้“ท่านแม่ทัพฟง” เสียงอ่อนหวานของสตรีตั้งครรภ์ดังขึ้นทำให้หลิงเวยยิ่งเพิ่มระดับความขุ่นเคืองมองค้อนฟงชินหยางขวับๆฟงชินหยางเห็นหลิงเวยส่งสายตาสวยหวานพิฆาตมองมาจึงได้แต่เสียวสันหลังวาบๆ อย่างไม่เข้าใจอันใด ไยรู้สึกหนาว!จินฮวาผู้ไม่เข้าใจอันใดในบรรยากาศแปลกประหลาดจึงพาท้องกลมๆ ของตนเองมานั่งยังเก้าอี้บนโต๊ะอาหารตามวิสัยที่เคยกระทำมาเนื่องด้วยว่าท่านแม่ทัพฟงอนุญาตให้นางเป็นกรณีพิเศษ หลิงเวยเห็นสตรีตั้งครรภ์นางนี้ลงนั่งที่โต๊ะอาหารกับฟงชินหยางอย่างนั้นยิ่งเพิ่มระดับความโกรธกรุ่นจึงเอ่ย“ท่านแม่ทัพฟง” น้ำเสียงหวานล้ำแต่กลับแฝงความเย็นเยียบไม่ธรรมดาของหลิงเวยทำเอาฟงชินหยางถึงกับขนลุกชูชันนั่งตัวตรงแข็งทื่อกลายร่างเป็นก้อนหินก้อนใหญ่หลิงเวยยังคงเอ่ย “ท่านบอกแก่ข้าว่าไม่มีภรรยา เห็นได้ชัดว่าท่านโกหก!” ฟงชินหยางเลิกคิ้วคมเข้มขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบซ่อนคลื่นสั่นไหวในอารมณ์ในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร “ย่อมเป็น
หลายวันผ่านไป...ภายในค่ายทหารยังคงฝึกหนักเสียงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างดังเดิม มีการซ้อมเคลื่อนพลเคลื่อนทัพดังเดิม มีการผลิตอาวุธอันทรงพลังตามคำสั่งของท่านแม่ทัพตามเดิม มีกฎระเบียบที่แสนจะเคร่งครัดไม่มีลดหย่อนดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมและเพิ่มเติมมาก็คือท่านแม่ทัพฟงผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยอยู่เหนือผู้ใดกำลังถูกสตรีอัปลักษณ์นางหนึ่งครอบงำ หลิงเวยยังคงดูแลจัดการเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ดูแลทำแผลที่ได้รับจากการฝึกหนักดูแลเรื่องอาหารการกินให้ฟงชินหยางเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะยังคงตีเนียนทำตัวเป็นเพียงทหารหญิงรับใช้คนสนิทให้เขาโดยหาได้เปิดเผยฐานะจริงๆ ของตนไม่ ด้วยยังคงยึดมั่นในคำสั่งของแม่สามีเป็นอย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ฟงชินหยางก็ยังคงให้ความร่วมมือกับภรรยาตัวน้อยเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน เขาย่อมตามใจภรรยาในทุกๆ เรื่องโดยไม่ถามหาเหตุผลอันใดให้มากความ ในยามกลางวันนางอยากเป็นทหารหญิงรับใช้ให้เขาก็ให้เป็นไป เพียงแต่ในยามค่ำคืนนางต้องตามใจเขาในทุกกระบวนท่าลีลารักที่เขามอบให้ภายในห้องโถงของเรือนท่านแม่ทัพฟงบนโต๊ะอาหารที่มีกับข้าวมากมายหน้าตาน่าทานถูกจัดการเป็นพิเศษเพื่อท่านแม่ทัพฟงแต่เพียงผู้เดียวหลิงเวย
ฟงชินหยางเฝ้ากลืนกินภรรยาตัวน้อยตักตวงความสุขจากร่างบางนุ่มนิ่มพร้อมตอบกลับจัดให้ด้วยความสุขไม่ต่างกันหลิงเวยแหงนหน้าปรือตามองคนตัวใหญ่ด้วยสายตาหยาดเยิ้มฉ่ำน้ำสบเข้าไปในดวงตาคู่คมที่กำลังทอประกายร้อนแรงก่อนถูกเขาปล้นลมหายใจด้วยจุมพิตเร่าร้อนเคล้าคลึงด้วยอารมณ์รัญจวนให้ยิ่งกระพือหวามไหวหัวใจเต้นเร่าๆ แทบทะลุออกมานอกอก ปลายลิ้นของทั้งสองโรมรันพัลวันก่อนจะลากไล้พันกันอีกเพียงครู่แล้วปล่อยออกจากกันเพื่อให้อิสระในการส่งเสียงครางครวญยามเมื่อเส้นทางปลายฝันเริ่มกระชั้นเข้ามาซึ่งเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็มิรู้ได้ เส้นทางฝั่งฝันระยิบระยับของพวกเขาช่างมีมากเส้นนักหนา พวกเขาไต่เส้นฝันกันทั้งวันทั้งคืนไม่รู้กี่เส้นต่อกี่เส้น กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนเตียงตั่งขาโก่งขางอคนสองคนร่างสองร่างที่กำลังสอดประสานเข้าออกรุนแรงยังคงเร่าร้อนไต่ระดับพายุอารมณ์โดยไม่มีเก็บข่มใดๆกายหนาหยาบแกร่งกระแทกกระทั้นกระตุ้นเร้าให้ร่างบางสั่นสะท้านขึ้นลงไม่หนักไม่เบามอบความกระสันเสียวซ่านสาดเข้าใส่จนมีบางอย่างสาดกระเซ็นคล้ายระลอกคลื่นของสายธารคล้ายลาวาร้อนฉ่าท่วมทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มอ่อนนุ่มจนชุ่มชื้นถึงแม้จะมิได้เอื้อนเอ่ย ถึงแ
หลิงเวยหน้าแดงก่ำไม่สร่างซาเมื่อถูกบุรุษตัวใหญ่หนากระทำตามใจไม่เปลี่ยนแปลงแต่ทว่านางยังคงเชื่อฟังคำสั่งของแม่สามีเป็นอย่างดีถึงการปลอมตัวในครั้งนี้“ท่านไม่ควรทำตัวอย่างนี้กับสตรีแปลกหน้า” หลิงเวยเอ่ยคำเพื่อตักเตือนฟงชินหยางขณะถูกเขาช้อนร่างขึ้นอุ้มแล้วพานางมาวางบนเตียงนอนเตียงเดิมหลังจากที่เขาเข้ามาหานางตามคำเรียกหาแล้วพานางอาบน้ำใส่ผ้าแต่ทว่าเขากลับถอดผ้าของนางออกแล้วอุ้มนางมาที่เตียงนอน นางยังขาสั่นอยู่เลยทำต่อไม่ไหวเสียแล้ว“ลืมเรื่องเมื่อคืนแล้วหรือไร ไยความจำสั้น นี่มิใช่ว่าเราควรทำความรู้จักกันให้มากเข้าไว้หรอกหรือ” ฟงชินหยางยังคงให้ความร่วมมือในการปลอมตัวของภรรยาตัวน้อยเป็นอย่างดีขณะกำลังขึ้นคร่อมนางแบบทั้งตัว“หากว่าเรารู้จักกันแล้วอย่างไร ภรรยาของท่านคงไม่ยินดี” หลิงเวยตีมึนถามเจ้าของแผงอกแข็งตึงที่กำลังเบียดเสียดกับหน้าอกนุ่มๆ ของนางอย่างต้องการลองหยั่งเชิงเขา“อา...ข้าจะบอกว่าอย่างไรดี อืม...” ฟงชินหยางทำท่าคิดหนักบางอย่าง “ข้าควรบอกว่ายังไม่มีภรรยา”“...!”และอีกคราที่หลิงเวยต้องส่งค้อนวงใหญ่ใส่ฟงชินหยางชายหนุ่มไม่สนใจดวงตาสวยใสที่กำลังมองค้อนขวับๆ ตรงหน้า เขายังคงก้มหน
“เจ้าหน้าบาก”“...!”เส้นเสียงทุ้มห้าวคำรามออกมาจากแม่ทัพฟงผู้ยิ่งใหญ่ทำเอาคนถูกเรียกถึงกับหางคิ้วกระดิกมุมปากกระตุกไม่คิดจะถามชื่อแซ่กันเลยรึพี่ใหญ่!ฟงชินหยางยืนถมึงทึงเอ่ยสั่งการเสียงดังไปทางบุรุษตัวโตที่ใบหน้ามีหนวดเครารุงรังพร้อมรอยแผลเป็นลากยาวที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กลางลานกว้าง “เจ้าจงตามไปไต่สวนห้าคนนี้ร่วมกับรองแม่ทัพจิ่น เข้าใจหรือไม่เจ้าหน้าบาก”ฟงจินหมิงจึงลุกขึ้นยืนนิ่งๆ จ้องมองฟงชินหยางด้วยมาดไม่ธรรมดาพร้อมสายตาคมกล้าเอ่ยออกมา “ขอรับท่านแม่ทัพฟง”ฮึ่ม! ชื่อเจ้าหน้าบากก็ได้!“ออกไปให้หมด!” แม่ทัพหนุ่มคำรามอีกคราพาเอาเหล่าทหารกล้ารีบประสานมือเสียงดังพรึ่บพั่บก้มหัวคำนับแล้วรีบหมุนตัวจากไปอย่างไวฟงชินหยางจึงเดินตรวจตราภายในค่ายตามวิสัย ทุกทิศที่สายตาคมปลาบมองปราดไป เหล่าทหารทั้งหลายได้แต่อกสั่นขวัญแขวนรีบตรึงตัวขึงขังทำหน้าที่รับผิดชอบของตนเองอย่างเต็มกำลังคนใดฝึกยิ่งฝึกหนัก คนใดแบกหามยิ่งแบกหาม คนใดกวาดลานยิ่งกวาดลาน คนใดแอบหลับยิ่งต้องตื่นเต็มตาหาไม่แล้วคงไม่แคล้วได้หลับไปตลอดกาล ความเจ้ากฎเจ้าระเบียบเที่ยงตรงไม่อาจดูแคลน ความโหดเหี้ยมแต่เปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรมไม่อา
บนเตียงนอนหนานุ่มภายในห้องนอนของเรือนประจำตำแหน่งแม่ทัพหลิงเวยสะลึมสลือตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหัวตุบๆ รู้สึกพะอืดพะอมทั้งยังอ่อนเปลี้ยเพลียแรงมากมายนักนางพยายามหยัดกายลุกขึ้นนั่งพลันรู้สึกเจ็บแปลบตรงกลางหว่างขาและยิ่งปวดหนึบยิ่งกว่าตั้งแต่ช่วงเอวลงไปนางรู้สึกคล้ายเอวจะเคล็ดเสียด้วยอา...สะโพกระบมไปหมดผิวเนื้อของนางถึงขั้นบวมน้ำเลยเชียวหญิงสาวนั่งระลึกถึงเรื่องราวเมื่อยามค่ำคืนอันร้อนแรงถึงจิตถึงใจกับฟงชินหยางสามีของนางนางพอจะจำได้เลือนรางว่านางรู้สึกแปลกๆ หลังจากที่ดื่มเหล้าของเขาเข้าไปหลังจากนั้นบนเตียงนอนนี้นางก็ถูกเขาจัดการเสียหลายท่าไม่ว่าจะเป็น นอนหงายฉีกขา นั่งผสานชันเข่า นอนคว่ำโก่งโค้ง นอนคว่ำคร่อมหลัง คลานเข่าเดินหน้า กึ่งนอนที่ขอบเตียง กระทั่งท่ายืนหันหน้าหันหลัง เขาขืนใจนางได้ทุกท่วงท่าด้วยลีลาร้ายกาจ แต่...อืม...หรือว่าเป็นนางที่ขืนใจเขาหลิงเวยสลัดศีรษะเบาๆ กะพริบตาขึ้นลงไล่ความมึนงงให้หลุดออกไป เห็นได้ชัดว่าในเหล้านั้นมียาบางอย่าง หากนางไม่เป็นคนดื่มมันแน่นอนว่าคนที่ดื่มมันย่อมต้องเป็นฟงชินหยางและหากว่านางมิได้เข้ามาแทรกกลางแน่นอนว่าคนที่มานอนที่เตียงนี่ย่
ภายในตลาดอันยิ่งใหญ่ของหัวเมืองหลักแห่งแคว้นเฉินยังคงมีผู้คนพลุกพล่านมากมายยิ่งกว่าในเมืองหลวงแห่งแว่นแคว้น ฟงลี่หลินได้รับหน้าที่ให้มาอารักษ์ขาองค์ชายฉีเล่ออย่างไม่เต็มใจแต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากฉีเล่อนั้นเข้าไปเอ่ยปากกับชินอ๋องด้วยตนเองว่าต้องการท่องเที่ยวและต้องการให้สตรีหน้าตาอัปลักษณ์อย่างฟงลี่หลินคอยดูแลปรนนิบัติหญิงสาวเดินตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของฉีเล่อด้วยสายตาเรียวสวยพิฆาตฟาดฟันบุรุษร่างสูงสง่าตรงหน้าอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากว่าฉีเล่อนั้นเน้นย้ำเหลือเกินกับคำว่าปรนนิบัติ ทำเอาชินอ๋องเข้าใจผิดคิดว่าฉีเล่อนั้นติดอกติดใจนางตั้งแต่เมื่อคืนหลังจากที่ได้รับการปรนนิบัติจากนาง ชินอ๋องรีบเอ่ยสั่งการให้นางที่เป็นผู้น้อยสมควรทำตามใจองค์ชายสูงศักดิ์ทุกอย่างทุกค่ำคืน หาไม่แล้วนางต้องรับโทษทัณฑ์ แค่นั้นยังไม่พอ ยามนางเดินผ่านข้ารับใช้ในวังชินอ๋องคนพวกนั้นยังกระซิบกระซาบว่าต้องการที่จะมาเรียนรู้ลีลากระบวนท่าการปรนนิบัติบุรุษจากนางทั้งๆ ที่หน้าตาของนางมีมลทิน นางยังมีความสามารถเหลือร้ายกระทั่งทำให้องค์ชายสูงศักดิ์ติดใจ หลายคนคิดอยากจะเป็นลูกศิษย์นางเลยเชียวฮึ่ม! ฟงลี่หลินครางฮึม