การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดี
รถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจรแล้วสายตาคมก็กวาดมองข้างทางไปด้วย แล้วร่างบางของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่ริมฟุตบาทซึ่งรถของเขาเลื่อนผ่านก็ทำให้ตติยะยิ้มออก
“แซนด์”
ระหว่างนั้นรถติดอีกครั้งทำให้ชายหนุ่มมีโอกาส เขาโน้มตัวไปอีกด้านขณะที่กระจกกำลังลดลง ร้องเรียกคนที่กำลังจะเดินผ่านไปเอาไว้
“แซนด์ แซนด์”
หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนตุ๊กตาพอดีตัวกับกระโปรงบานพลิ้วเหนือเข่าหันมาทางเขา ใบหน้าที่มีผมหยักลอนเป็นคลื่นสีน้ำตาลเข้มล้อมรอบดูงุนงงเล็กน้อย
“ขึ้นรถสิ จะไปไหน เดี๋ยวติวไปส่งให้”
เขาบอกอย่างสบายๆ พร้อมกับยิ้มให้ ขณะที่อีกฝ่ายจ้องเขาสักครู่ก่อนจะทำตาโตเหมือนตกใจแล้วก็ทำท่าเหมือนกำลังตัดสินใจเมื่อเขาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับรอเธอ
“มาเร็วเข้า รถกำลังติดอยู่ ถ้ารถเคลื่อนเดี๋ยวได้โดนบีบแตรไล่พอดี”
หญิงสาวหันมองรอบๆ เห็นหลายคนที่เดินอยู่ใกล้ๆ หันมามอง เพราะชายหนุ่มตะโกนพูดกับเธอแข่งกับเสียงรถที่ติดเครื่องจอดนิ่งๆ หลายคัน รวมทั้งเสียงรถจากถนนอีกฝั่งหนึ่งที่ยังเคลื่อนตัวตามปกติอยู่ จึงก้าวเข้าไปใกล้แล้วขึ้นรถไปในที่สุด
“ไม่คิดว่าจะเจอแซนด์อีก ติวยังแปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้เจอแซนด์แถวนี้บ่อยๆ” ตติยะเอ่ยอย่างสนิทสนมทันทีที่หญิงสาวขึ้นรถมา “แซนด์กำลังจะไปทำงานเหรอ ย้ายมาอยู่แถวนี้แล้วเหรอ ทำไมไม่บอกกันบ้างฮึ”
“เอ่อ...เปล่า ที่ทำงานแถวนี้น่ะ” หญิงสาวบอกเบาๆ
“งั้นเหรอ เดี๋ยวติวไปส่งที่สำนักทนายความให้นะ อยู่ตรงไหนบอกได้เลย”
“ไม่...เอ่อ...ไม่ต้องก็ได้ คือว่า เอ่อ...วันนี้ไม่ได้จะไปที่สำนักทนายความ”
“อ้าว...ไหนบอกว่าที่ทำงานอยู่แถวนี้ ติวก็เลยนึกว่ามาทำงาน”
ชายหนุ่มอุทานอย่างงงๆ แล้วหันไปกวาดสายตามองเพื่อนสาวอย่างเต็มตาก่อนจะยิ้มพราว ทั้งใบหน้าและแววตาของชายหนุ่มวาววามขณะพูด
“วันนี้ดูสวยผิดปกตินะ”
อีกฝ่ายหันมามองหน้าเขาแล้วทำหน้าเหวอ ขณะที่ชายหนุ่มละสายตาไปเพื่อมองทางเพราะรถเริ่มเคลื่อนตัวได้แล้ว
“อย่าบอกนะว่ามีนัด มาแถวๆ ที่ทำงานแบบนี้ มีนัดกับพี่ชวินเหรอฮึ”
คนถามถามทั้งที่ยังมองไปข้างหน้า ดูจากการแต่งตัวของหญิงสาวแล้วคิดว่าตัวเองคงเดาไม่ผิด
“เปล่าสักหน่อย”
“ไม่ได้นัดกับพี่ชวินแล้วนัดกับใคร พี่เขาดูเป็นคนดีนะ เขาดูแลแซนด์มาตั้งหลายปีแต่ทำท่าเหมือนไม่กล้าแตะ ดูตลกดี ติวเชียร์คนนี้”
“ฉันมาทำงาน” คนที่นั่งฟังอีกฝ่ายพล่ามไร้สาระเอ่ยเสียงเหมือนรำคาญ
“เอ๊ะ...งานอะไร”
คราวนี้รถหยุดอีกครั้งตติยะจึงมีโอกาสหันกลับมาจ้องหญิงสาวเขม็ง วันนี้เพื่อนเขาดูแปลกไป ไม่ได้เกี่ยวกับชุดที่เธอใส่หรอก ถึงแม้ปกติเอื้อมทรายจะแต่งตัวแบบเรียบๆ ไม่เด็กเกินไปแล้วก็โตเกินไป แต่ไม่เคยใส่อะไรที่ดูน่ารักๆ แบบวันนี้ แต่แปลกใจกับท่าทางและแววตาที่เธอมองเขาต่างหาก ความจริงเธอก็มองเขาเหมือนที่มองเมื่อวานนี้ ทว่านั่นแหละมันทำให้ตติยะรู้สึกถึงความห่างเหิน
“แซนด์ยังทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กันอยู่อีกเหรอ” เขายังอดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้
“ก็...อืม”
“อะไรกัน งานที่สำนักทนายได้เงินน้อยหรือไง ว้า...งั้นเอางี้ไหม มาทำงานกับติว เดี๋ยวติวจ่ายให้สองเท่า แซนด์จะได้ไม่ต้องทำงานพร้อมๆ กันอย่างนี้อีก เหนื่อยแย่ แล้วที่สำนักงานรู้หรือเปล่า เขายอมให้มาทำงานอื่นอย่างนี้ด้วยเหรอ”
สีหน้าคนตอบดูลำบากใจที่จะพูด แต่เมื่ออีกฝ่ายจ้องมองอย่างคาดคั้นก็หลบสายตาเขา คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากอิ่มเม้มขณะครุ่นคิด
“เอ่อ...คือ...เขาก็ไม่ว่าหรอก ถ้ามีคดีถึงค่อยเข้าไป”
“เหรอ...อืม ก็ดูใจดีดีนะ แต่ถ้าไม่พอจริงๆ ติวว่าแซนด์มาทำกับติวดีกว่า ติวให้เป็นสามเท่าเลยก็ได้”
“ฉันไม่ใช่คนหน้าเงินนะ”
หญิงสาวสวนกลับทันควันทำให้ตติยะรู้สึกสะดุดแปลกๆ แต่ก็ยังยิ้มให้ รู้ว่าตัวเองพูดผิดไปทำให้อีกฝ่ายโกรธขึ้นมาซะแล้ว
“ติวล้อเล่น แต่ก็ไม่อยากให้แซนด์เหนื่อยจนเกินไป จริงๆ นะ”
แววตาคมบ่งบอกถึงความจริงใจทำให้คนที่มองเข้าใจแล้วก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าละอายใจที่หงุดหงิดใส่เขา
“ช่างมันเถอะ” หญิงสาวถอนหายใจก่อนพูด “ขอบคุณ เอ่อ...ขอบใจที่อยากช่วย”
“แล้วให้ติวไปส่งที่ทำงานไหม”
“รถติดแบบนี้เดินยังเร็วกว่าเลย”
ตติยะยิ้มแห้งๆ ก่อนจะขยับรถเคลื่อนตามคันข้างหน้าอีกครั้ง นั่นสิเขาลืมคิดข้อนี้ไป
“ขอโทษนะที่เรียกขึ้นรถ ตอนแรกคิดว่าบ้านอยู่แถวนี้แล้วแซนด์ก็กำลังจะไปทำงาน เลยว่าจะไปส่ง แซนด์ก็ไม่ยอมบอกตั้งแต่แรก”
“ตะโกนดังจนใครๆ ก็มอง แถมยังเปิดประตูออกมาอีก ไม่ขึ้นมาแล้วจะให้ตะโกนบอกหรือไงว่าไม่ไป ยังไงก็คุยไม่รู้เรื่องอยู่ดี ฉันคิดว่าคุณคงไม่ยอมไปง่ายๆ เลยคิดว่าขึ้นมาดีกว่า”
“พูดซะ คุณเคินอะไรกัน อย่าประชดกันน่า”
ชายหนุ่มพูดอย่างไม่คิดมากขณะที่ขยับรถไปด้วย ทว่ากลับทำให้อีกฝ่ายชะงักไปแต่เขาไม่สังเกตเห็น
“แล้วตกลงเอาไงดี ให้ติวส่งลงตรงไหนดีล่ะ”
“เอ่อคือ...ความจริงยังไม่ถึงเวลาเข้างานหรอก แล้วฉันก็กะจะไปกินข้าวเช้าก่อน ถัดไปอีกสองซอยมีร้านโจ๊กอยู่จอดตรงนั้นก็ได้ค่ะ”
นิ่งไปสักพักจนชายหนุ่มถามขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวจึงนึกหาเสียงตัวเองเจอแล้วตอบเขา
“อืม...งั้นติวกินด้วยดีกว่า ชักหิวแล้วเหมือนกัน”
คนได้ยินกำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจ เขาหันไปให้ความสนใจกับการขับรถแล้วก็หาป้ายร้านโจ๊กแทน
=====
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ
ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจไปรอบๆ รถ ดูทุกล้อว่ามีปัญหาที่ล้อใดบ้าง ร่างสูงก้มๆ เงยๆ หลายครั้งอย่างใช้ความคิด พลางยกมือหนาขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำฝนปรกใบหน้าคมเข้มอยู่บ่อยครั้ง เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมอยู่ก็เปียกแนบกับร่างกำยำคิ้วเรียวได้รูปสวยของพยาบาลสาวขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ เห็นชายหนุ่มตากฝนอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด หลังจากได้สติหญิงสาวจึงนึกได้ว่าตนเองพกร่มคันเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยเนื่องจากหน้านี้หน้าฝน หากเรฟก็ดูจะไม่ใส่ใจกับสิ่งอื่นใดนอกจากล้อรถ เธอจึงยิ่งเป็นกังวล...คนอะไรไม่รู้ สนใจรถมากกว่าตัวเองซะอีก เดี๋ยวก็ได้หวัดกินกันพอดี คิดได้ดังนั้นชินานางจึงหยิบร่มออกจากกระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับกางร่ม ก่อนจะเดินอ้อมไปหาคนที่กำลังหาอุปกรณ์อยู่ที่หลังรถพื้นถนนซึ่งเป็นทางเลี่ยงถนนใหญ่นั้นค่อนข้างเฉอะแฉะ และมีโคลนที่ทำให้หญิงสาวก้าวเดินอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปหาคนตัวสูงใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นบางอย่างวุ่นวาย ชินานางคิดอยากช่วยชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วชะโงกหน้าไปดู แต่จังหวะนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพอดีทำให้คนทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ“เฮ้ย!” เ
ชินานางรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถโฟร์วีลคันใหญ่นี้ ดูอึมครึมไม่แพ้กับเมฆฝนทมึนที่ตั้งเค้าอยู่ภายนอก เพราะมีคนตัวโตนั่งหน้าบึ้งถมึงทึงและมุ่งมั่นกับการบังคับรถอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จา นอกจากเสียงแอร์แล้วเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งลมหายใจของเขา‘ตายไปแล้วมั้งเนี่ย’หากเป็นอย่างที่หญิงสาวค่อนขอดอยู่ในใจจริง คุณ MIB คนนี้คงเป็นพวกมีความสามารถพิเศษที่ขับรถได้ทั้งที่ไม่หายใจ แต่ในเมื่อเธอยังไม่เห็นเขาบินได้เขาจึงยังดูธรรมดา และรถก็ยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่“ฝนตกอีกแล้ว...ดีนะที่พ้นเขตในเมืองมาแล้ว ไม่งั้นรถคงติดแย่ หน้าฝนก็งี้ ฝนตกรถติดเรื่องธรรมชาติ”ชินานางเปิดประเด็นเพื่อทำลายความเงียบ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไรหรอก แต่ดูจากที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วมันรู้สึกขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก คนอะไรไม่รู้ใส่แว่นดำก็ดูน่ากลัว พอไม่ใส่สายตาก็ดูราวกับจะเผาเธอได้“คุณคงยังไม่ชิน แต่อีกหน่อย เดี๋ยวก็ชินไปเอง...เอ๊ะ!”เธออุทานเมื่อเรฟหักพวงมาลัยเลี้ยวขวา ทั้งที่ยังไม่ถึงแยกที่ต้องเลี้ยวจริงๆ นั่นทำให้ชินานางตระหนกขึ้นมา กลัวว่าเขาจะโมโหเธอจนอยาก
‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ นายไปรับน้องนาที่โรงพยาบาลที่ไปส่งเมื่อเช้าด้วยแล้วกัน ฉันไม่อยากให้น้องกลับเอง แล้วนายก็จะได้ไม่หลง’คนที่นั่งจมกองเอกสารอยู่ในห้องรองประธานกรรมการ ถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ตติยะวางสายไปอีกราวหนึ่งนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ประมวลระบบการรับรู้ทางหูของตนว่าได้ยินคำสั่งที่ผิดไปหรือเปล่าบอกให้เขาไปรับน้องนอกไส้นั่นน่ะเหรอ หมอนั่นคิดได้ยังไงข้อแรกเขายังจำทางไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้จะไปถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่สองเส้นนี่ แถมยังตรอกซอกซอยอีกล่ะ ยิ่งคนอ่อนการอ่านภาษาไทยอย่างเขาแล้วด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูป้าย มีดีอย่างเดียวตรงที่โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เพราะเมื่อเช้าเขากับตติยะใช้เวลาจากที่นั่นมาถึงที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นข้อสอง...ข้อนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นเลยก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ใกล้ หรือแม้แต่พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น คนที่แม่เขารักและทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากับมือ ลูกของคนที่มาแทนที่พ่อของเขา แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็คน จะให้ทำใจยอมรับกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ