หลี่เหมยซินเดินกอดอกผิวปากตรงไปหาจางเยว่หมิงกับครอบครัวของนางที่รถม้า “คุณหนูหลี่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่เจ้าคะ”
“เรื่องเล็กน่า..” ฉันตบไหล่จางเยว่หมิงเบา ๆ อย่างลืมตัวว่านางไม่ใช่ฝ้ายเลยเก็บมือของตัวเองเข้าที่ หันไปทักทายบิดามารดาของจางเยว่หมิง “คารวะท่านลุงท่านป้าเจ้าค่ะ เมื่อครู่หากเป็นการยุ่งวุ่นวายเรื่องของพวกท่านมากไป ข้าต้องขอโทษนะเจ้าคะ ที่ทำไปเพราะเป็นห่วงพวกท่านกับเยว่หมิงจริง ๆ หากพวกท่านอยู่ตระกูลจางต่อมีหวังได้ล่มจมไปพร้อมพวกเขาแน่ ๆ เจ้าค่ะ”
“ข้าได้ยินข่าวทั่วเมืองต่างบอกว่าคุณหนูสูญเสียความทรงจำเก่า คุณหนูหลี่ทราบเรื่องวางยาได้อย่างไรหรือ” บิดาของจางเยว่หมิง ถามอย่างสงสัยแต่ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง
“เรื่องนั้น..” จริง ๆ เรื่องที่คุณหนูจางผู้นั้นวางยาปลุกกำหนัดใส่เว่ยเหยียนเฟิ่งจะเกิดขึ้นในงานเลี้ยงชมบุปผาน่าจะอีก 15 วันหลังจากนี้ล่ะ มันมาจากความทรงจำอดีตชาติของฉันซึ่งตอนนั้นเขาเอาตัวรอดเองจากปากสตรีได้แต่เพราะโดนฤทธิ์ยาเล่นงานแล้วระหว่างหนีออกมาจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ฉันมาเจอเขาระหว่างทางเลยผลักเขาตกสระน้ำคืนสติเขากลับมาได้หลายส่วน ดังนั้นจึงมีการสื
“ข้าว่าตอนนี้คงมีแต่พวกเหล่าขุนนางรุ่นเก่า ๆ กับพวกราชวงศ์เท่านั้นแหละที่รู้จักพวกเรา” ลวี่เซ่อคิดว่าตอนนี้ถ้ามีการพูดถึงเหล่าบุปผาราตรีที่ใดสักแห่ง นางว่ามันไม่ดังเท่าชื่อเสียงของหอวิหคราตรี สถานที่แห่งนี้มีให้ผู้คนชื่นชมตลอดหลายร้อยปีเทียบกับพวกนางที่อยู่เบื้องหลังแต่ไม่แสดงตัวตนมานานมากกว่าอายุของหอวิหคราตรีนี้เสียอีก ก็คงไม่แปลกที่จะไม่มีคนจำพวกนางได้นอกจากขุนนางเก่า ๆ กับเชื้อพระวงศ์บางคนรวมถึงฮ่องเต้ของแต่ละแคว้นเพราะยังไปมาหาสู่กันอย่างลับ ๆ“เหมยซินถือซะว่าพวกเราไม่ได้พูดนะ ลืม ๆ ไปเถอะ” เฉิงเซ่อตบไหล่บางของหลี่เหมยซินเบามือ เขาเองก็มีความคิดเดียวกับปฏิบัติเซ่อ“เดี๋ยวเจ้าค่ะ” ที่เงียบไม่ใช่ไม่รู้ แต่ใช้ความคิดอยู่ต่างหาก เพราะฉันก็นึกขึ้นได้ว่าท่านพ่อเคยเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนเกี่ยวกับเรื่องของผู้พิทักษ์กลุ่มหนึ่งที่มักจะชอบปฏิบัติหน้าที่ยามวิกาลมีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป ความคิดและคำพูดคำจาไม่เหมือนคนสมัยนี้เลยสักนิด พวกเขาช่วยเหลือราษฎรที่ตกเป็นเหยื่อของสงครามระหว่างแคว้น สงบศึกโดยที่สนามรบไม่มีเลือดตกสู่พื้นดินสักหยดไม่เกิดความสูญเสีย และยังช่วยฮ่องเต้แต่ละแคว
เฉิงเซ่อพาฉันมานั่งตรงม้านั่งใกล้ระเบียงเพื่อปรับสภาพร่างกายที่มันยังไม่คงที่ตั้งแต่ขยับร่างกายได้ตามปกติ รู้สึกเวียนหัวจะอ้วกยังไงก็ไม่รู้เหมือนพละกำลังลดน้อยลง แถมยังร้อน ๆ หนาวๆ ไม่ทราบสาเหตุอีก“กลับบ้านไปเจ้าเจอดีแน่ลวี่เซ่อ” บุรุษอาภรณ์สีแดงกล่าวขู่สตรีที่ช่วยเหลือฉันเมื่อครู่ แต่คำขู่ของเขาทำอะไรนางไม่ได้“เจ้าก็กลับไปก่อนละกัน” สตรีในชุดอาภรณ์สีเขียวอ่อนมีลวดลายนกกระจิบที่ชายกระโปรง นางยืนเท้าเอวจ้องตากลับเขาไม่กลัวฉันหันมองเฉิงเซ่อที่ช่วยลูบหลังให้อยู่ข้าง ๆ พลางใช้สายตาถามว่าพวกเขาเป็นใคร สักพักเขาก็เข้าใจว่าฉันกำลังสื่อสารเป็นคำถามเรื่องอะไร“สหายข้าเองน่ะ บุรุษที่ใส่ชุดแดงพวกข้าเรียกเขาว่าหงเซ่อ ส่วนสตรีที่ช่วยเจ้าพวกข้าเรียกนางว่าลวี่เซ่อ”“เหตุใดต้องเรียกนามกันเป็นสีด้วยพวกท่านไม่มีนามอื่นรึ” ฉันมองหน้าเขาความสงสัยเต็มใบหน้า หงเซ่อก็สีแดง ลวี่เซ่อสีเขียว แล้วไหนจะเขาที่เป็นสีส้มอีก ทว่าเขากลับไม่ตอบแต่เปลี่ยนเรื่อง“สหายข้ามีกันเจ็ดคนเรียกกันโดยใช้นามเป็นสีทั้งนั้นแหละจำง่ายดี ยังมีจื่อเซ่อ ไป๋เซ่อ หวงเซ่อ ลวี่เซ่อกับหงเซ่อก็ส
“จะรีบไปไหน ข้าอยากให้เจ้ารู้จักข้ามากขึ้นพวกเราหาที่คุยเงียบ ๆ ไม่ดีกว่าหรือหลี่เหมยซินน้อย” รอยยิ้มมีเสน่ห์ของเขาอาจฆ่าสตรีที่เห็นได้ด้วยอัตราการเต้นหัวใจถี่ระรัวเร็วเกินไป โชคดีที่เยว่หมิงมองไปร้านขนมทางอื่นฉันจึงหายห่วง เงยหน้าสบตาดำคู่คมประกายสีแดงระยิบระยับนัยน์ตานั้น“ว่าอย่างไร” เสียงนุ่มทุ้มชวนเคลิ้มราวกับร่ายมนตร์สะกดให้ฉันตอบปฏิเสธไม่ได้ทั้งที่ในหัวร้องตะโกนว่า ไม่! แต่กลับเอ่ยปากไม่ได้เลยเพราะเหตุใดถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังควบคุมร่างกายของฉันอยู่ เขาทำอะไร ฉันจ้องนัยน์ตาดำที่เมื่อครู่มันเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนพวกแวมไพร์พอฉันกะพริบตาอีกทีกลับกลายเป็นสีดำเช่นเดิม“เจ้ายอมไปกับข้าเถิด ข้าดูแลเจ้าได้ดีกว่านางอีก”ดูแลเพื่อ? นาง..นางไหน? เป็นโรคจิตหรือไง!? ร่างกายฉันไม่สามารถขยับได้ตามสั่ง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!? จู่ ๆ ขาสองข้างก็ก้าวเข้าหาเขาอย่างใกล้ชิดโดยที่ฉันหยุดมันไม่ได้ บุรุษอาภรณ์สีแดงโน้มใบหน้าลงเข้าใกล้ เวรล่ะ! เขาจับท้ายทอยฉันให้เงยขึ้นนัยน์ตาประกายแดงจับจ้องทั่วใบหน้างามอ้ากกก! ไม่นะ! ไอ้โรคจิต! อย่าคิดจะทำอะไรประเจิดประเจ้อนะ ใคร
เยว่หมิงวิ่งชมสิ่งตรงหน้าเหมือนเด็กเจอของเล่นส่วนฉันก็กลายเป็นผู้ปกครองไปเสียแล้ว ดวงตากลมคู่งามพราวแพรวเห็นได้ชัดจากรอยยิ้มทั้งดวงหน้างามพลางชี้ขึ้นไปข้างบนให้เห็นแต่ล่ะชั้นในตัวอาคารหอวิหค“เหมยซินหอวิหคราตรีน่าสนใจยิ่งนัก วันนี้พวกเราจะเที่ยวชมได้ทั้งหมดจริงรึ”“ไม่หมดหรอกที่นี่กว้างมากไปที่จะเดินดูทุกอย่างในวันเดียวนะ ข้าจะพาเจ้าไปดูร้านขนมก่อน” เมื่อเยว่หมิงได้ยินคำว่าร้านขนมนางก็ตาโตกะพริบตาปริบ ๆ เข้ากอดแขนฉันส่งสายตาอ้อนให้รีบนำทางชั้นสอง เป็นจำพวกเสื้อผ้าแฟชั่นเครื่องแต่งกายหรือเครื่องนุ่งห่มที่ออกแบบดีไซน์ใหม่ให้ยังคงมีความคลับคล้ายจีนโบราณ เช่นเสื้อกันหนาวสไตล์เกาหลีหรือก็คือเสื้อโค้ต เสื้อยืดธรรมดา หมวกกันหนาว หมวกแก๊ป ผ้าพันคอ รองเท้า ชั้นนี้อะไรที่เป็นหมวดหมู่ผ้ารวมตัวกันอยู่ที่ชั้นสองหมด แม้แต่ผ้าปูที่นอนแบบหนานุ่มยังมีชั้นสาม ชั้นที่เยว่หมิงรอคอยกลิ่นอาหารทั้งคาวทั้งหวานลอยมาเตะจมูกพวกเราจนอดใจไม่ไหววิ่งขึ้นบันไดให้เร็วที่ พอก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายร้านอาหารบานจ้า เริ่มจากร้านเครื่องดื่มที่เจอเป็นร้านแรก ก็มีน้ำเปล่า ชาน้ำผลไม้และกาแฟ อื
วันนี้หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วฉันก็ขออนุญาตท่านแม่พาเยว่หมิงออกมาเที่ยวตลาดบ้างเพราะอยู่ในจวนแทบทุกวันจะเฉาตายเอาได้เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องดังนั้นตอนนี้พวกเราสองคนจึงมีขนมติดมืออยู่ตลอดระหว่างเดินชมตลาดเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ พวกเรายิ้มหน้าบานตลอดทาง แถมมีเสียงหัวเราะสนุกสนานเป็นระยะ ๆพ่อค้าแม่ค้าและชาวเมืองละแวกนั้นต่างมองกันเต็ม เพราะใคร ๆ ก็จำหนูคุณหลี่เหมยซินบุตรสาวแม่ทัพใหญ่! กำลังเดินเที่ยวชมตลาดกับสตรีนางหนึ่ง! เป็นไปได้หรือ! นางไม่เคยญาติดีกับสตรีใดด้วยซ้ำ!“เราจะกลับจวนแล้วรึ” เยว่หมิงเอ่ยปากถามเพราะจากที่เดินเล่นอยู่ดี ๆ หลี่เหมยซินก็จูงมือนางเดินกลับรถม้าทั้งยังไม่พูดไม่จา พอขึ้นรถม้านางจึงยอมบอก“ยังแต่ข้าอยากพาเจ้าไปที่หนึ่งเผื่อเจ้าจะได้ไอเดียเปิดร้านขนมที่เมืองซวงโจว” หลี่เหมยซินยักคิ้วข้างหนึ่งเรียวปากสวยยกยิ้มขึ้น หางตามองผ่านหน้าต่างรถสะดุดเข้ากับร้านข้างทาง “ช้าก่อน อาอิงข้าลืมหยิบผ้าคลุมหน้ามาด้วย เจ้าออกไปซื้อผ้าคลุมหน้ามาให้ข้าสองผืนทีนะ”“เจ้าค่ะ” อาอิงรับคำเดินลงไปซื้อสิ่งที่คุณหนูต้องการ“เหมยซินไอเดียคือ
ณ จวนตระกูลหม่า“แผนวางยาของคุณหนูจางสายหลักถูกจับได้แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้หม่าฉวี่หลินกล่าวรายงานขณะหวีผมให้นายตน“ใครทำ” เสียงเข้มถามดุ“คุณหนูจางเป็นผู้กล่าวเองกลางถนนหน้าประตูจวน ขณะที่มีเรื่องกับคุณหนูหลี่เจ้าค่ะ นางสารภาพเรื่องยาปลุกกำหนัดเองตอนนี้ทางการไม่ได้เรียกตัวนางไปซัดทอดคดีต่อ แต่เกรงว่าหากปล่อยไว้…”เพล้ง! หม่าฉวี่หลินคว้ากล่องไม้ใส่เครื่องประดับโยนใส่กระจกอย่างโมโห ดวงตาเกรี้ยวกราดวางอำนาจ“ไม่ได้เรื่อง! นังคนไร้ประโยชน์! ทำแผนการของข้าพังไม่เหลือชิ้นดี” แม้ตนจะวางคุณหนูตระกูลจางไว้เป็นหมากเล็กในกระดาน อยู่ได้ไม่นานก็จะสั่งเก็บหลังแผนวางยาปลุกกำหนัดในงานเลี้ยงเสร็จสมบูรณ์ ใช่ผู้อยู่เบื้องหลังคือนางเองหากคุณหนูจางผู้นั้นลงมือวางยาองค์ชายสามสำเร็จจริง นางจะเป็นคนเข้าไปช่วยเมื่อถึงแก่เวลาเพื่ออะไรคงไม่ต้องพูด การสวมรอยเป็นเหยื่อต้องไม่มีอะไรสาวมาถึงว่าตนเองเป็นผู้รู้เห็นเรื่องนี้ด้วย ตำแหน่งพระชายาเอกต้องเป็นของนางผู้เดียว“ให้คนของเราแก้ข่าวทั้งหมดเก็บเรื่องยากำหนัดให้มิดชิด อย่าให้เรื่องนี้สาวมาถึงข้าได้เข้าใจหรือไม่!”