บรรยากาศในท้องพระโรงตึงเครียดดั่งมีก้อนเมฆดำปกคลุมกลางกระหม่อมของทุกคน เหล่าขุนนางและนางกำนัลต่างก้มหน้านิ่ง ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรงซิวหรงยังคุกเข่าแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ ฝ่ามือกำแน่นจนสั่น ราวกับว่าทุกลมหายใจที่ผ่านไป คือความตายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ“ช้าก่อนเพคะ เรื่องนี้ หม่อมฉันขอยืนยันด้วยตนเอง”ทันใดนั้น เสียงแผ่วทว่าเปี่ยมด้วยอำนาจก็ดังขึ้นจากเบื้องหลังม่านทอง เสียงอันเปี่ยมด้วยอำนาจของฮองเฮาทำให้ทุกสายตาพลันหันขวับพระนางก้าวออกมาจากแท่นบรรทมของไทเฮา นางยืนนิ่งสง่างามราวรูปสลัก พลันเหล่านางกำนัลรีบเปิดทางให้ผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวงเสด็จออกมา“ในวันที่ไป๋ลี่เยว่จัดทำขนมดอกเหมยถวายไทเฮา หม่อมฉันอยู่กับนางตลอดทั้งวัน” เสียงฮองเฮาเรียบนิ่ง แต่แฝงความเด็ดขาดจนทำให้ผู้ฟังต้องกลั้นลมหายใจ ดวงเนตรคมกริบตวัดมองซิวหรงที่เริ่มสั่นไหว“นางมิได้ใช้สิ่งผิดแปลกอื่นใดแม้แต่น้อยเลย ทุกสิ่งอยู่ภายใต้สายตาของหม่อมฉันตลอดเวลา เพราะหม่อมฉันคือผู้สอนนางทำขนมชุดนี้ด้วยตนเองเพคะ”เสียงฮือฮาแผ่วเบาดังขึ้นทั่วท้องพระโรง ซิวหรงเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง ริมฝีปากเริ่มสั่นระริกอย่างห้ามไม
ไป๋ลี่เยว่ก้าวตรงไปยังพระแท่นบรรทมรีบเร่ง ทันทีที่หลงเจิ้งหยางปล่อยนางเป็นอิสระ แม้จะรู้ดีว่าสายตาหลายคู่กำลังจับจ้อง แต่หญิงสาวกลับไม่ไยดี นางคุกเข่าลงข้างพระวรกายของไทเฮา เอื้อมปลายนิ้วเรียวแตะชีพจรตรงข้อมืออันเย็นเฉียบอย่างแผ่วเบา ก่อนจะใช้นิ้วอีกข้างลูบตรงปลายพระหัตถ์เบา ๆ คล้ายปลุกลมปราณ “อาการชัดเจนว่าเกิดจากภูมิแพ้ขั้นรุนแรง หลอดลมตีบแน่นจากละอองเรณูและสารกระตุ้นภายในร่างกาย” ไป๋ลี่เยว่เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ใบหน้ายังคงสงบไม่สะท้าน “ไม่ใช่พิษ ไม่ใช่ของแปลกปลอม อย่าได้เสียเวลา” นางหันไปทางหมอหลวง “ข้าขอยาตำรับ ชิงหรงซาน ที่ใช้ถอนพิษจากเกสรดอกไม้โดยเฉพาะ มีหรือไม่” หมอหลวงสะดุ้ง รีบค้นตำรากับห่อสมุนไพรออกมา “มะ มี พ่ะย่ะค่ะ พระชายา” เขายื่นให้นางด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย ในใจเต็มไปด้วยความทึ่ง ตำรับนี้ลึกซึ้ง เป็นที่รู้กันว่าแม้แต่หมอหลวงทั่วไปยังไม่กล้าลงมือโดยไม่ปรึกษาผู้อาวุโส “ใครจะรับประกันว่านางไม่ยิ่งซ้ำเติมพระอาการ” ซิวหรงตวาดลั่น ดวงตาวาววับด้วยความหวาดกลัวปนขุ่นเคือง แต่เสียงนั้นก็ถูกกลบด้วยสุรเสียงของฮองเฮา “หากเจ้ามั่นใจว่าตนสะอาดบริสุทธิ์แต่ไม่มีฝีมือ ก็จงเงียบ แล้วเป
“ไทเฮา” เสียงร้องด้วยความตระหนกของขันทีดังขึ้นอีกครั้ง“หมอหลวง เร็ว ตรวจพระอาการเร็วเข้า” ซิวหรงหันไปตะโกนเร่งรัดทันทีหมอหลวงรีบตรวจชีพจรอย่างรวดเร็ว “หายพระทัยตื้น หลอดลมตีบ อาการแพ้กำเริบอย่างรุนแรงพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเหตุใดไม่รีบรักษาอีกเล่า” ไป๋ลี่เยว่เอ่ยทักท้วง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนใจ สีหน้าของนางเคร่งเครียด และจะรีบเข้าไปช่วย ไทเฮาที่นอนแน่นิ่ง สีพระพักตร์ซีดเผือด ริมพระโอษฐ์เขียวคล้ำราวถูกบีบลมหายใจจากภายใน แต่ซิวหรงกลับแทรกขึ้นก่อนด้วยเสียงแหลมสูง“หยุดอยู่ตรงนั้นเถอะเพคะพระชายา พระองค์อย่าทรงยุ่งเลย ท่านหมอหลวงมีความรู้เป็นเลิศ พระชายาคงไม่คิดจะแทรกแซงวิธีรักษาหรอกกระมัง”“ข้าไม่ได้”ซิวหรงก้าวมาขวางหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเดือดดาล “ท่านทำถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะกล้าแตะต้องพระวรกายไทเฮาอีกหรือเพคะ”“ท่านถอยไปเถอะเพคะ” ซิวหรงมองนางด้วยดวงตาวาวโรจน์“ไม่แน่ว่าท่านนี่แหละที่วางแผน หรือกลัวความจริงจะปรากฏ เลยรีบเข้ามาแสร้งช่วย”ไป๋ลี่เยว่ถึงกับชะงัก รู้สึกเหมือนถูกฟาดด้วยแส้ “ข้าไม่เคย”“พอเถอะ เยว่เอ๋อร์ ถอยออกมาก่อน” หลงเจิ้งหยางร้องแทรกขึ้นอย่างร้อนใจ มองไป๋ลี่เยว่ด้วยแววตาที
แต่ท่ามกลางความวุ่นวาย ซิวหรงกลับก้าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาลังเลราวกับไม่อยากเอ่ยคำใด หากก็จำต้องทำเพื่อความปลอดภัยของไทเฮา“เมื่อครู่ ไทเฮาเพิ่งเสวยขนมที่พระชายาทูลถวายไปพอดีเจ้าค่ะท่านหมอ” นางแจ้งแก่หมอหลวงไป๋ลี่เยว่ที่ยังนั่งอยู่เบื้องหน้า ถึงกับหน้าถอดสี นางรีบจะลุกเข้าไปพยุงพระวรกายด้วยความห่วงใย“พระพันปีเพคะ หม่อมฉัน”แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ร่างหนึ่งก็ยืนขวางไว้เสียก่อน ชายเสื้อแพรสีม่วงอ่อนสะบัดเบา ๆ พลันร่างของซิวหรงก้าวออกมาขวาง ใบหน้าที่ยิ้มละไมที่เคยแสดงต่อหน้าไทเฮาหายไป เหลือเพียงแววตาคมเฉียบและริมฝีปากที่กดเป็นเส้นตรง“พอเถอะเพคะ พระชายา” เสียงนางดังขึ้น จนก้องกลางห้องรับรอง“ท่านยังคิดจะเข้ามาทำการใดอีกหรือ จะมาใส่ยาซ้ำหรือต้องการดูให้แน่ใจว่าไทเฮาสิ้นพระชนม์แล้วด้วยตาตนเอง”ไป๋ลี่เยว่ชะงักกึก แววตาตกใจฉายวาบขึ้นทันที“ซิวหรงเจ้าพูดอะไรออกมา เจ้ากล่าวหาข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าก็เป็นห่วงไทเฮา ไม่มีทางทำสิ่งต่ำทรามเยี่ยงนั้นเด็ดขาด”“ห่วงรึ หึ” ซิวหรงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงคล้ายเย้ยหยัน“ถ้าพระชายาห่วงจริง เหตุใดขนมที่พระองค์ทำเองกับมือถึงทำให้ไทเฮาทรงอาการแพ้
ภายในตำหนักฉือหนิง แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านม่านโปร่งบาง คลุกเคล้ากลิ่นหอมของดอกเหมยแห้งที่วางอยู่ในถ้วยหยกข้างที่ประทับ ไทเฮาทรงประทับอยู่กลางห้องด้วยพระพักตร์อิ่มเอิบ ดวงเนตรทอดมองออกไปยังสวนที่พลิ้วไหวด้วยสายลมอ่อน “ซิวหรง” พระสุรเสียงนุ่มนวลดังขึ้น พลางหันพระพักตร์ไปยังสตรีผู้ยืนอยู่ด้านข้าง “เพคะ ไทเฮา” ซิวหรงยอบกายรับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานเช่นเคย “ช่วงบ่ายพระชายาสามกับองค์ชายน้อยจะมาทูลลาข้าก่อนกลับจวนในวันนี้ เจ้าไปเตรียมของขวัญไว้ให้พวกเขาด้วยเถิด ขนมที่องค์ชายน้อยโปรด แล้วก็กล่องหยกขาวแกะลายดอกเหมยที่ข้าเก็บไว้ในห้องเครื่องลับนั่นเตรียมเอาออกมาให้พระชายาด้วย” ซิวหรงชะงักไปชั่วครู่ ความแปลบวาบแล่นขึ้นในอก กล่องหยกขาวที่ไทเฮาทรงเก็บรักษาไว้มิยอมยกให้ใครแม้แต่ข้าคนที่ใกล้ชิดที่สุด ในนั้นมีผ้าคลุมไหล่ไหมบางจากเมืองซูโจวที่หายากยิ่ง ซิวหรงเห็นครั้งแรกก็ถูกใจและหวังว่าสักวันไทเฮาจะประทานให้นาง แต่กลับจะมอบให้นางผู้นั้น “นอกจากนี้” ไทเฮายกพระหัตถ์ชี้ไปยังกล่องไม้หอมเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ “เครื่องประดับผมทองคำฝังไข่มุกชุดนั้น ของหมั้นที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเคยมอบให้ข้าเมื่อยังเยาว์วัย ข้าอ
หลงเจิ้งหยางยืนมองแผ่นหลังของพระชายากับพระโอรสที่กำลังเดินห่างออกไปทุกที ราวกับหัวใจของเขาจะหลุดตามไปด้วย ขายาวก้าวรีบตามไป มือที่ยื่นออกไปกลางอากาศสั่นเล็กน้อย เสียงในใจร่ำร้องอยากรั้งนางไว้ อยากไขข้อข้องใจเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวพ้นระแนงไม้ เสียงขององครักษ์ก็ดังขึ้นจากด้านหลังอย่างเร่งร้อน “ทูลองค์ชาย ฝ่าบาททรงรับสั่งให้พระองค์รีบเข้าเฝ้าโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ ทรงมีราชกิจเร่งด่วนจะปรึกษาเกี่ยวกับชายแดนทางตะวันตก” หลงเจิ้งหยางชะงักไปในพริบตา สองคิ้วขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันกลับมามององครักษ์ด้วยแววตาเคร่งเครียด เขาเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าเข้าใจแล้ว” มือที่ยื่นออกไปค้างกลางอากาศค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ เขาหันกลับไปมองทิศทางที่ไป๋ลี่เยว่เพิ่งจากไปอีกครั้ง ร่างของนางลับหายไปหลังแนวต้นเหมยเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงกลีบดอกสีชมพูอ่อนที่ปลิวร่วงตามลม และความว่างเปล่าเริ่มแผ่ซ่านเข้ามาในใจ “เยว่เอ๋อร์” เขาเอ่ยเบา ๆ ราวกับอยากฝากชื่อของนางไปกับอากาศ ดวงตาคมยังจับจ้องไปยังจุดสุดท้ายที่นางเดินลับหายไป แม้ภายนอกเขาจะดูสงบมั่นคงเช่นเคย แต่ภายในกลับมีคลื่นความรู้สึก