LOGINเวลาผ่านไปได้ราวชั่วโมงกว่านายท่านจางก็เดินทางกลับมาจากที่ทำงานหลังจัดการงานด่วนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อมารอต้อนรับนายท่านหวังคู่ค้าคนสำคัญของห้างสรรพสินค้าสกุลจางตามเวลานัดหมายที่หลินเยว่แจ้งเอาไว้
“คุณคะ กลับมาพอดีเลยฉันนี่ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว” หลินเยว่แสร้งตีสีหน้าวิตกกังวลรีบตรงเข้าไปหาสามีทันที
“มีอะไรงั้นหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” นายท่านจางถามหลินเยว่ด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ
“ก็เข่อซินน่ะสิคะ ชวนนายท่านหวังขึ้นไปคุยกันบนห้องนานแล้ว ป่านนี้ยังไม่ลงมาเลย”
“อะไรนะ แล้วเธอปล่อยให้พวกเขาขึ้นไปด้วยกันได้ยังไง” นายท่านจางเอ่ยอย่างตกใจ
“ตอนแรกฉันก็พยายามปรามเข่อซินแล้ว แต่เธอไม่ฟังบอกว่าอยากพานายท่านหวังขึ้นไปดูรูปเก่าๆของเธอในห้องนอน นายท่านจางเองก็ตอบรับเข่อซินและบอกฉันว่าไม่ต้องเป็นห่วง ฉันทำอะไรไม่ได้สุดท้ายจึงปล่อยพวกเขาให้ขึ้นไปด้วยกัน” หลินเยว่ตีสีหน้ารู้สึกผิด
“ไป..พวกเรารีบขึ้นไปเชิญนายท่านหวังลงมาเถอะ ยังไม่ได้แต่งงานกันแบบนี้มันดูไม่ดีในสายตาคนอื่น”
“ค่ะ” หลินเยว่เอ่ยก่อนจะตามสามีขึ้นไป พร้อมรอยยิ้มอย่างดีใจที่แผนของเธอเป็นไปตามต้องการ โดยไม่คิดเอะใจเลยสักนิดว่านางนกต่อหรือลูกสาวตัวเองหายหน้าหายตาไปไหนกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว
“ซินซิน นายท่านหวัง ซินซินเปิดประตูหน่อย” นายท่านจางเคาะประตูเรียกที่ห้องของลูกสาวคนโตอย่างเร่งร้อน มีเสียงกุกกักในห้องพร้อมกับเสียงร้องไห้ดังเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเพียงแผ่วเบา ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งประตูจึงเปิดออก
“ซินซิน” นายท่านจางรีบตรงเข้าไปด้านในทันที
“ต๊าย ซินซิน ไม่นึกเลยนะว่าเธอจะทำตัวแบบนี้ อยากแต่งงานกับนายท่านหวังมากขนาดนี้เลยเหรอ” หลินเยว่ที่รู้เรื่องราวว่าจะดำเนินไปทางไหนเดินตามนายท่านจางเข้ามาและเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองตรงไปยังร่างของหญิงสาวที่กำลังใช้ผ้าห่มคลุมปกปิดตัวเองเอาไว้บนเตียง
“ซินซิน นายท่านหวังนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” นายท่านจางเอ่ยถามหลังจากยืนอึ้งอยู่พักใหญ่เมื่อเห็นสภาพตรงหน้า นายท่านหวังที่เสื้อผ้าหลุดรุ่ยไม่เรียบร้อย กับบุตรสาวของตนที่เอาผ้าห่มคลุมหน้าคลุมตัวอยู่บนเตียงซึ่งยับยู่ยี่ไปหมด
“ผมเปล่าทำอะไรเลยนะ เป็นลูกสาวของคุณเองที่ยั่วยวนผม ทั้งยังลากผมขึ้นเตียงด้วย แล้ว..แล้วก็ เอ่อ..แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ” นายท่านหวังตอบสีหน้าท่าทางอิ่มเอิบพึงพอใจยิ่งนัก
“ตายจริงซินซิน ฉันไม่นึกเลยนะว่าเธอจะทำตัวแบบนี้ อดใจไม่ไหวถึงขนาดลากนายท่านหวังขึ้นเตียงเลยงั้นเหรอ” หลินเยว่เอ่ยต่อพร้อมมองหญิงสาวบนเตียงอย่างสะใจ
“หุบปากได้แล้วอาเยว่ เข้ามาดูซินซินหน่อยเถอะ” นายท่านจางบอกหลินเยว่เสียงดังแววตาน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ แม้นเขาจะเห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้ แต่พฤติกรรมไม่เหมาะสมแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ หากคนภายนอกรู้เข้าเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน
“ซินซิน โผล่หน้าออกมาเถอะ ไม่ต้องทำเป็นร้องไห้ให้เสียเวลาหรอก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เราจะรีบจัดงานแต่งงานให้เธอกับนายท่านหวังโดยเร็วที่สุด จริงไหมคะนายท่านหวัง” หลินเยว่แสร้งเข้าไปนั่งลงบนเตียงและโอบปลอบซินซิน
“แน่นอน แต่งเลย พรุ่งนี้ได้ยิ่งดี” นายท่านหวังกล่าวสีหน้ายิ้มแย้มยินดียิ่งนัก เพราะหญิงสาวที่เขาได้เชยชมเป็นสาวแรกรุ่นที่รูปร่างอวบอัดสมส่วน ถึงแม้นจะไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ แต่หน้าตาดีลีลาเด็ดถูกใจเขามาก ที่สำคัญด้วยสถานะของสกุลจางก็นับได้ว่าพอจะมีหน้ามีตาในเซี่ยงไฮ้อยู่บ้าง ถึงแม้นกิจการค้าขายของพวกเขาช่วงนี้จะกำลังมีปัญหาก็ตาม หากแค่เอาเงินเติมลงไปก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว
“เห็นไหมซินซิน นายท่านหวังเขาดีกับเธอขนาดไหน น่าอิจฉาจริงๆเลย” หลินเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ดี
“คุณแม่นี่หนูเอง ไม่ใช่เข่อซิน” สุดท้ายจื่อรุ่ยทนปกปิดตัวเองอีกต่อไปไม่ไหว โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำพูดและน้ำเสียงยินดีอย่างไม่ปิดบังของแม่ตัวเองเช่นนั้น จึงตัดสินใจโผล่หน้าออกมาให้ทุกคนได้ตกตะลึงไปตามๆกัน
“รุ่ยรุ่ย ทำไมเป็นลูกไปได้เล่า” เมื่อเห็นหน้าคนในผ้าห่มชัดๆ หลินเยว่ก็ตกตะลึงตาค้างไปเลยทีเดียวก่อนจะเอ่ยปากถามบุตรสาวออกมา
“หนูไม่รู้ หนูไม่รู้อะไรทั้งนั้น ฮือฮือฮืฮ” จื่อรุ่ยพูดอะไรไม่ออกอีกนอกจากคำว่าไม่รู้และปล่อยโฮออกมาทันที
สุดท้ายก็มีเรื่องงามหน้าเกิดขึ้นในบ้านสกุลจางตามแผนการของหลินเยว่จริงๆ แต่คู่กรณีที่อยู่ในเหตุการณ์กลับเป็นจื่อรุ่ยบุตรสาวของตนเองแทนที่จะเป็นเข่อซินตามที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก
นายท่านจางได้ตกลงกับนายท่านหวังเรื่องการแต่งงานระหว่างจื่อรุ่ยกับนายท่านหวังในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า โดนสินสอดยังคงเป็นเงินจำนวนสิบล้านหยวนตามที่ตกลงกันเอาไว้
“โธ่รุ่ยรุ่ย หยุดร้องไห้ได้แล้วลูก นายท่านหวังเองก็ร่ำรวยมากขนาดนั้น ต่อไปลูกจะได้เป็นคุณนายอยากได้อะไรก็แค่ชี้นิ้วสั่งสุขสบายจะตายไปนะ” หลินเยว่เอ่ยปลอบใจบุตรสาว
“แม่คะ เขาแก่กว่าคุณพ่ออีก ทั้งยังลงพุงหัวล้านหน้าตาน่าเกลียดแบบนั้นหนูเห็นแล้วอยากจะอ้วก ไม่เอาอ่ะหนูไม่อยากแต่ง ยังไงหนูก็ไม่แต่ง” จื่อรุ่ยที่ชอบผู้ชายรูปร่างหน้าตาดีมาโดยตลอดรับไม่ได้กับความแก่และอัปลักษณ์ของนายท่านหวัง
“หยุดโวยวายซะทีเถอะรุ่ยรุ่ย รังเกียจนายท่านหวังนักแล้วอยู่ดีๆทำไมถึงไปลากเขาขึ้นเตียงในห้องนอนของเข่อซินได้ล่ะ” นายท่านจางเอ่ยถามด้วยความโมโหกับเรื่องน่าอับอายขายหน้านี้
“เพราะ เพราะหนูดื่ม..” จื่อรุ่ยกำลังจะพูดเรื่องที่เธอดื่มน้ำส้มใส่ยาลงไปแต่หลินเยว่รีบห้ามเอาไว้ทันที เพราะเรื่องน่าอับอายทำให้สกุลจางต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงแบบนี้หากนายท่านจางรู้เข้าต้องโกรธมากแน่ๆ โดยเฉพาะมันเป็นเรื่องที่เกิดจากฝีมือของพวกเธอเอง
“รุ่ยรุ่ย!!” หลินเยว่เรียกชื่อบุตรสาวเสียงดุก่อนจะทำตาลุกวาว ส่งสัญญาณไม่ให้จื่อรุ่ยพูดอะไรออกมาอีก
“เอาเถอะค่ะคุณ เรื่องมันเกิดขึ้นมาขนาดนี้แล้ว ถามอะไรไปรุ่ยรุ่ยก็เสียใจเปล่าๆ อีกอย่างนายท่านหวังเองก็ยอมรับงานแต่งงานทั้งยังให้สินสอดตั้งสิบล้านหยวนตามที่ตกลงกันเอาไว้ เท่านี้ก็นับว่าดีแล้วนะคะ” หลินเยว่เอ่ยกับสามี นายท่านจางยังคงไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ สุดท้ายจึงหยุดซักไซ้เรื่องราวใดๆจากปากบุตรสาวอีก
หลังจากนั้นไม่นานจื่อรุ่ยก็แต่งงานออกไป ส่วนเข่อซินเมื่อกลับมาที่บ้านในเย็นวันนั้นแล้วได้รู้เรื่องราวทุกอย่างเธอก็ทั้งดีใจและสลดใจไปพร้อมกัน ดีใจที่ตัวเองรอดพ้นจากการแต่งงานกับนายท่านหวัง แต่ก็สลดใจเมื่อรู้ว่าหลินเยว่ไม่มีความเมตตาสงสารให้เธอเลยสักนิด จื่อรุ่ยบุตรสาวของตัวเองจึงต้องมารับกรรมไป ส่วนพ่อของเธอทำท่าทีไม่พอใจได้เพียงชั่วครู่พองานแต่งถูกจัดขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ ได้สินสอดเป็นเงินนับสิบล้านพวกเขาสองสามีภรรยาก็หน้าชื่นตาบานกันเต็มที่เอาเงินสินสอดที่ได้มาไปใช้อย่างสบายอารมณ์
เงินสินสอดส่วนหนึ่งถูกนำมาจ่ายหนี้ให้ห้างสรรพสินค้ากับร้านอาหารที่หลินเยว่กับบุตรสาวให้คนสนิทมาจับจ่ายใช้สอยให้ส่วนลดมากมายทำตัวหน้าใหญ่ใจโตจนขาดทุน ในส่วนของภัตตาคารที่แม่ของเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาร่วมกันกับพ่อของเธอ สองแม่ลูกก็ให้คนมากินฟรีโดยไม่สนใจอะไรนอกจากหน้าตาตัวเองทำให้ขาดทุนไปไม่น้อยเช่นกัน การเอาเงินสินสอดมาโปะหนี้ก็ทำได้เพียงพยุงเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น เพราะหากสองแม่ลูกยังทำพฤติกรรมเหมือนเดิมทุกอย่างย่อมต้องวนกลับไปที่เดิมอยู่ดีนั่นแหละ
เข่อซินเคยเอ่ยปากขอภัตตาคารที่แม่ของเธอเคยเป็นเชฟใหญ่ดูแลบริหารที่นั่นมาก่อนกับพ่อของเธอ แต่พ่อของเธอปฏิเสธมาโดยตลอด อ้างว่าเธอยังเด็กเกินไปปล่อยให้หลินเยว่เข้ามาช่วยควบคุมบริหารแทนและรับปากกับเธอว่าหลังเธอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเขาจึงจะยกภัตตาคารของแม่เธอให้
หลังจากนั้นเข่อซินก็มุมานะตั้งใจเรียน ถือโอกาสปลีกตัวแยกออกมาอยู่เอง โดยอ้างว่าการเรียนที่มหาลัยหนักและการเดินทางไปมาระหว่างบ้านกับมหาลัยไม่สะดวก เธอค่อยๆดึงตัวเองออกมาจากครอบครัวที่เห็นแก่ตัว พ่อที่ใจร้ายลำเอียง แม่เลี้ยงที่เลวทรามต่ำช้า คิดหวังว่าหลังเรียนจบจะเข้าไปขอภัตตาคารที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของแม่เธอมากกว่ากึ่งหนึ่งกลับมาบริหารดูแลต่อด้วยตัวเอง
จนกระทั่งวันที่เธอรับปริญญามาถึง เข่อซินวางแผนเอาไว้ว่าพอรับปริญญาเสร็จเธอจะกลับไปบ้านสกุลจางหลังไม่ได้กลับไปนานเป็นเดือนแล้วเพื่อทวงสัญญาเรื่องภัตตาคารกับพ่อของเธอ
จื่อรุ่ยเดินทางออกจากห้องพักที่เธอเช่าอยู่อาศัยใกล้กับมหาลัย เรียกรถแท๊กซี่เพื่อจะตรงกลับบ้านสกุลจาง หากแต่ในระหว่างทางอยู่ๆแท๊กซี่คันนั้นก็จอดรถกลางคัน
“รถเป็นอะไรไปเหรอคะ จู่ๆทำไมถึงมาจอดตรงนี้ล่ะ” เข่อซินเอ่ยถามคนขับแท๊กซี่
“ขออภัยคุณหนู พอดีผมลืมไปว่ามีเรื่องด่วนต้องโทรคุยธุระกับเพื่อนหน่อยขอจอดแป๊บหนึ่งนะครับ” คนขับแท๊กซี่กล่าว
“ได้ค่ะ แต่เร็วหน่อยนะคะ หนูมีธุระสำคัญรออยู่”
“งั้นผมขอหยิบเอกสารหลังเบาะที่นั่งหน่อยนะครับ” คนขับแท๊กซี่พูดขึ้นพร้อมเดินมาเปิดประตูด้านหลังในส่วนที่แข่อซินนั่งอยู่ เข่อซินเห็นก็ขยับหลบไปด้านข้างทันที ก่อนจะหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง แต่ทันใดนั้นคนขับรถแท๊กซี่ก็เอาผ้าที่มียาสลบโปะลงไปบนจมูกและปากของเข่อซินแล้ว
“อุ๊บบ ทำอะไรนะ อ้ะ ออกไป อุ๊บบ อื้ออๆๆ” เข่อซินพยายามดิ้นรนแต่มีหรือที่แรงของหญิงสาวบอบบางเช่นเธอจะต้านทานแรงของบุรุษได้ ในที่สุดเธอก็สลบไปทั้งอย่างนั้น
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเข่อซินก็พบว่ารถที่เธอนั่งมาก่อนหน้านี้กำลังจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ ตัวเธอที่ถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้พยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลังแต่สุดท้ายความเหนื่อยล้าจากฤทธิ์ยาสลบที่ยังคงลงเหลืออยู่ ความอ่อนแรงจากอากาศที่ค่อยๆหมดไปและความกลัวจนจับขั้วหัวใจทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนอีก
‘นี่ฉันต้องตายไปทั้งแบบนี้สินะ หลิวเยว่คงเป็นเธอแน่แล้วที่อยากให้ฉันตาย ผู้หญิงชั่วช้าแบบนั้นพ่อของเธอยังรักและเชื่อใจอยู่ได้ ช่างน่าเศร้าเสียจริง แม่คะหนูกำลังจะได้ไปพบแม่แล้วรอหนูนะคะ’ สำนึกสุดท้ายของเข่อซินมีเพียงใบหน้าของแม่เธอเท่านั้น ก่อนทุกอย่างจะดับมืดลงไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ พร้อมกับวิญญาณของเธอที่หลุดลอยไปเหลือเพียงร่างไร้ลมหายใจจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ ยากที่ผู้ใดจะพบเจอเธอได้อีก
เมื่อลู่หลินกลับมาถึงบ้านก็พบว่าพ่อแม่และพี่ชายของเธอกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เธอจึงต้องเข้าไปทักทายพวกเขาก่อน“หลินเอ๋อกลับมาแล้วเหรอลูก” นายท่านเสิ่นเอ่ยทักทายบุตรสาว“ทำไมกลับมาดึกนักล่ะ” คุณนายเสิ่นถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง“นั่นสิคราวนี้ไปเที่ยวเล่นสนุกที่ไหนมาล่ะเรา” เสิ่นลี่เฉินพี่ชายเธอก็เอ่ยถามขึ้นอีกคน“ขอโทษนะคะคุณพ่อ คุณแม่ พี่ลี่เฉินที่หนูกลับดึก พอดีนั่งเล่นฟังเพลงอยู่ที่คลับของโรงแรมเราเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ” ลู่หลินเอ่ยขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ซึ่งคำขอโทษของเธอทำเอาทุกคนรู้สึกประหลาดใจจนต้องมองหน้ากันไปมาทีเดียว เพราะโดยปกติแล้วลู่หลินมักทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ใส่ใจที่จะอธิบายอะไร ไม่รู้สึกผิดและไม่เคยขอโทษ ส่วนใหญ่ก็มักจะบ่นกลับมาด้วยซ้ำเวลาที่ถูกตั้งคำถามเช่นนี้“ลูกไม่สบายหรือเปล่าเนี่ยหลินเอ๋อ” คุณนายเสิ่นถามพร้อมยื่นหลังมือไปอังที่หน้าผากบุตรสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกายเธอเบาๆเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย“หนูไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวเล็กน้อยเท่านั้น” ลู่หลินตอบ“ไปทำอะไรมา ตกลงว่าเธอไปนั่งเล่นฟังเพลงหรือไปออกกำลังกายกันแน่ล่ะเนี่ยถึงได้ปวดเมื่อย
กรุงปักกิ่งปี ค.ศ.1982 ณ.โรงแรมเสิ่นกุ้ยเฉิน โรงแรมที่ดีที่สุดภายใต้การบริหารจัดการของสกุลเสิ่น ตระกูลเศรษฐีผู้มั่งคั่งร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในห้าของปักกิ่ง ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงภายในห้องสวีทอันหรูหราฝ่ายชายคือเมิ่งหลีเหว่ย บุตรชายของมหาเศรษฐีและผู้มีอิทธิพลติดหนึ่งในสามของปักกิ่ง ครอบครัวดูแลกิจการอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้างโครงการใหญ่ๆของรัฐบาล รวมทั้งโครงการของเอกชนในระดับสูงครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งปักกิ่งและเมืองใกล้เคียงส่วนฝ่ายหญิงนั้นเป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่เศรษฐีที่มั่งคั่งร่ำรวยติดหนึ่งในห้าของปักกิ่ง ครอบครัวทำธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหารชั้นนำที่มีชื่อเสียงทั้งในปักกิ่งและเมืองสำคัญโดยรอบนามว่าเสิ่นลู่หลิน‘ทำไมมึนหัวแบบนี้นะ เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่’ เสิ่นลู่หลินที่อยู่ในอ้อมกอดของหลีเหว่ยเริ่มรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาภายใต้อ้อมกอดของเขา ความรู้สึกแรกที่เธอสัมผัสได้คือสัมผัสอันหนักหน่วงที่กดทับร่างกายเธออยู่จนทำให้รู้สึกอึดอัดลู่หลินค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะพบว่าเธอกำลังถูกชายหนุ่มผู้หนึ่งกอดกระชับอยู่ในอ้อมแขน ทำให้ลู่หลินถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถู
เวลาผ่านไปได้ราวชั่วโมงกว่านายท่านจางก็เดินทางกลับมาจากที่ทำงานหลังจัดการงานด่วนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อมารอต้อนรับนายท่านหวังคู่ค้าคนสำคัญของห้างสรรพสินค้าสกุลจางตามเวลานัดหมายที่หลินเยว่แจ้งเอาไว้“คุณคะ กลับมาพอดีเลยฉันนี่ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว” หลินเยว่แสร้งตีสีหน้าวิตกกังวลรีบตรงเข้าไปหาสามีทันที“มีอะไรงั้นหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” นายท่านจางถามหลินเยว่ด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ“ก็เข่อซินน่ะสิคะ ชวนนายท่านหวังขึ้นไปคุยกันบนห้องนานแล้ว ป่านนี้ยังไม่ลงมาเลย”“อะไรนะ แล้วเธอปล่อยให้พวกเขาขึ้นไปด้วยกันได้ยังไง” นายท่านจางเอ่ยอย่างตกใจ“ตอนแรกฉันก็พยายามปรามเข่อซินแล้ว แต่เธอไม่ฟังบอกว่าอยากพานายท่านหวังขึ้นไปดูรูปเก่าๆของเธอในห้องนอน นายท่านจางเองก็ตอบรับเข่อซินและบอกฉันว่าไม่ต้องเป็นห่วง ฉันทำอะไรไม่ได้สุดท้ายจึงปล่อยพวกเขาให้ขึ้นไปด้วยกัน” หลินเยว่ตีสีหน้ารู้สึกผิด“ไป..พวกเรารีบขึ้นไปเชิญนายท่านหวังลงมาเถอะ ยังไม่ได้แต่งงานกันแบบนี้มันดูไม่ดีในสายตาคนอื่น”“ค่ะ” หลินเยว่เอ่ยก่อนจะตามสามีขึ้นไป พร้อมรอยยิ้มอย่างดีใจที่แผนของเธอเป็นไปตามต้องการ โดยไม่คิดเอะใจเลยสักนิดว่านางนกต่อหรือลูก
หลังจากเข่อซินออกจากบ้านมาแล้ว เธอก็ตรงไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านคอฟฟี่ช็อปซึ่งอยู่ในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ไม่ห่างจากมหาลัยเซี่ยงไฮ้ที่เธอเพิ่งจะสอบติดมากนัก‘เห็นที เราคงต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างแล้ว พรุ่งนี้นายท่านหวังอะไรนั่นจะมาที่บ้านเพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงาน หลินเยว่ที่รู้อยู่แล้วว่าเราไม่ยอมแต่งงานต้องวางแผนอะไรเตรียมเอาไว้แน่” เข่อซินคิดขณะที่มือก็ถูพื้นทำความสะอาดคอฟฟี่ช็อปเพื่อเตรียมเปิดร้านไปด้วยเข่อซินต้องทำงานพาร์ทไทม์หาเงินเพิ่มเติมเนื่องจากที่บ้านสกุลจางไม่ได้ให้เงินเธอใช้จ่ายมากเพียงพอที่จะเอาไปซื้อหนังสือ อุปกรณ์การเรียนอะไรด้วยซ้ำ พอเธอไปพูดขอกับพ่อเธอเองโดยตรง พ่อเธอก็บอกปัดไปให้หลินเยว่แม่เลี้ยงเธอตลอด และแน่นอนว่าหลินเยว่ทำท่ายึกยักบ่ายเบี่ยงผัดผ่อนไปเรื่อยจนสุดท้ายก็ไม่ได้ให้เงินเธอมาเลยสักหยวน เธอจึงต้องไปทำงานหาเงินมาเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็นด้วยตัวเอง‘ยังดีที่ผ่านมาเธอขยันขันแข็งตั้งใจเรียนจึงได้เงินทุนเพื่อการศึกษามาเป็นค่าเล่าเรียนและมีเงินพอจับจ่ายใช้สอยได้บ้าง แต่เธอไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทนอยู่ในบ้านที่มีพ่อลำเอียงกับมีแม่เลี้ยงและลูกสาวต่างแม่ที่คอยก
ย่านใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ ปีค.ศ.2025 ที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียงในยามค่ำคืนเด็กสาวคนหนึ่งกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อหาเงินมาจับจ่ายใช้สอย ดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อดำรงชีวิตต่อไปให้ดีตามเป้าหมายที่ตนเองตั้งใจเอาไว้จางเข่อซิน นักศึกษาชั้นปีที่ 4 อายุ 20 ปีแห่งมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ รับทำงานพาร์ทไทม์ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ทั้งรับจ้างส่งอาหาร ล้างจาน เป็นเด็กเสิร์ฟ ทำงานในคอฟฟี่ช็อป ทำงานตามร้านอาหาร ภัตตาคารเป็นผู้ช่วยแม่ครัวพ่อครัว รับจ้างพาสุนัขไปเดินเล่นและอื่นๆอีกหลายงานเพื่อหาเงินมาส่งเสียตัวเองเรียนให้จบเข่อซินต้องทำงานอย่างเหนื่อยยากทั้งที่ตัวเธอเองไม่ใช่เด็กกำพร้า หากแต่แม่ของเธอเจ็บป่วยตายไปตั้งแต่เธออายุยังน้อย และหลังจากแม่ตายไปได้ไม่ถึงเดือนพ่อของเธอก็พาเมียใหม่พร้อมกับลูกสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอเข้ามาในบ้าน ซึ่งเธอไม่ได้ประหลาดใจอันใดเนื่องด้วยพ่อและแม่ของเธอทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องผู้หญิงคนใหม่ของพ่อมานานนับปีแล้วหลังจากเมียใหม่ของพ่อเธอกับลูกสาวย้ายเข้ามาในบ้าน เข่อซินก็ถูกกลั่นแกล้งรังแกสารพัด ตัวพ่อเธอเองก็ไม่ได้ใส่ใจคิดปกป้องเธอเลยแม้นแต่น้อย เข่อซ







