“ไม่ร้องแล้วนะเด็กดี ตอนกลางคืนอากาศเย็นมากรีบกลับกระท่อมแม่ก่อน เดี๋ยวซินเอ๋อร์จะไม่สบาย” ฟางเหนียงถอดเสื้อคลุมตัวนอกมาสวมให้นางด้วยความรัก
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หลี่เหมยซินกล่าวขณะสบตาฟางเหนียง
“ใส่ไว้เถิดหากเจ้าป่วยจะลำบาก มาค่อยๆ เดินนะลูกระวังล้ม” ฟางเหนียงจูงมือหลี่เหมยซินไว้แล้วก้าวเดินคอยนำทางลูกสาวที่ตนรัก
“ท่านแม่ปล่อยข้าเถิดเจ้าคะ” นางพยายามไม่ปล่อยให้ตัวเองเดินตามร่างท่านแม่ไป
“ไม่ได้เดี๋ยวเจ้าหลง” น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนแฝงความห่วงใยเสมอ
“ข้า.. ไปกับท่านแม่ไม่ได้เจ้าค่ะ” หลี่เหมยซินใช้แรงทั้งหมดรั้งกายให้หยุดเดิมตามฟางเหนียง ดึงร่างท่านแม่ของตนหันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง
“ทำไม ไม่ไปกับแม่แล้วเจ้าจะไปอยู่ที่ใด”
“ข้าต้องอยู่ที่ป่าต้องมนต์ต่อ ให้ข้ากลับไปเถิดเจ้าค่ะ” หลี่เหมยซินช้อนตามองมารดาที่ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับนางตรงๆ
“รอเช้าก่อนค่อยกลับไปก็ได้”
“ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ เพราะที่นี่ก็คือป่าต้องมนต์ ท่านแม่ปล่อยข้าเถิดนะเจ้าคะ” เสียหวานสั่นเครือมองหน้ามารดาผู้ให้กำเนิดตอกย้ำในใจเสมอว่าคนผู้นี้จากนางไปแล้ว
“
“ได้เบาะแสเขาบ้างหรือไม่” พอเห็นหน้าฮ่าวหรานประโยคแรกที่พูดกับเขาทุกวันนี้คือถามความคืบหน้าการตามหาเว่ยเหยียนเฟิ่ง ฮ่าวหรานก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบเดิมทุกครั้ง“เหมยซินปล่อยวางเถิดพวกเราหาเขาทุกที่แล้วนะ” พลิกแผ่นดินหาเป็นปีกว่าแล้วยังไม่พบเจออะไรเกี่ยวกับบุรุษที่หายไปกลางอากาศ หากยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะเจออะไรบ้าง“ถ้าท่านเหนื่อย ช่วยตามหาไม่ไหวก็ไม่ต้องทำแล้ว” น้ำเสียงนุ่มไม่มีแววโกรธหรือน้อยใจของคนตรงหน้า แต่อารมณ์หลี่เหมยซินกำลังดิ่งจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ฉันเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอนแต่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน“ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไร แต่เจ้าต่างหากทำตัวปกติทั้งที่ข้างในใจคิดถึงแต่เขาตลอด ข้าห่วงสุขภาพจิตเจ้านะหลี่เหมยซิน” เขาเห็นแววตาประกายความหวังของนางทุกครั้งที่ถามถึงเรื่องเว่ยเหยียนเฟิ่ง ดวงตาคู่นั้นผิดหวังและเศร้าหมองลงเมื่อได้รับคำตอบ“ฮ่าวหรานข้าดูแย่ขนาดนั้นเชียวรึ” ที่ผ่านมาฉันก็ทำตัวยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดไม่ได้แสดงความทุกข์ใจต่อหน้าใครทั้งสิ้น“รอยยิ้มของเจ้าไม่ถึงตาด้วยซ้ำ”ฉันสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้วถอนหายใจยาว “เพราะชี
“รู้จักข้า? แล้วเจ้าเป็นใคร” ฉันมองสตรีชุดแดงด้วยความงง หน้าตาแบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ สตรีอายุมากรึ นี่นางด่าพวกข้าแก่แล้วไม่ดูตัวเองบ้างเลยนะแม่คุณ“ข้าเตือนเจ้าท่านประมุขฮ่าวเป็นของข้า ถ้าเจ้าอยากเป็นศัตรูกับข้า..” นางยังไม่หยุดพูดมากบนโต๊ะคนอื่นอีก“หึ ใครกันแน่ที่ไร้ยางอายเที่ยวบอกคนอื่นไม่ทั่วว่าท่านประมุขฮ่าวเป็นของตัวเอง ทั้งที่ประมุขฮ่าวหรานไม่เคยออกปากยอมรับข้อกล่าวหานี้ด้วยซ้ำ” เยว่หมิงพูดเสียงนิ่งเรียบพลางจิบชาเป็นผู้ดีมีสกุลที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ท่าทางไม่กลัวคนของนางสร้างความตะลึงให้ฉันจนอ้าวปากเหวอ1 ปีที่ผ่านมาเพื่อนฉันพัฒนาแล้วเว้ย!“ข้าสนิทสนมกับท่านประมุขมาตั้งแต่เด็ก เขาดีกับข้าตลอด สักวันเขาต้องแต่งข้าเป็นภรรยาแน่ เจ้านั่นแหละที่จะมาทำลายความสัมพันธ์ของข้ากับเขา”โอ้ว แม่นางชุดแดงไม่ยอมง่ายๆ โต้ตอบเยว่หมิงด้วยคำพูดของนางมั่นใจในตัวเองอย่างสูง ฉันมองเยว่หมิงที่ยังนิ่งเงียบ แต่มันไม่ใช่เงียบที่แปลว่ากลัว มันคือเงียบแบบมีรังสีบางอย่างซ่อนอยู่ดูไม่เกรงกลัวแม่นางปากคนนี้สักนิด นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูจะได้ใจคิดว่าเยว่หมิง
“..วันนั้นข้าพาพวกเจ้าสองคนกลับมาแล้วจริงๆ แต่ว่า..ตอนที่ให้หมอมาตรวจร่างขององค์ชาย จู่ๆ เขาหายไปต่อหน้าต่อตาพวกเรา ข้าพยายามตามหาเขาส่งกำลังคนนับร้อยไปสืบหาทุกที่เป็นปีแล้วก็ยังไม่เจอ” เว่ยเหยียนเฟิ่งเป็นคนติดต่อมาหาเขาให้ตามไปช่วยพวกนาง ตอนนั้นเขาจึงรู้ว่าเขาไม่อยากให้นางรู้เรื่องนี้ทั้งที่พึ่งฟื้นกลัวจะล้มป่วยอีกเลยไม่บอก“เวลาผ่านมาเป็นปี.. เขาหายตัวไปส่วนข้าหลับไม่ตื่น” หัวสมองฉันขาวโพลนคิดสิ่งใดอะไรไม่ออก“เหมยซินไม่ต้องร้องนะ เจ้าทำดีที่สุดแล้วอย่าร้องเลยนะ” เยว่หมิงเห็นสหายยืนนิ่งน้ำคลอจึงเข้าไปกอดปลอบนาง เมื่อได้รับอ้อมกอดหลี่เหมยซินก็ห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้1 ปีที่ผ่านมา ช่วงที่นางหลับใหลไม่ตื่นมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับแคว้นเว่ย ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์คือองค์ชายใหญ่ เขาปกครองบ้านเมืองให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างดี เศรษฐกิจรุ่งเรืองแบบโปร่งใสไม่มีการกดขี่รีดไถ่ภาษีสูงเหมือนเมื่อก่อนเพราะเมืองซวงโจวเป็นเมืองเล็กๆ ที่สงบสุขอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยเห็นความแตกต่างแต่สังเกตได้ว่าชาวบ้านก็ลำบากน้อยลง ทางการดูแลเอาใจใส่มากขึ้น ใบหน้าทุกคนต่างมีรอย
ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นตอนเช้าของวันใหม่ แววตามองสำรวจทั่วทั้งห้องรวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ฉันจำเรื่องราวทั้งหมดในอดีตชาติและเหตุการณ์ก่อนหมดสติได้แล้ว“เหยียนเฟิ่งเขาเป็นยังไงบ้างนะ” พลางลุกขึ้นไปตามหาเจ้าของชื่อทันที ถ้าในร่างกายเขายังมีพิษน้ำค้างแข็งอยู่ฉันจะทำไงดี ต้องพาเขาไปรักษาเหมือนเดิมไหมนะ“จะไปไหน” บุรุษร่างสูงสวมอาภรณ์สีดำสนิทขวางทางนาง“เหยียนเฟิ่งเขาอยู่ไหน” ฉันถามฮ่าวหรานทันทีที่เงยหน้ามองเขา“ตื่นมาก็ถามหาบุรุษก่อนเลยนะ ไม่ห่วงพ่อแม่ตัวเองบ้างรึ”“ข้าว่ารู้พวกเขายังมีชีวิตท่านช่วยพวกเขาได้ทัน ขอบคุณท่านมากญาติผู้พี่” ใช่แล้ว เมื่อวานหลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วปวดหัวจึงเผลอหลับไปแต่ว่าฉันรู้สึกตื่นขึ้นมาอีกทีตอนที่ท่านหมอมาตรวจแล้วก็ได้พอยินเสียงพ่อแม่รวมถึงอาอิงสาวใช้ส่วนตัวพูดคุยกัน แต่ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นหรือลืมตามองพวกเขาได้เลย แค่รู้ว่าทุกคนปลอดภัยดีก็สบายใจแล้ว“รู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นญาติเจ้า” ฮ่าวหรานเลิกคิ้วถาม“ระหว่างเดินทางมาข้าได้ยินคนที่นี่พูดถึงน่ะ ท่านเป็นลูกชายของท่านป้าพี่สาวของท่านแม่ข้าหมายความว
“ฮ่าวหราน” เมื่อนางเห็นใบหน้าเขาผ่านลำแสงที่ส่องสว่างเป็นครั้งๆ รูปโครงใบหน้านั่นคือ ประมุขฮ่าวหราน นางจำไม่ผิดแน่นอน ความหวาดกลัวจึงลดน้อยลงก็ผุดขึ้นมา “มาคนเดียวรึ”“ข้าคนเดียวจะหาเจ้าเจอได้อย่างไร รีบไปกันเถิด”“มีคนอื่นด้วยสินะถ้างั้นช่วยคนของข้าก่อนเขาอยู่ทางนั้น”“ข้าส่งคนไปแล้ว ลุกขึ้น”“ไม่ ข้าจะรอเขาไปด้วยกัน”“หลี่เหมยซินเจ้าอย่าดื้อดูสภาพตัวเองบ้าง ขนาดนี้แล้วยังห่วงเขาอีก”“…” ก็จริงตอนนี้นางไม่เหมือนคนเลย แผลเหวอะหวะบนร่างกายน่ากลัวเหมือนตัวเองเป็นซอมบี้ แต่แล้วไงในเมื่อนางยังทนได้ก็จะรอเว่ยเหยียนเฟิ่งกลับไปพร้อมกัน“เฮ้ออ” เขารับร่มหนึ่งคันจากคนของเขามาแล้วกางร่มให้นางไม่ต้องตากฝน ลูกน้องสิบกว่าคนจุดไฟให้แสงสว่างทั้งฝนยังตก จากนั้นก็นำยาแก้พิษจากบาดแผลที่นางควรกินยื่นให้ หลี่เหมยซินก็ยอมกินมันเข้าไป “ไม่กลัวข้าวางยารึ”หลี่เหมยซินไม่ตอบก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนางถึงได้ไว้ใจเขาจนยอมกินยาเมื่อครู่นี้โดยไม่สงสัยอะไร แล้วลูกน้องอีกคนที่มาทางเดียวกับนาง เดินมากระซิบบางอย่างกับฮ่าวหรานจนสีหน้าเขาเปลี่ยน“เกิดอะไรขึ้น
เฮือก!ร่างบางสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นพร้อมสูดอากาศเข้าเต็มปอดเหมือนคนขาดอากาศหายใจ จับต้นคอตัวเองรู้สึกในปากและลำคอแห้งเป็นผง แล้วมือคนผู้หนึ่งก็ยื่นน้ำให้ดื่ม เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือดวงตากลมหรี่ตามอง ‘ฮ่าวหราน’ฉันรับน้ำมาดื่มรวดเดียวพอชุ่มคอแล้ว ยังไม่ทันได้คิดอะไรใบหน้างามก็บิดเบี้ยวคิ้วขมวดเข้าหากัน ฉันกุมขมับเมื่ออาการปวดหัวกำเริบเล็กน้อย“เจ้าอดทนไว้ก่อนอีกสักพักท่านหมอก็มาแล้ว” ฮ่าวหรานกล่าวอย่างจนใจ เมื่อเห็นสตรีตรงหน้ามีอาการปวดหัวแต่ทำได้แค่รอหมอมาจึงจะช่วยนางได้ เขาประคองตัวนางให้นอนลงฉันมองบุรุษอารมณ์สีดำที่นั่งข้างเตียงด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยสภาพป่วยอ่อนแอแบบนี้นะ นึกอะไรก็ไม่ได้คิดเยอะหัวจะปวดนอนพักก่อนอีกสักหน่อยน่าจะดีขึ้นไหม ฉันรู้สึกเพลียมากทั้งที่พึ่งตื่นแต่ก็เผลอหลับไปอีก“เสี่ยวซินเจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ ข้าจะพาเจ้าไปรักษา เจ้าจะต้องปลอดภัยไม่ต้องกลัวนะ” มือหนาพลางประคองใบหน้าหวานที่ซีดเซียวในอ้อมแขนอย่างปวดใจความหวาดกลัวที่จะสูญเสียนางไปอีกเริ่มเข้าแทรกเมื่อเห็นบาดแผลบนร่างนางมากมายและเลือดนั้นก็