กงล้อเกวียนไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดยามหมุนผ่านทางแคบทอดยาวสู่เชิงเขาตะวันออก หยางเหวินนั่งนิ่งอยู่บนหลังเกวียน ลมหายใจเข้าออกช้าแต่มั่นคง ในอกแม้ยังพร่าเลือนด้วยคำถามจากหมู่บ้านหยิ่นซาน แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่
อาสุยกับตาเถาเป็นผู้ชี้ทางให้เขา ก่อนจะร่ำลาว่า “หากเจ้าต้องการรู้ว่าพลังของเจ้าคือสิ่งใด เจ้าต้องไปหาผู้นั้น เขาคือผู้เดียวที่เคยสัมผัสสิ่งคล้ายกับเจ้ามาก่อน”
“เขาคือใครหรือขอรับ?”
“หลัวซิง”
“หลัวชิงหรือ?”
ชื่อนั้นไม่ได้สะท้อนความคุ้นเคยใดในใจหยางเหวิน ทว่าคำบอกเล่าว่า หลัวซิงเคยเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของยุทธภพ แต่ถอนตัวหายสาบสูญไปเมื่อสามสิบปีก่อน ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
“ข้าต้องไปที่ใด?”
“หุบเขาหานสุ่ย ปลายทางหนึ่งในใต้หล้าที่ไร้เสียงผู้คน”
เกวียนไม้เก่า ๆ นำเขามุ่งหน้าผ่านทุ่งหญ้าและเนินเขา เสียงลมแทรกผ่านรอยแตกร้าวของตัวเกวียน ละอองฝุ่นลอยคลุ้งในแสงแดดยามสาย
คนบังคับเกวียนเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาหงุดหงิด ไม่พูดไม่จา เพียงจ้องถนนเบื้องหน้าด้วยสายตาเคร่งขรึม
หยางเหวินไม่ได้ถามสิ่งใดเพิ่มเติม เขาเพียงพินิจเสียงลมหายใจของคนรอบข้าง จับจังหวะและแรงสั่นสะเทือนของพื้นใต้หล้าใต้ล้อเกวียน
แต่ทันใดนั้นเอง เขากลับรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง ลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ เสียงบางเบา คล้ายใครกำลังหายใจสวนจังหวะของเกวียน
หยางเหวินเหลือบมองรอบตัว ไม่มีผู้ใดอยู่บนเกวียนนอกจากเขา กับชายบังคับเกวียน แต่ลมหายใจนั้น ยังคงอยู่
และมัน อยู่ใต้เกวียน...
หยางเหวินเบี่ยงกายเล็กน้อย สายตากวาดมองพื้นไม้ของเกวียน ลมหายใจประหลาดนั้นยังคงอยู่ มันไม่ใช่เสียงหายใจปกติ แต่เป็นเสียงที่สั้น ลึก และแฝงพลังคล้ายซึมซับสิ่งรอบตัว
เขาเอื้อมมือแตะพื้นเกวียนเบา ๆ แล้วหลับตา ปล่อยสติจมลึกลงตามแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผ่านไม้เกวียนเข้าสู่ปลายนิ้ว
วูบ~
เสียงหายใจแหลมต่ำดังชัดในจิต กลิ่นอายความเย็นเยียบแผ่กระจายออกมารอบกาย ราวกับมีเงาล่องหนกำลังคลานเข้ามาใต้ผิวหนัง
“หยุดเกวียนเถิด” หยางเหวินเอ่ยเสียงเรียบ
คนบังคับเกวียนเหลือบตามองอย่างไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ พลันนั้น แผ่นไม้ด้านขวาของเกวียนกลับยุบลงดัง “กึก!” เงาสีดำพวยพุ่งขึ้นจากใต้เกวียน พุ่งเข้าใส่หยางเหวินดั่งพญางูทะยานล่าเหยื่อ
หยางเหวินเบี่ยงตัวหลบอย่างเฉียดฉิว มือซ้ายปัดอากาศเบา ๆ แต่แรงลมหายใจจากฝ่ามือกลับส่งเงานั้นถอยกลับไปราวถูกผลักด้วยพายุ
เงาร่างนั้นรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่ไม่มีใบหน้า ไม่มีเสียง มีเพียงเสียงหายใจหนัก ๆ และกลิ่นเย็นเฉียบเหมือนความตายที่ไม่มีชื่อ
“เจ้ามาจากที่ใด?” หยางเหวินเอ่ยถามโดยไม่หวังคำตอบ
เงาร่างนั้นพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง คราวนี้เร็วยิ่งกว่าเดิม หยางเหวินสูดลมหายใจลึก กักมันไว้ในอก แล้วปล่อยออกเป็นกระแสเดียวที่แรงและมั่นคง
เสียงลมหายใจของเขาดังไปทั่วเกวียน เงาร่างที่จู่โจมกลับชะงักกลางอากาศ ก่อนจะสั่นไหวแล้วแตกสลายเป็นหมอกบาง ๆ ลอยหายไปในแสงเช้าระหว่างต้นไม้
คนบังคับเกวียนหน้าซีดเผือด เหงื่อท่วมหน้าผาก เขาสบตากับหยางเหวิน แล้วเอ่ยเสียงแหบว่า
“นั่น นั่นมันคืออะไร?”
“บางสิ่งที่ไร้ร่างแต่ยังคงหายใจอยู่” หยางเหวินตอบ
เขาหันไปมองเส้นทางข้างหน้า ลมหายใจเข้าออกช้าลงอีกครั้ง แต่ในอกกลับหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ข้าต้องรีบไปหาหลัวซิง ก่อนที่เงาจะมีลมหายใจของตน”
เกวียนหยุดลงหน้าทางแคบที่ทอดขึ้นสู่เชิงเขา หยางเหวินก้าวลงมาโดยไม่เอ่ยลา คนบังคับเกวียนมองตามเขาด้วยสายตาหวาดหวั่นปนสงสัย ก่อนเร่งม้าจากไปอย่างรวดเร็ว
เส้นทางเบื้องหน้าเงียบสงัดจนไร้แม้เสียงนก ลมหายใจของหยางเหวินกลายเป็นเสียงเดียวที่ดังก้องในหุบเขา เขาก้าวขึ้นเนินอย่างระมัดระวัง สองข้างทางมีเพียงต้นไม้สูงใหญ่ที่ไร้ใบ เงาไม้ทอดแนวเป็นเส้นแปลกประหลาด บางช่วงยาวเกินจริง บางช่วงกลับไม่มีเงาเลย
เมื่อพ้นแนวไม้สูง เขาก็มาถึงหน้ากระท่อมหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ริมธารเล็ก ๆ น้ำในลำธารนิ่งสนิทคล้ายหยุดเวลา
หน้ากระท่อมมีชายชรารูปงามนั่งหันหลังให้ เขาสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา ผมยาวสีขาวมัดเรียบร้อย ไม่มีสิ่งใดในร่างที่ดูเหมือนจอมยุทธ์ มีเพียงความสงบจนแทบไร้ตัวตน
หยางเหวินหยุดยืนอยู่ห่างออกไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ท่านคือหลัวซิงใช่หรือไม่?”
ชายชรามิได้หันกลับมา เพียงยกมือขึ้นวางบนเข่าช้า ๆ ก่อนกล่าวเสียงแผ่วเบา “ใช่ ข้านี่แหละหลัวซิง”
“ข้ามาเพื่อถามถึงสิ่งที่อยู่ในตัวข้า ลมหายใจที่ไม่เหมือนใคร”
คราวนี้หลัวซิงหันมาช้า ๆ ใบหน้าเขาคมคาย แต่ดวงตาลึกและแฝงความเหนื่อยล้าจากกาลเวลา
“เจ้าหายใจอย่างผิดธรรมชาติ แต่เจ้าหายใจด้วยหัวใจตนเอง” เขาหยุดเว้นวรรค แล้วกล่าวต่อ “เข้ามานี่สิ ข้าจะฟังเสียงของเจ้า”
หยางเหวินเดินเข้าไปช้า ๆ นั่งลงเบื้องหน้าเขา
“หลับตาแล้วสูดหายใจเข้า ไม่ต้องควบคุม ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ”
เขาทำตามอย่างสงบ เงียบงัน หลัวซิงหลับตาตาม นิ้วเขาแตะพื้นดินเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงช้า ๆ
“เสียงลมหายใจของเจ้า คือเสียงของคัมภีร์”
หยางเหวินลืมตาขึ้นช้า ๆ “คัมภีร์?”
หลัวซิงมองเขานิ่ง ๆ “คัมภีร์ลมหายใจกลับด้าน เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกโดยไม่รู้ตัว”
หยางเหวินรู้สึกเหมือนใต้หล้าหมุนช้าลง ทุกอย่างรอบกายถูกดึงให้เงียบ เขาเอ่ยถาม
“แล้วข้าคืออะไร?”
หลัวซิงลุกขึ้นยืน หันไปทางธารน้ำ
“เจ้าคือผู้ที่ต้องเลือกว่าจะใช้ลมหายใจเพื่อครอบครอง หรือเพื่อคืนชีวิตให้ผู้คน”
“แต่ก่อนเลือกนั้นเจ้าต้องรู้ก่อนว่า พลังนี้มาจากใคร และสวรรค์เคยปฏิเสธมันมาอย่างไร”
ลมพัดใบไม้แห้งลอยผ่านเท้าเขาเบา ๆ และบนแผ่นหินริมลำธาร ปรากฏอักษรโบราณบาง ๆ ถูกเขียนด้วยลมหายใจเพียงหยดเดียว
ภายในกระท่อมไม้ของหลัวซิง กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยคลุ้ง เขารินชาร้อนใส่ถ้วยดินเผาแล้ววางไว้ตรงหน้าหยางเหวิน ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามอย่างสงบ
“ลมหายใจของเจ้ามิใช่เพียงพลัง แต่มันคือกระบี่”
หยางเหวินยกถ้วยชาในมืออย่างระวัง พลางกล่าวด้วยแววตาครุ่นคิด
“กระบี่ที่ไม่มีรูป?”
“ถูกต้อง” หลัวซิงพยักหน้าเบา ๆ “ลมหายใจที่ผิดธรรมชาติของเจ้า คือสิ่งเดียวกับที่เคยปรากฏในคัมภีร์ต้องห้าม คัมภีร์ลมหายใจกลับด้าน เป็นพลังที่สวรรค์ไม่ต้องการให้มีอยู่ เพราะมันบิดเบือนจังหวะของฟ้าดิน”
หยางเหวินนิ่งงันชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ “ท่านเคยใช้พลังเช่นนี้หรือไม่?”
“เคย” หลัวซิงตอบทันที ดวงตาของเขาฉายภาพอดีตอันแสนห่างไกล
“ข้าเคยใช้มันเพื่อเอาชนะทุกสำนัก ทุกยอดฝีมือ แต่วันหนึ่ง ข้าพบว่าข้าหายใจแทนผู้คนมากเกินไป จนพวกเขาไม่อาจหายใจได้อีก”
เขายกชาขึ้นจิบ ก่อนวางถ้วยลงอย่างแผ่วเบา
“ข้าละทิ้งยุทธภพเพราะข้าไม่อาจควบคุมพลังนี้ได้โดยไม่ทำลายสิ่งรอบข้าง แต่เจ้าแตกต่างจากข้า เจ้ามีหัวใจที่อยากคืนลมหายใจ ไม่ใช่แย่งชิงมัน”
“แต่ข้าไม่เข้าใจ ว่าควรฝึกมันอย่างไร” หยางเหวินพูดเสียงเบา “มันออกมาเองโดยไม่รู้ตัว”
“เพราะเจ้ายังไม่รู้จักมันดีพอ”
หลัวซิงลุกขึ้น แล้วหยิบกระดาษผืนยาววางลงเบื้องหน้า เป็นแผนผังลมหายใจที่ซับซ้อน จุดหมุนทิศทางพลังทั้งห้าถูกวาดด้วยหมึกสีดำเพียงหยดเดียว
“ยังไม่รู้จักดีพอ และควรทำเช่นไร?”
“นี่คือจุดเริ่มต้นของคัมภีร์กลับด้าน หากเจ้าจะเดินต่อ เจ้าต้องฝึกวิธีฟังลมหายใจของผู้อื่น และตอบกลับด้วยลมหายใจของตนเอง”
“หมายถึงอะไร?”
หลัวซิงเดินมายืนด้านหลัง แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว
“หลับตา แล้วฟังเสียงข้า”
หยางเหวินทำตามทันที เขารู้สึกถึงลมหายใจของหลัวซิงที่ค่อย ๆ ขยายออกในอากาศ ไม่ใช่เพียงเสียงสูดและผ่อน แต่เป็นจังหวะ การหมุนวน การสะกดพลังบางอย่าง
“ข้าจะไม่ใช้เสียงพูดกับเจ้า แต่จะพูดด้วยลมหายใจ เจ้าจงตอบกลับข้าด้วยจิต”
หยางเหวินเริ่มหายใจตาม เขาจับจังหวะ สูดเข้าในเวลาที่หลัวซิงผ่อนออก พอหลัวซิงสูดกลับ เขาก็ผ่อนตาม กลายเป็นการสลับจังหวะที่ประหลาดราวกับพูดคุยโดยไร้คำ
ทันใดนั้น สมาธิของเขากระชับแน่น จิตของเขาลอยล่องไปถึงบางสิ่ง ภาพในห้วงมโนปรากฏขึ้น
ภาพของสตรีผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมสีดำยืนท่ามกลางพายุ นางกำลังหายใจ แต่ไม่ใช่จังหวะของมนุษย์
หยางเหวินสะดุ้งลืมตาขึ้นทันที หลัวซิงเพียงยิ้มเล็กน้อย ดวงตานิ่งสงบ
“เพราะเจ้าฟังได้แล้ว เจ้าจึงเห็น”
หยางเหวินหอบหายใจเล็กน้อย แต่แววตาเปล่งประกาย
นี่คือจุดเริ่มต้นของการฝึกลมหายใจที่แท้จริง
และภาพของสตรีในห้วงจิตนั้น จะนำเขาไปสู่ปริศนาที่ยังรอคอยอยู่...
คืนหนึ่ง หยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นนั่งเคียงกันที่เรือนริมหน้าผา ยามค่ำคืนทาบเงาให้ทั่วผืนป่า และสายลมพัดเย็นจนเปลวเทียนบนโต๊ะกลางห้องสั่นไหวหยางเหวินกำลังร้อยสร้อยหินหยกเส้นเล็กด้วยมืออย่างตั้งใจ เขาไม่ได้พูดอะไรมาเป็นเวลานาน แต่สีหน้าเต็มไปด้วยสมาธิไป๋หรูอวิ๋นนั่งมองเขา มือประคองถ้วยชาร้อนเอาไว้ ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่อาจห้ามใจ“เจ้ารู้ไหม” เขาพูดขึ้นในที่สุด โดยไม่เงยหน้าขึ้นจากสายสร้อย “ข้าร้อยสร้อยเส้นนี้ตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อน แต่เพิ่งมาถักปมสุดท้ายได้วันนี้”“เพราะอะไร?”“เพราะวันนี้ ข้ารู้สึกว่ามีอะไรที่สมบูรณ์มากพอแล้วจะมอบให้แก่เจ้า”นางรับสายสร้อยมาอย่างเงียบงัน หยกเขียวที่ถูกขัดจนใสราวหยดน้ำวางอยู่บนฝ่ามือ“เจ้าเคยบอกว่า ไม่ต้องการสิ่งผูกมัด”“ข้าเคยคิดเช่นนั้น” เขาพยักหน้า “แต่ตอนนี้ ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่า ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ใด สายลมหายใจของข้าจะมีกลิ่นชาอบอุ่นแบบเจ้าเสมอ”ไป๋หรูอวิ๋นเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย“ข้าก็คิดเหมือนกัน แต่อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่า ข้ากลัว...”“กลัวอะไร?”“กลัวว่าสักวันหนึ่ง เจ้าจะไม่หายใจอยู่เคียงข้า” นางกล่าวเสียงแผ่วเบาหยางเหวินย
เสียงพิณจากหอเล็กด้านหลังดังขึ้นเบา ๆ เป็นศิษย์สาวคนหนึ่งที่กำลังฝึกบรรเลง“เจ้าจำเพลงแรกที่ข้าเล่นให้เจ้าฟังได้หรือไม่?” ไป๋หรูอวิ๋นถาม“จำได้สิ มันคือ คืนแรกที่ข้าเห็นเจ้าผ่านสายลมและเสียงพิณ”“ตอนนั้นเจ้ายังแทบจะควบคุมลมหายใจของตนไม่ได้”“ตอนนี้ ข้ากลับรู้สึกว่า ลมหายใจของข้าสงบที่สุดเมื่ออยู่กับเจ้า” หยางเหวินยิ้มเสียงพิณยังดังต่อไปเบื้องหลัง ขณะที่สองเงานั่งเคียงกันท่ามกลางแดดยามสายค่ำคืนนั้น แสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องทะลุม่านบางหน้าต่าง ตกกระทบบนพื้นไม้ของเรือนเล็กกลางหุบเขา เงาจากต้นไม้ภายนอกไหวเบา ๆ ตามจังหวะลมหยางเหวินนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาผิง มือถือพู่กันเขียนตำราใหม่อย่างตั้งใจ ไฟจากเตาผิงสะท้อนเงาใบหน้าของเขาให้ดูนิ่งลึก มีแววอ่อนโยนในแววตาเสียงประตูเลื่อนเปิดช้า ๆ ก่อนที่ไป๋หรูอวิ๋นจะเดินเข้ามาพร้อมผ้าห่มผืนบาง นางสวมชุดคลุมบางสีขาวทับเสื้อผ้าด้านใน เส้นผมยาวถึงเอวถูกรวบไว้ลวก ๆ“ยังไม่เข้านอนหรือ?” นางถาม พลางวางผ้าห่มลงข้างเขา“ข้าเขียนได้เพียงไม่กี่บรรทัดเอง” เขาหัวเราะเบา ๆ“แสดงว่าเจ้าคิดถึงเรื่องอื่นอยู่” นางนั่งลงข้างเขา ม้วนขาแนบกับตนเอง เหมือนเคยทำในคืนฤดูหนาวเ
ยุทธภพเงียบสงบมาได้หลายเดือนหลังเหตุการณ์ที่สำนักใหญ่ทั้งหลายหยุดตามล่าคัมภีร์ลมหายใจกลับด้าน เมื่อรู้ว่าเจ้าของพลังได้สละมันไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในเรือนกลางหุบเขาเงียบสงัด ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และเปิดตำราเก่าให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ไม่ใช่แค่กระบวนท่า แต่รวมถึงการเข้าใจหัวใจของตนเองข่าวเล่าขานถึง “จอมยุทธ์ผู้ไม่มีลมหายใจ” แพร่สะพัดออกไปในหมู่บ้านห่างไกล สำนักเล็ก สำนักใหญ่ รวมถึงลูกศิษย์ลูกหาในยุทธภพต่างอยากพานพบชายผู้หนึ่งที่มีพลังจากใจ ไม่ใช่จากฝีมือวันหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งจากเมืองหลวงมาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านของหยางเหวิน“ข้าได้ยินว่า ที่นี่มีคนที่สามารถสอนข้าวิชาที่ไม่ต้องใช้ลมหายใจ” เขาเอ่ยด้วยดวงตาที่เปล่งแสงจริงจังหยางเหวินยิ้ม เพียงกล่าวว่า “ไม่มีวิชาที่ไม่ใช้ลมหายใจ มีแต่ใจที่หายใจให้ถูกเท่านั้น”เขาพาเด็กหนุ่มไปนั่งใต้ต้นหลิว สอนให้หลับตาฟังเสียงหัวใจตนเองแทนการเร่งฝึกฝนพลังภายนอกไป๋หรูอวิ๋นมองภาพนั้นจากระยะไกล ดวงหน้าเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะหันกลับไปคัดลอกคัมภีร์เล่มใหม่ที่พวกเขาตั้งชื่อว่า “ลมหายใจแห่งใจ”ขณะเดียวกัน ที่
ไป๋หรูอวิ๋นเงียบงันในคืนที่สายลมสะบัดผ่านยอดไม้ ดวงตานางทอดมองสายน้ำเบื้องหน้าโดยไม่กะพริบ แม้ท่าทีภายนอกจะนิ่งเฉยเช่นเดิม แต่หยางเหวินสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แปลกไป“เจ้าหายใจถี่ขึ้น” เขากล่าวเบา ๆ ขณะนั่งลงข้างนางใต้ต้นหลิว “เกิดอะไรขึ้น”ไป๋หรูอวิ๋นไม่ตอบในทันที ริมฝีปากขยับเพียงน้อยราวลังเล“ข้ารู้ตัวดีว่าข้า ไม่มีลมหายใจของตนเองมาตั้งแต่เกิด” นางกล่าวช้า ๆ “ชีวิตของข้าอาศัยลมหายใจของผู้อื่น ผ่านพิธีของสำนักเก่าที่ข้าจากมา”หยางเหวินเบิกตากว้างเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่า...”“ใช่ ข้าคือสตรีผู้ถูกฝึกให้ดำรงอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตของผู้อื่น” เสียงของนางเรียบเฉย “ข้าจึงไม่กล้าผูกพันกับผู้ใดนัก เพราะหากคนผู้นั้นสูญเสียพลัง ข้าก็จะตาย”เขาเงียบงัน ลมหายใจหนึ่งเคลื่อนผ่านร่างเขาดังแผ่วเบา ก่อนเขาจะกล่าว “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้ลมหายใจของข้าแก่เจ้า”ไป๋หรูอวิ๋นเบิกตา ดวงหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอดมีรอยไหวสั่น“อย่าพูดอะไรบ้า ๆ สิ เจ้าคือผู้ถือครองคัมภีร์ เจ้าจะเสียพลังไม่ได้”“หากพลังนี้มีไว้เพื่อปกป้องผู้คน ข้าจะเริ่มจากเจ้าก่อน” หยางเหวินกล่าวชัดเจน “เจ้าไม่ใช่แค่ศิษย์ร่วมสำนัก หรือเพื่อนร่วมทาง เจ้า
ลมหนาวปลายฤดูพัดผ่านสันเขาต้าหลาน ดอกบ๊วยผลิดอกเต็มกิ่ง ท่ามกลางผืนหิมะที่ยังไม่ละทิ้งกลิ่นไอเยือกเย็นหยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นยืนอยู่เบื้องล่างยอดเขา สายตาจับจ้องเส้นทางที่เคยเดินผ่านมาเมื่อหลายเดือนก่อน“มันคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง” หยางเหวินกล่าว พลางยกมือแตะอก “ข้ารู้ว่าพลังทั้งหมด จะต้องจบลงที่นี่”“และจบลงกับเขา หลัวซิง” ไป๋หรูอวิ๋นพูดแผ่วเบา ดวงตาคล้ายมีหมอกบางแห่งความรู้สึกค้างคาทั้งสองปีนสู่ยอดเขาอย่างช้า ๆ ฝ่าลมหนาว หิมะ และเสียงลมหายใจของธรรมชาติที่ยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งเมื่อถึงลานหน้าศาลาพักเก่า เสียงกระแอมหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน“เจ้ากลับมาแล้วหรือ”เสียงนั้นมาจากหลัวซิง ผู้ชราลงกว่าเดิม แต่แววตายังแจ่มกระจ่างราวกับเคยเฝ้ามองใต้หล้าอย่างลึกซึ้ง“ท่านอาจารย์” หยางเหวินประสานมือคารวะด้วยความเคารพ “ข้ากลับมา พร้อมคัมภีร์”หลัวซิงเดินออกมาช้า ๆ มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือแนบหลัง “เจ้าจึงรู้แล้ว ว่าแท้จริง พลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถือครอง แต่คือสิ่งที่มอบ”หยางเหวินพยักหน้า “และข้าจะมอบมัน อย่างที่ท่านเคยมอบลมหายใจแรกให้ข้า”หลัวซิงหัวเราะเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็พร้อมแ
รุ่งเช้า ณ ริมผาสูงทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาเขตสำนักฟ้าเทียน แดดยามเช้าส่องลอดม่านหมอกคลี่ตัวบางเบา ขณะที่หยางเหวินกับไป๋หรูอวิ๋นยืนอยู่หน้าแท่นหินจารึกโบราณที่แทบจะถูกเถาวัลย์กลืนกินจนหมด“นี่คือประตูขั้นแรกของเขตต้องห้ามสำนักฟ้าเทียน” ไป๋หรูอวิ๋นกระซิบหยางเหวินใช้ปลายนิ้วสัมผัสลวดลายโบราณบนแผ่นหิน มีลายเส้นหนึ่งที่เหมือนกระแสลมหายใจคดเคี้ยวขึ้นฟ้า“นี่ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ นี่คือแบบฝึกลมหายใจสายหนึ่ง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ใช่” นางพยักหน้า “ท่านอาจารย์เคยบอกว่าหากลมหายใจของผู้ใดเข้าถึงจังหวะที่จารึกนี้ปรากฏ ประตูสำนักจะเปิดออกเองโดยไม่ต้องใช้แรง”หยางเหวินนั่งลงขัดสมาธิ ฝึกปราณหน้าจารึกนั้นทันที ไป๋หรูอวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ เขา หลับตาแนบแน่น ปรับลมหายใจให้นิ่งเฉกเช่นกัน แม้ไร้ชีพจรของตน แต่นางยังฝึกเพื่อร่วมสภาวะกับเขาให้มากที่สุดลมหายใจแรกคือสายหมอก ลมหายใจที่สองคือเสียงของเขา และลมหายใจที่สามคือเสียงของใต้หล้าที่ไร้คำพูดผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงกึกเบา ๆ ดังขึ้นที่แท่นหิน จากนั้นพื้นหินตรงหน้าก็สั่นไหว เผยบันไดหินทอดลึกลงไปเบื้องล่าง“เปิดแล้ว”หยางเหวินลืมตา ดวงตาเปล่งประกายเงี