แสงแดดยามเช้าทอดผ่านม่านหมอกของขุนเขาต้าหลาน ส่องกระทบยอดไม้และดอกหญ้าริมทางในความสงบดูงดงาม ทว่าหยางเหวินที่กำลังเดินไปยังหมู่บ้านในหุบเขา กลับรู้สึกผิดปกติบางอย่างตั้งแต่ย่างเท้าเข้าเขตแดนแห่งนั้น
หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า “หมู่บ้านหยิ่นซาน” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่หลบเร้นอยู่ในหุบเขาด้านตะวันตกของเทือกเขา เป็นจุดหมายที่ตาเถาเคยเล่าให้ฟังว่ามีผู้คนแปลกหน้าอาศัยอยู่มากขึ้นในช่วงปีหลัง
แต่เมื่อย่างเข้าสู่เขตหมู่บ้าน หยางเหวินกลับพบสิ่งประหลาดอย่างหนึ่ง ทุกสิ่งในหมู่บ้านดูปกติดี ผู้คนเดินไปมา ทำงานบ้าน หาบน้ำ ถางหญ้า พูดคุยกันด้วยน้ำเสียงเบา ๆ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเขา
หรือจะไม่มีใคร อยากเห็นเขา
ไม่ว่าจะเดินผ่านกลุ่มเด็กที่เล่นก้อนหิน หรือผ่านคนชราที่นั่งยองยองใต้ต้นไม้ ไม่มีใครมองมาที่เขา ไม่มีคำทัก ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีแม้แต่แววตาแห่งความสงสัย
สิ่งที่น่าพรั่นพรึงยิ่งกว่านั้นคือ แสงแดดยามสายทอดผ่านร่างของพวกเขา แต่ไม่มีเงาใดปรากฏเลย
หยางเหวินหยุดยืนกลางลานดิน แหงนหน้าขึ้นมองดวงตะวัน แล้วก้มลงมองเงาของตนเอง เงาของเขามีอยู่จริง
เขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของหมู่บ้านนี้
และหมู่บ้านนี้ อาจไม่ใช่ของใต้หล้าที่ปกติ
หยางเหวินเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ละก้าวของเขาราวกับเหยียบผ่านมวลอากาศที่แน่นขนัด เสียงลมหายใจของตนเองกลับได้ยินชัดเจนกว่าปกติ ทุกฝีเท้าก้องสะท้อนในหู แต่เสียงของชาวบ้านกลับไม่มีแม้เพียงกระซิบ
เขาเดินไปหยุดหน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งดูเก่าแก่ที่สุดในหมู่บ้าน ตัวบ้านเป็นไม้ฉำฉาที่ลอกล่อน ประตูแง้มไว้น้อย ๆ ราวกับเชิญชวน
เมื่อยื่นมือผลักประตูเข้าไป ภายในกลับเย็นเยียบ ราวกับไม่ได้ใช้มานานปี กลิ่นไม้ผุและฝุ่นจับแน่น ผ้าม่านขาดรุ่ยปลิวไหวโดยไร้ลม
หยางเหวินก้าวเข้าไปทีละก้าว ขณะเดินผ่านบานหน้าต่าง ร่างของเขาสะท้อนบนแสงที่ลอดผ่าน แต่ภาพในเงากลับสั่นไหวผิดธรรมชาติ
“เจ้าไม่ควรเข้ามา”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากมุมห้อง เป็นเสียงแก่ชราแผ่วเบา แต่แฝงแรงสะกดราวสายลมหนาวกระแทกใบหน้า
หยางเหวินหันขวับ พบชายชราในชุดคลุมสีหม่น นั่งอยู่ข้างเตาไฟที่ไร้เปลว แววตาของเขาคมกริบราวเหล็กกล้า
“ท่านเป็นใคร?” หยางเหวินถามอย่างระวัง
“ข้าคือผู้เฝ้าหมู่บ้านนี้”
“หมู่บ้านอะไร? ทำไมทุกคนไม่มีเงา? แล้วเหตุใดถึงไม่มีใครสนใจข้าเลย?”
ชายชราไม่ได้ตอบทันที เขาเงียบไปนาน ก่อนจะถอนหายใจแผ่ว
“พวกเขาไม่มีลมหายใจเป็นของตนเองอีกต่อไปแล้ว”
หยางเหวินขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
“ผู้คนในหมู่บ้านนี้ เคยมีชีวิต แต่สูญเสียลมหายใจแห่งตนไป เมื่อครั้งหนึ่งมีพลังที่ควบคุมการหายใจของผู้อื่นได้มาถึงที่นี่ ลมหายใจของพวกเขาจึงถูกกลืนไปหมด หลงเหลือเพียงร่างที่ทำกิจวัตรไปวัน ๆ”
“แล้วเหตุใดข้าถึงเห็นเงา แต่พวกเขากลับไม่มี?”
ชายชราเงยหน้าขึ้นช้า ๆ “เพราะเจ้ายังใช้ลมหายใจของตนเองอยู่ แต่ขณะเดียวกัน เจ้าก็กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ควบคุมผู้อื่น”
คำพูดนั้นแทงลึกถึงใจ หยางเหวินเม้มปากแน่น เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเสียงลมหายใจของตนที่เปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงพลัง แต่คือแรงสะท้อนที่อาจพรากชีวิตจากผู้อื่น
“แล้วข้าควรทำอย่างไร?”
ชายชราเอื้อมมือไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ยาวออกมาวางตรงหน้าเขา
“ในกระบอกนี้ มีเสียงลมหายใจสุดท้ายของผู้คนทั้งหมู่บ้าน หากเจ้าเปิดมัน ลมหายใจของพวกเขาจะหลุดคืน แต่เจ้าต้องยอมแลกบางอย่างกลับไป”
หยางเหวินนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาไหววูบ ในอกมีทั้งความกลัวและความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ชายชราเอ่ยปิดท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ลมหายใจ คือคำสัตย์ของชีวิต หากเจ้าปล่อยให้มันไร้ทิศไร้ราก วันหนึ่งเจ้าจะไร้เงาไม่ต่างไปจากพวกเขา”
หยางเหวินจ้องกระบอกไม้ไผ่ที่วางอยู่ตรงหน้า ความเงียบแผ่คลุมทั่วห้องจนแม้แต่เสียงหัวใจเต้นของตนเองยังดังชัด
“หากข้าเปิดมัน ข้าจะต้องเสียอะไรหรือ?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา
ชายชรายิ้มบาง ๆ ดวงตาภายใต้เปลือกตาเหี่ยวย่นกลับลึกล้ำ “เจ้าอาจเสียบางสิ่งที่เจ้าก็ไม่รู้ว่าตนมี หรือบางที เจ้าจะได้รู้จักตนเองมากขึ้น”
หยางเหวินหลับตาลงชั่วขณะ ลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง ภาพใบหน้าของตาเถาและอาสุยปรากฏในความคิด ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของผู้คนที่ช่วยดูแลตนยามไร้ความทรงจำ
“ข้าจะเปิดมัน...”
เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้คนในหมู่บ้านนี้มีชีวิตอย่างว่างเปล่า มือของเขาค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมา มันเบากว่าที่คิด ทว่าในความเบานั้นแฝงแรงกดดันแปลกประหลาดรอบกาย
เมื่อเขาบิดเปิดฝาออก เสียงลมหายใจนับไม่ถ้วนพลันพุ่งทะลักออกมาราวสายลมป่า ล้อมรอบทั้งศาลาด้วยเสียงที่ไม่อาจมองเห็น เสียงสูดและผ่อนของเด็กเล็ก ชายชรา หญิงสาว เสียงไอแผ่ว เสียงถอนใจ เสียงหอบเหนื่อย ทุกเสียงหลอมรวมเป็นพลังคล้ายสายน้ำไหลย้อนสู่ที่เดิม
ใบไม้ภายนอกศาลาร่วงกราว พื้นดินสั่นเล็กน้อย และในทันใด เสียงร้องเบา ๆ ของผู้คนในหมู่บ้านก็ดังขึ้นเป็นครั้งแรก
“อา”
“อ่า”
“เจ้าหนูนั่นใครกัน?”
“นี่ข้าฝันอะไรไปหรือเปล่า?”
หยางเหวินวิ่งออกจากบ้านหลังนั้น พบผู้คนเริ่มยืนงงกลางลานบ้าน สีหน้าสับสน แต่แววตามีชีวิตชีวากลับมาอีกครั้ง แสงแดดยามสายทอเงาของพวกเขาลงบนพื้นดินทีละคน ทีละร่าง
เงากลับมาแล้ว
และพวกเขาก็หายใจอีกครั้งแล้ว
ชายชราผู้เฝ้าบ้านเดินออกมาหยุดข้างเขา ก่อนเอ่ยเบา ๆ
“เจ้าเพิ่งคืนคำสัตย์ให้กับใต้หล้า”
“คำสัตย์หรือ?” หยางเหวินขมวดคิ้ว
“สัจจะของผู้ที่มีพลังเหนือชีวิตผู้อื่น มิใช่การควบคุม แต่คือการคืนชีวิตให้แก่สิ่งที่สมควรมีชีวิต”
หยางเหวินไม่ตอบ แต่ในใจกลับเงียบสงบอย่างประหลาด เขายังไม่รู้ว่าตนคือใคร แต่วันนี้ เขาเลือกที่จะเป็นผู้คืนลมหายใจ มิใช่ผู้ช่วงชิง และที่ข้อมือของเขาในขณะนั้นมีลวดลายเส้นเล็กคล้ายลายลมหายใจ ปรากฏขึ้นจาง ๆ ราวกับคำสัญญาที่ใต้หล้าสลักไว้ให้
แม้เงาจะกลับคืน และชาวบ้านจะฟื้นสติจากความมืดมัว หยางเหวินกลับรู้สึกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ยังคงซ่อนบางสิ่งไว้ใต้เงาสว่างนั้น
คืนนั้น เขานอนไม่หลับ ลมหายใจที่เขารู้สึกได้ในอกกลับสั่นไหวผิดจังหวะ คล้ายมีเสียงอื่นปะปนเข้ามา
เมื่อออกมาเดินยามราตรี เขาพบชายชราเฝ้าบ้านคนเดิมยืนอยู่ริมบ่อน้ำเก่าใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงตาเฝ้ามองบานไม้ผุพังที่ปิดฝาบ่อไว้
“มีสิ่งใดอยู่ในนั้น?” หยางเหวินเอ่ยถาม
ชายชราหันมามองเขา ก่อนกล่าวเบา ๆ
“ที่ใต้หมู่บ้านนี้ คือร่องรอยของพลังลมหายใจที่ถูกผนึกไว้แต่โบราณ เป็นจุดเริ่มต้นของคำสาปที่กลืนลมหายใจผู้คนเมื่อหลายสิบปีก่อน”
“ท่านหมายถึง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่”
ชายชราเดินเข้าไปใกล้บ่อไม้ แล้วลูบบานฝาเบา ๆ
“เมื่อสามสิบปีก่อน เคยมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมาที่นี่ เขาพยายามควบคุมลมหายใจของทั้งหมู่บ้านเพื่อฝึกวิชาขั้นสูง แต่สูญเสียการควบคุมไป ลมหายใจเหล่านั้นจึงกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่มีที่สิงสู่”
หยางเหวินนิ่งฟัง รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล คล้ายบางอย่างในตัวเขาสะท้อนกับคำพูดเหล่านั้น
“จอมยุทธ์ผู้นั้น เขาคือใคร?”
ชายชราส่ายหน้า “ไม่มีผู้ใดรู้ชื่อแน่ชัด ผู้คนเพียงเรียกเขาว่า ผู้ไร้เงา”
“ผู้ไร้เงา?”
หยางเหวินเม้มปากแน่น ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจเขาจึงสั่นไหวหนักยิ่งนักกับชื่อนั้น
ชายชราหยิบถุงผ้าผืนหนึ่งส่งให้เขา
“ในนี้มีแผนที่สู่ทางเดินใต้ดิน หากวันหนึ่งเจ้าพร้อม จงลงไปที่นั่นด้วยตนเอง”
หยางเหวินรับไว้โดยไม่กล่าวถ้อยคำใด แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยคำถาม
รุ่งเช้า ก่อนจากหมู่บ้าน หยางเหวินยืนมองแสงอาทิตย์ที่ฉายผ่านม่านหมอกเบื้องหน้า เห็นผู้คนยิ้มให้ตนเป็นครั้งแรก แม้เงาจะกลับคืน แต่เงาในใจเขากลับเพิ่งเริ่มต้น และเสียงลมหายใจในอกยังคงสั่นไหว
คืนหนึ่ง หยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นนั่งเคียงกันที่เรือนริมหน้าผา ยามค่ำคืนทาบเงาให้ทั่วผืนป่า และสายลมพัดเย็นจนเปลวเทียนบนโต๊ะกลางห้องสั่นไหวหยางเหวินกำลังร้อยสร้อยหินหยกเส้นเล็กด้วยมืออย่างตั้งใจ เขาไม่ได้พูดอะไรมาเป็นเวลานาน แต่สีหน้าเต็มไปด้วยสมาธิไป๋หรูอวิ๋นนั่งมองเขา มือประคองถ้วยชาร้อนเอาไว้ ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่อาจห้ามใจ“เจ้ารู้ไหม” เขาพูดขึ้นในที่สุด โดยไม่เงยหน้าขึ้นจากสายสร้อย “ข้าร้อยสร้อยเส้นนี้ตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อน แต่เพิ่งมาถักปมสุดท้ายได้วันนี้”“เพราะอะไร?”“เพราะวันนี้ ข้ารู้สึกว่ามีอะไรที่สมบูรณ์มากพอแล้วจะมอบให้แก่เจ้า”นางรับสายสร้อยมาอย่างเงียบงัน หยกเขียวที่ถูกขัดจนใสราวหยดน้ำวางอยู่บนฝ่ามือ“เจ้าเคยบอกว่า ไม่ต้องการสิ่งผูกมัด”“ข้าเคยคิดเช่นนั้น” เขาพยักหน้า “แต่ตอนนี้ ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่า ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ใด สายลมหายใจของข้าจะมีกลิ่นชาอบอุ่นแบบเจ้าเสมอ”ไป๋หรูอวิ๋นเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย“ข้าก็คิดเหมือนกัน แต่อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่า ข้ากลัว...”“กลัวอะไร?”“กลัวว่าสักวันหนึ่ง เจ้าจะไม่หายใจอยู่เคียงข้า” นางกล่าวเสียงแผ่วเบาหยางเหวินย
เสียงพิณจากหอเล็กด้านหลังดังขึ้นเบา ๆ เป็นศิษย์สาวคนหนึ่งที่กำลังฝึกบรรเลง“เจ้าจำเพลงแรกที่ข้าเล่นให้เจ้าฟังได้หรือไม่?” ไป๋หรูอวิ๋นถาม“จำได้สิ มันคือ คืนแรกที่ข้าเห็นเจ้าผ่านสายลมและเสียงพิณ”“ตอนนั้นเจ้ายังแทบจะควบคุมลมหายใจของตนไม่ได้”“ตอนนี้ ข้ากลับรู้สึกว่า ลมหายใจของข้าสงบที่สุดเมื่ออยู่กับเจ้า” หยางเหวินยิ้มเสียงพิณยังดังต่อไปเบื้องหลัง ขณะที่สองเงานั่งเคียงกันท่ามกลางแดดยามสายค่ำคืนนั้น แสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องทะลุม่านบางหน้าต่าง ตกกระทบบนพื้นไม้ของเรือนเล็กกลางหุบเขา เงาจากต้นไม้ภายนอกไหวเบา ๆ ตามจังหวะลมหยางเหวินนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาผิง มือถือพู่กันเขียนตำราใหม่อย่างตั้งใจ ไฟจากเตาผิงสะท้อนเงาใบหน้าของเขาให้ดูนิ่งลึก มีแววอ่อนโยนในแววตาเสียงประตูเลื่อนเปิดช้า ๆ ก่อนที่ไป๋หรูอวิ๋นจะเดินเข้ามาพร้อมผ้าห่มผืนบาง นางสวมชุดคลุมบางสีขาวทับเสื้อผ้าด้านใน เส้นผมยาวถึงเอวถูกรวบไว้ลวก ๆ“ยังไม่เข้านอนหรือ?” นางถาม พลางวางผ้าห่มลงข้างเขา“ข้าเขียนได้เพียงไม่กี่บรรทัดเอง” เขาหัวเราะเบา ๆ“แสดงว่าเจ้าคิดถึงเรื่องอื่นอยู่” นางนั่งลงข้างเขา ม้วนขาแนบกับตนเอง เหมือนเคยทำในคืนฤดูหนาวเ
ยุทธภพเงียบสงบมาได้หลายเดือนหลังเหตุการณ์ที่สำนักใหญ่ทั้งหลายหยุดตามล่าคัมภีร์ลมหายใจกลับด้าน เมื่อรู้ว่าเจ้าของพลังได้สละมันไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในเรือนกลางหุบเขาเงียบสงัด ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และเปิดตำราเก่าให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ไม่ใช่แค่กระบวนท่า แต่รวมถึงการเข้าใจหัวใจของตนเองข่าวเล่าขานถึง “จอมยุทธ์ผู้ไม่มีลมหายใจ” แพร่สะพัดออกไปในหมู่บ้านห่างไกล สำนักเล็ก สำนักใหญ่ รวมถึงลูกศิษย์ลูกหาในยุทธภพต่างอยากพานพบชายผู้หนึ่งที่มีพลังจากใจ ไม่ใช่จากฝีมือวันหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งจากเมืองหลวงมาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านของหยางเหวิน“ข้าได้ยินว่า ที่นี่มีคนที่สามารถสอนข้าวิชาที่ไม่ต้องใช้ลมหายใจ” เขาเอ่ยด้วยดวงตาที่เปล่งแสงจริงจังหยางเหวินยิ้ม เพียงกล่าวว่า “ไม่มีวิชาที่ไม่ใช้ลมหายใจ มีแต่ใจที่หายใจให้ถูกเท่านั้น”เขาพาเด็กหนุ่มไปนั่งใต้ต้นหลิว สอนให้หลับตาฟังเสียงหัวใจตนเองแทนการเร่งฝึกฝนพลังภายนอกไป๋หรูอวิ๋นมองภาพนั้นจากระยะไกล ดวงหน้าเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะหันกลับไปคัดลอกคัมภีร์เล่มใหม่ที่พวกเขาตั้งชื่อว่า “ลมหายใจแห่งใจ”ขณะเดียวกัน ที่
ไป๋หรูอวิ๋นเงียบงันในคืนที่สายลมสะบัดผ่านยอดไม้ ดวงตานางทอดมองสายน้ำเบื้องหน้าโดยไม่กะพริบ แม้ท่าทีภายนอกจะนิ่งเฉยเช่นเดิม แต่หยางเหวินสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แปลกไป“เจ้าหายใจถี่ขึ้น” เขากล่าวเบา ๆ ขณะนั่งลงข้างนางใต้ต้นหลิว “เกิดอะไรขึ้น”ไป๋หรูอวิ๋นไม่ตอบในทันที ริมฝีปากขยับเพียงน้อยราวลังเล“ข้ารู้ตัวดีว่าข้า ไม่มีลมหายใจของตนเองมาตั้งแต่เกิด” นางกล่าวช้า ๆ “ชีวิตของข้าอาศัยลมหายใจของผู้อื่น ผ่านพิธีของสำนักเก่าที่ข้าจากมา”หยางเหวินเบิกตากว้างเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่า...”“ใช่ ข้าคือสตรีผู้ถูกฝึกให้ดำรงอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตของผู้อื่น” เสียงของนางเรียบเฉย “ข้าจึงไม่กล้าผูกพันกับผู้ใดนัก เพราะหากคนผู้นั้นสูญเสียพลัง ข้าก็จะตาย”เขาเงียบงัน ลมหายใจหนึ่งเคลื่อนผ่านร่างเขาดังแผ่วเบา ก่อนเขาจะกล่าว “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้ลมหายใจของข้าแก่เจ้า”ไป๋หรูอวิ๋นเบิกตา ดวงหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอดมีรอยไหวสั่น“อย่าพูดอะไรบ้า ๆ สิ เจ้าคือผู้ถือครองคัมภีร์ เจ้าจะเสียพลังไม่ได้”“หากพลังนี้มีไว้เพื่อปกป้องผู้คน ข้าจะเริ่มจากเจ้าก่อน” หยางเหวินกล่าวชัดเจน “เจ้าไม่ใช่แค่ศิษย์ร่วมสำนัก หรือเพื่อนร่วมทาง เจ้า
ลมหนาวปลายฤดูพัดผ่านสันเขาต้าหลาน ดอกบ๊วยผลิดอกเต็มกิ่ง ท่ามกลางผืนหิมะที่ยังไม่ละทิ้งกลิ่นไอเยือกเย็นหยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นยืนอยู่เบื้องล่างยอดเขา สายตาจับจ้องเส้นทางที่เคยเดินผ่านมาเมื่อหลายเดือนก่อน“มันคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง” หยางเหวินกล่าว พลางยกมือแตะอก “ข้ารู้ว่าพลังทั้งหมด จะต้องจบลงที่นี่”“และจบลงกับเขา หลัวซิง” ไป๋หรูอวิ๋นพูดแผ่วเบา ดวงตาคล้ายมีหมอกบางแห่งความรู้สึกค้างคาทั้งสองปีนสู่ยอดเขาอย่างช้า ๆ ฝ่าลมหนาว หิมะ และเสียงลมหายใจของธรรมชาติที่ยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งเมื่อถึงลานหน้าศาลาพักเก่า เสียงกระแอมหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน“เจ้ากลับมาแล้วหรือ”เสียงนั้นมาจากหลัวซิง ผู้ชราลงกว่าเดิม แต่แววตายังแจ่มกระจ่างราวกับเคยเฝ้ามองใต้หล้าอย่างลึกซึ้ง“ท่านอาจารย์” หยางเหวินประสานมือคารวะด้วยความเคารพ “ข้ากลับมา พร้อมคัมภีร์”หลัวซิงเดินออกมาช้า ๆ มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือแนบหลัง “เจ้าจึงรู้แล้ว ว่าแท้จริง พลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถือครอง แต่คือสิ่งที่มอบ”หยางเหวินพยักหน้า “และข้าจะมอบมัน อย่างที่ท่านเคยมอบลมหายใจแรกให้ข้า”หลัวซิงหัวเราะเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็พร้อมแ
รุ่งเช้า ณ ริมผาสูงทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาเขตสำนักฟ้าเทียน แดดยามเช้าส่องลอดม่านหมอกคลี่ตัวบางเบา ขณะที่หยางเหวินกับไป๋หรูอวิ๋นยืนอยู่หน้าแท่นหินจารึกโบราณที่แทบจะถูกเถาวัลย์กลืนกินจนหมด“นี่คือประตูขั้นแรกของเขตต้องห้ามสำนักฟ้าเทียน” ไป๋หรูอวิ๋นกระซิบหยางเหวินใช้ปลายนิ้วสัมผัสลวดลายโบราณบนแผ่นหิน มีลายเส้นหนึ่งที่เหมือนกระแสลมหายใจคดเคี้ยวขึ้นฟ้า“นี่ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ นี่คือแบบฝึกลมหายใจสายหนึ่ง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ใช่” นางพยักหน้า “ท่านอาจารย์เคยบอกว่าหากลมหายใจของผู้ใดเข้าถึงจังหวะที่จารึกนี้ปรากฏ ประตูสำนักจะเปิดออกเองโดยไม่ต้องใช้แรง”หยางเหวินนั่งลงขัดสมาธิ ฝึกปราณหน้าจารึกนั้นทันที ไป๋หรูอวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ เขา หลับตาแนบแน่น ปรับลมหายใจให้นิ่งเฉกเช่นกัน แม้ไร้ชีพจรของตน แต่นางยังฝึกเพื่อร่วมสภาวะกับเขาให้มากที่สุดลมหายใจแรกคือสายหมอก ลมหายใจที่สองคือเสียงของเขา และลมหายใจที่สามคือเสียงของใต้หล้าที่ไร้คำพูดผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงกึกเบา ๆ ดังขึ้นที่แท่นหิน จากนั้นพื้นหินตรงหน้าก็สั่นไหว เผยบันไดหินทอดลึกลงไปเบื้องล่าง“เปิดแล้ว”หยางเหวินลืมตา ดวงตาเปล่งประกายเงี