เข้าสู่ระบบหลังจากเข่อซินออกจากบ้านมาแล้ว เธอก็ตรงไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านคอฟฟี่ช็อปซึ่งอยู่ในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ไม่ห่างจากมหาลัยเซี่ยงไฮ้ที่เธอเพิ่งจะสอบติดมากนัก
‘เห็นที เราคงต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างแล้ว พรุ่งนี้นายท่านหวังอะไรนั่นจะมาที่บ้านเพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงาน หลินเยว่ที่รู้อยู่แล้วว่าเราไม่ยอมแต่งงานต้องวางแผนอะไรเตรียมเอาไว้แน่” เข่อซินคิดขณะที่มือก็ถูพื้นทำความสะอาดคอฟฟี่ช็อปเพื่อเตรียมเปิดร้านไปด้วย
เข่อซินต้องทำงานพาร์ทไทม์หาเงินเพิ่มเติมเนื่องจากที่บ้านสกุลจางไม่ได้ให้เงินเธอใช้จ่ายมากเพียงพอที่จะเอาไปซื้อหนังสือ อุปกรณ์การเรียนอะไรด้วยซ้ำ พอเธอไปพูดขอกับพ่อเธอเองโดยตรง พ่อเธอก็บอกปัดไปให้หลินเยว่แม่เลี้ยงเธอตลอด และแน่นอนว่าหลินเยว่ทำท่ายึกยักบ่ายเบี่ยงผัดผ่อนไปเรื่อยจนสุดท้ายก็ไม่ได้ให้เงินเธอมาเลยสักหยวน เธอจึงต้องไปทำงานหาเงินมาเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็นด้วยตัวเอง
‘ยังดีที่ผ่านมาเธอขยันขันแข็งตั้งใจเรียนจึงได้เงินทุนเพื่อการศึกษามาเป็นค่าเล่าเรียนและมีเงินพอจับจ่ายใช้สอยได้บ้าง แต่เธอไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทนอยู่ในบ้านที่มีพ่อลำเอียงกับมีแม่เลี้ยงและลูกสาวต่างแม่ที่คอยกลั่นแกล้งรังแกเธอสารพัดไปได้ตลอด เธอจึงตั้งใจทำงานหนักเพื่อเก็บเงินไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง ครั้งนี้คงถึงเวลาแล้วที่เธอจะตัดขาดจากครอบครัวแย่ๆแบบนี้เสียที’ เข่อซินคิดอย่างมุ่งมั่น
วันต่อมาขณะที่เข่อซินกำลังนั่งเขียนอะไรเพลินอยู่ในห้องนอนของเธอ จื่อรุ่ยก็มาเคาะประตูห้อง
“ซินซิน ฉันขอเข้าไปหน่อยสิ” จื่อรุ่ยเคาะประตูเรียก
“เชิญ”
“ซินซิน ทำอะไรอยู่งั้นเหรอ” จื่อรุ่ยเอ่ยถาม ขณะที่ในมือถือแก้วน้ำส้มมาด้วยแก้วหนึ่ง
“ฉันเขียนตารางงานของฉันอยู่ เธอมีธุระอะไรก็พูดมาเถอะ”
“ไม่มีอะไรหรอก พอดีคุณแม่ให้ฉันเอาน้ำส้มคั้นสดใหม่ๆมาให้เธอน่ะ ฉันเองชิมแล้วรสชาติหวานอร่อยดีทีเดียวเธอลองดื่มดูสิสดชื่นมากเลยล่ะ”
“ฉันเพิ่งรู้นะว่าพวกเธอสองแม่ลูกมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบบนี้ด้วย” เข่อซินกล่าว
‘ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้นแต่อาหารในแต่ละมื้อ เธอก็ต้องหากินเอาเองทุกมื้อ ขนาดว่าบ้านเธอมีแม่บ้านคอยทำอาหารให้อยู่แล้ว แต่สองแม่ลูกมักอ้างว่ามันเป็นอาหารที่ทำขึ้นมาเพื่อสุขภาพของเธอกับจื่อรุ่ยโดยเฉพาะไม่เหมาะที่เข่อซินจะกิน จึงให้เธอไปหากินเอาเอง ซึ่งดีที่ป้าแม่บ้านยังเป็นคนเก่าคนแก่ที่รับใช้บ้านสกุลจางมาตั้งแต่สมัยที่แม่เธอยังอยู่จึงคอยทำอาหารแบ่งเอาไว้ให้เธอเป็นประจำอยู่แล้ว แม้นจะไม่ได้ใช้วัตถุดิบชั้นเลิศอย่างที่สองแม่ลูกสั่งซื้อมาโดยเฉพาะสำหรับตัวเอง แต่ก็นับว่ามีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนและช่วยเธอประหยัดค่าใช้จ่ายได้ไม่น้อย’ จื่อรุ่ยคิดถึงชีวิตของเธอที่ผ่านมาและไม่เชื่อว่าสองแม่ลูกทำอะไรโดยไม่หวังผล
“เธอเอาแก้ววางเอาไว้เถอะเดี๋ยวฉันกินเอง” เข่อซินหันมากล่าวกับจื่อรุ่ยที่ยืนมองเธออยู่ตรงประตู
“อย่าวางเอาไว้เลย เดี๋ยวมันจะเสียรสชาติหมด เธอรีบดื่มเถอะ ฉันเองจะได้ช่วยเอาแก้วลงไปเก็บด้วย” จื่อรุ่ยบอกพร้อมนำแก้วน้ำส้มในมือมายื่นให้กับเข่อซินที่โต๊ะหนังสือ
“จื่อรุ่ย ทำไมต้องมารบเร้าให้ฉันดื่มด้วย ฉันยังไม่อยากดื่มวางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ”
“เปล่านะ ฉันไม่ได้รบเร้าอะไรเสียหน่อย ถ้าเธอไม่อยากดื่มก็ตามใจเถอะ งั้นฉันวางเอาไว้ตรงนี้แล้วกัน” จื่อรุ่ยกลัวมีพิรุธสุดท้ายจึงตัดสินใจวางแก้วน้ำส้มเอาไว้แล้วหันกลับออกไป
“อะไรนะ นังเข่อซินนั่นยังไม่ยอมดื่มงั้นเหรอ หรือลูกทำท่าทางมีพิรุธอะไรหรือเปล่า” หลินเยว่ถามบุตรสาวซึ่งเดินลงมารายงานเธอ
“หนูเปล่าทำอะไรให้มันสงสัยนะคะแม่ เพราะหนูกลัวมีพิรุธก็เลยยอมวางแก้วน้ำส้มเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินลงมานี่แหละค่ะ” จื่อรุ่ยบอก หลินเยว่ทำท่าคิดนิดหนึ่งสุดท้ายก็วางแผนต่อ
“เราจะใจเย็นไม่ได้ ต้องรีบให้มันดื่มก่อนที่คุณพ่อจะกลับมา ที่สำคัญนายท่านหวังเองก็กำลังจะมาถึงแล้วด้วยพวกเรารอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“งั้นเราจะทำยังไงดีล่ะคะแม่”
“เดี๋ยวลูกถือคุกกี้นี่แล้วก็แก้วน้ำส้มของตัวเองขึ้นไปให้มัน จากนั้นก็ชวนมันคุยดื่มน้ำส้มให้มันดูต่อหน้ามันจะได้วางใจแล้วดื่มตาม คราวนี้มันก็จะได้ดื่มน้ำที่จะพามันขึ้นสวรรค์ชั้นเซียนไปด้วยกันพร้อมกับนายท่านหวังยังไงล่ะ ฮ่าฮ๋าฮ่า” หลินเยว่เอ่ยพร้อมหัวเราะออกมา สีหน้าแววตาชั่วร้ายยิ่งนัก
“โห คุณแม่นี่ฉลาดจังเลยค่ะ” จื่อรุ่ยเอ่ยอย่างนับถือในความฉลาดของผู้เป็นแม่ โดยไม่รู้เลยว่าเข่อซินกำลังแอบฟังพวกเขาสองคนพูดคุยกันอยู่
‘คิดแล้วเชียวว่าสองแม่ลูกนี่ไม่มีทางหวังดีอะไรกับเธอแน่’ เข่อซินคิดก่อนเตรียมพร้อมขึ้นไปรับสถานการณ์ในห้อง
“เข่อซินคุณแม่ให้ฉันเอาคุกกี้ขึ้นมาให้ ฉันก็เลยถือโอกาสมาชวนเธอคุยแล้วทานของว่างไปด้วยเลย” จื่อรุ่ยเดินเข้ามาในห้องพร้อมวางจานคุกกี้และถือแก้วน้ำส้มของตัวเองมาด้วย
“งั้นเหรอ ขอบใจนะ” เข่อซินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหนังสือกล่าวขอบคุณ ก่อนจะลุกขึ้นมาแล้วทำท่าทีชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เอ๊ะ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันรูปร่างหน้าตาดีมากทีเดียว” เข่อซินเอ่ยพร้อมชะโงกหน้าออกไปดูนอกหน้าต่างอีกครั้ง
“ไหน..ผู้ชายที่ไหน หน้าตาดีด้วยงั้นเหรอ” จื่อรุ่ยสนใจขึ้นมาทันที เธอวางแก้วน้ำส้มของตัวเองลงที่โต๊ะไม่ห่างจากแก้วของเข่อซินนักแล้วรีบตามมาดูชายหนุ่มหล่อเหลาที่เข่อซินบอกอย่างกระตือรือร้น
“นั่นไง เดินไปทางด้านนั้นแล้ว” เข่อซินเอ่ยพร้อมชี้ไม้ชี้มือไปมั่วๆ แต่จื่อรุ่ยก็มองตามพยายามมองหาไปทั่ว
“เข้าไปในบ้านนั้นแล้วมั๊ง เธอรอดูแล้วกัน แป๊บหนึ่งนะ” เข่อซินกล่าวก่อนจะกลับไปที่โต๊ะแล้วรีบสลับสับเปลี่ยนแก้วของเธอกับจื่อรุ่ยทันที
“ไม่เห็นมีเลย เธอตาฝาดหรือเปล่าเนี่ย” จื่อรุ่ยโวยวาย
“เปล่านะ ฉันเห็นจริงๆ สงสัยเขาคงเดินเข้าไปในบ้านแล้วล่ะ”
“คุกกี้นี่อร่อยดีนะ น้ำส้มนี่ด้วย” เข่อซินกล่าวพร้อมดื่มน้ำส้มในแก้วที่สับเปลี่ยนแล้วลงไป จื่อรุ่ยเห็นดังนั้นก็ตาเป็นประกายด้วยความพอใจทันทีที่แผนของเธอกับแม่สำเร็จ ก่อนจะเดินมาหยิบแก้วน้ำส้มของตัวเองดื่มตามลงไปบ้าง
“อืม อร่อยสดชื่นดีจัง งั้นฉันไม่รบกวนเธอแล้วนะขอตัวก่อนล่ะ” จื่อรุ่ยกล่าวอย่างอารมณ์ดีและหันหลังเดินกลับออกไป
“เอ๊ะ เดี๋ยวสิ ผู้ชายนั่นเดินออกมาแล้ว” เข่อซินทำทีเป็นชะโงกหน้าออกไปดูนอกหน้าต่างต่อ
“ไหนไหน ขอดูหน่อยสิว่าหล่อแค่ไหน” จื่อรุ่ยสนใจรีบกลับเข้ามาในห้องทันที
“นั่นไง เห็นหลังไวๆมั๊ยเดินไปที่สวนสาธารณะแล้ว” เข่อซินทำเป็นชี้ไม้ชี้มือหลอกล่อให้จื่อรุ่ยชะเง้อคอหาหนุ่มหล่อที่เธอสมมุติขึ้น
“ไม่เห็นมีเลยอ่ะ เอ๊ะ..ทำไมจู่ๆฉันถึงมึนหัวแบบนี้ล่ะ” จื่อรุ่ยกล่าว ดูเหมือนว่ายาที่แม่ของเธอใส่ลงไปในแก้วน้ำส้มให้เข่อซินดื่มจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
“เป็นอะไรน่ะจื่อรุ่ย เดี๋ยวฉันไปตามน้าหลินเยว่มาให้นะ เธอไปนั่งพักที่เตียงก่อนเถอะ” เข่อซินบอกพร้อมพยุงจื่อรุ่ยไปนั่งที่เตียง ก่อนจะรีบคว้ากระเป๋าเป้ที่มีของสำคัญจัดเตรียมเอาไว้นานแล้วสะพายขึ้นบ่า
‘จื่อรุ่ย ถ้าแม่ของเธอยังพอมีคุณธรรมอยู่บ้าง บางทีเธออาจจะรอดพ้นในสิ่งที่พวกเธอต้องการให้ฉันเจอก็ได้ แต่ถ้าฉันคิดหวังมากไปก็โทษตัวเองกับแม่เธอก็แล้วกันนะ หรือไม่เธออาจจะนึกขอบคุณฉันก็ได้ถ้าการแต่งงานกับนายท่านหวังนั่นมันมีความสุขและดีจริงอย่างที่แม่เธอบอกน่ะ’ เข่อซินหันไปมองจื่อรุ่ยที่มีท่าทีมึนงงอยู่ที่เตียงครู่หนึ่งก่อนจะ ตัดสินใจเดินออกไปโดยไม่รอช้าอีก
นายท่านหวังมาแล้วหรือคะ ดีเลย..เข่อซินรออยู่บนห้องนานแล้วละค่ะ” หลินเยว่ออกไปต้อนรับนายท่านหวังที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงบ้านสกุลจาง
“บนห้องงั้นเหรอ ผมขึ้นไปได้เลยงั้นเหรอ” นายท่านหวังเอ่ยถามหลินเยว่นัยน์ตาเป็นประกาย
“ได้สิคะ คนกันเองทั้งนั้นจะเกรงใจกันไปทำไม เชิญค่ะเดี๋ยวฉันพาขึ้นไปเอง” หลินเยว่รีบอาสาทันที
“ป้าเจิ้งมาทำอะไรตรงนี้เนี่ยทำไมไม่ไปอยู่ในครัวเตรียมอาหารต้อนรับแขก” หลินเยว่เอ่ยเมื่อเห็นป้าเจิ้งคนเก่าคนแก่มาทำท่ารีๆรอๆอยู่ตรงประตูห้องของเข่อซิน
“คือ..คุณจื่อรุ่ยเรียกให้ดิฉันมาเก็บจานขนมกับแก้วเปล่าที่ห้องคุณหนูเข่อซินน่ะค่ะคุณนาย” ป้าเจิ้งเอ่ยตอบตามที่เข่อซินบอกเธอเอาไว้ สุดท้ายก่อนที่เข่อซินจะออกจากบ้านไป เธอก็อดใจอ่อนสงสารจื่อรุ่ยไม่ได้จึงบอกเรื่องราวคร่าวๆกับป้าเจิ้งให้มาขัดขวางในเรื่องที่หลินเยว่วางแผนเอาไว้กับเธอโดยไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้ที่อยู่ในห้องเป็นลูกสาวตัวเองไม่ใช่จางเข่อซินที่จงเกลียดจงชังนักหนา
“ไม่ต้อง จะไปไหนก็ไปเลยไป เดี๋ยวทางนี้ฉันดูแลเอง” หลินเยว่กล่าวเสียงดุ
“แต่ว่า คุณหนูจื่อรุ่ย..” ป้าเจิ้งจะเอ่ยค้านแต่หลินเยว่ขัดขึ้นมาอีก
“บอกให้ไปไง ถ้ายังอยู่ต่อฉันจะไล่แกออกฐานขัดคำสั่ง” หลินเยว่เอ่ยเสียงเข้ม ป้าเจิ้งทำท่าลังเลลำบากใจ แต่ด้วยสายตาและคำพูดของหลินเยว่ เธอจึงคิดว่าอย่างน้อยหลินเยว่น่าจะเข้าไปดูในห้องของเข่อซินสักหน่อย ป้าเจิ้งจึงตัดสินใจเดินจากไป
“นายท่านหวัง คราวนี้ไม่มีใครมาขัดขวางแล้วรีบเข้าไปหาเข่อซินเถอะค่ะ เธอรอนานแล้ว เชิญตามสบายนะคะ” หลินเยว่เอ่ยยิ้มแย้ม ก่อนจะปล่อยให้นายท่านหวังผลักประตูเข้าไปด้านใน โดยที่เธอไม่คิดจะเหลือบแลดูเลยสักนิด
‘ฮึฮึ นังเข่อซิน ต่อไปนี้แกจะได้ไม่ต้องมาอยู่คอยขวางหูขวางตาฉันอีก แต่นับว่าแกยังโชคดีนะที่ได้เป็นเมียเศรษฐีที่ร่ำรวยอย่างนายท่านหวัง ถึงจะแก่ไปสักหน่อยแล้วก็มีเมียเยอะแยะมากมายไปทั่วเมืองก็เถอะ’ หลินเยว่คิดอย่างสะใจพร้อมยืนจ้องมองอยู่หน้าห้องเข่อซินอีกพักหนึ่งพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเดินลงไปข้างล่างรอเวลาให้นายท่านจางกลับมาพบเรื่องงามหน้าในบ้าน
เมื่อลู่หลินกลับมาถึงบ้านก็พบว่าพ่อแม่และพี่ชายของเธอกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เธอจึงต้องเข้าไปทักทายพวกเขาก่อน“หลินเอ๋อกลับมาแล้วเหรอลูก” นายท่านเสิ่นเอ่ยทักทายบุตรสาว“ทำไมกลับมาดึกนักล่ะ” คุณนายเสิ่นถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง“นั่นสิคราวนี้ไปเที่ยวเล่นสนุกที่ไหนมาล่ะเรา” เสิ่นลี่เฉินพี่ชายเธอก็เอ่ยถามขึ้นอีกคน“ขอโทษนะคะคุณพ่อ คุณแม่ พี่ลี่เฉินที่หนูกลับดึก พอดีนั่งเล่นฟังเพลงอยู่ที่คลับของโรงแรมเราเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ” ลู่หลินเอ่ยขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ซึ่งคำขอโทษของเธอทำเอาทุกคนรู้สึกประหลาดใจจนต้องมองหน้ากันไปมาทีเดียว เพราะโดยปกติแล้วลู่หลินมักทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ใส่ใจที่จะอธิบายอะไร ไม่รู้สึกผิดและไม่เคยขอโทษ ส่วนใหญ่ก็มักจะบ่นกลับมาด้วยซ้ำเวลาที่ถูกตั้งคำถามเช่นนี้“ลูกไม่สบายหรือเปล่าเนี่ยหลินเอ๋อ” คุณนายเสิ่นถามพร้อมยื่นหลังมือไปอังที่หน้าผากบุตรสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกายเธอเบาๆเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย“หนูไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวเล็กน้อยเท่านั้น” ลู่หลินตอบ“ไปทำอะไรมา ตกลงว่าเธอไปนั่งเล่นฟังเพลงหรือไปออกกำลังกายกันแน่ล่ะเนี่ยถึงได้ปวดเมื่อย
กรุงปักกิ่งปี ค.ศ.1982 ณ.โรงแรมเสิ่นกุ้ยเฉิน โรงแรมที่ดีที่สุดภายใต้การบริหารจัดการของสกุลเสิ่น ตระกูลเศรษฐีผู้มั่งคั่งร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในห้าของปักกิ่ง ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงภายในห้องสวีทอันหรูหราฝ่ายชายคือเมิ่งหลีเหว่ย บุตรชายของมหาเศรษฐีและผู้มีอิทธิพลติดหนึ่งในสามของปักกิ่ง ครอบครัวดูแลกิจการอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้างโครงการใหญ่ๆของรัฐบาล รวมทั้งโครงการของเอกชนในระดับสูงครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งปักกิ่งและเมืองใกล้เคียงส่วนฝ่ายหญิงนั้นเป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่เศรษฐีที่มั่งคั่งร่ำรวยติดหนึ่งในห้าของปักกิ่ง ครอบครัวทำธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหารชั้นนำที่มีชื่อเสียงทั้งในปักกิ่งและเมืองสำคัญโดยรอบนามว่าเสิ่นลู่หลิน‘ทำไมมึนหัวแบบนี้นะ เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่’ เสิ่นลู่หลินที่อยู่ในอ้อมกอดของหลีเหว่ยเริ่มรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาภายใต้อ้อมกอดของเขา ความรู้สึกแรกที่เธอสัมผัสได้คือสัมผัสอันหนักหน่วงที่กดทับร่างกายเธออยู่จนทำให้รู้สึกอึดอัดลู่หลินค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะพบว่าเธอกำลังถูกชายหนุ่มผู้หนึ่งกอดกระชับอยู่ในอ้อมแขน ทำให้ลู่หลินถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถู
เวลาผ่านไปได้ราวชั่วโมงกว่านายท่านจางก็เดินทางกลับมาจากที่ทำงานหลังจัดการงานด่วนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อมารอต้อนรับนายท่านหวังคู่ค้าคนสำคัญของห้างสรรพสินค้าสกุลจางตามเวลานัดหมายที่หลินเยว่แจ้งเอาไว้“คุณคะ กลับมาพอดีเลยฉันนี่ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว” หลินเยว่แสร้งตีสีหน้าวิตกกังวลรีบตรงเข้าไปหาสามีทันที“มีอะไรงั้นหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” นายท่านจางถามหลินเยว่ด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ“ก็เข่อซินน่ะสิคะ ชวนนายท่านหวังขึ้นไปคุยกันบนห้องนานแล้ว ป่านนี้ยังไม่ลงมาเลย”“อะไรนะ แล้วเธอปล่อยให้พวกเขาขึ้นไปด้วยกันได้ยังไง” นายท่านจางเอ่ยอย่างตกใจ“ตอนแรกฉันก็พยายามปรามเข่อซินแล้ว แต่เธอไม่ฟังบอกว่าอยากพานายท่านหวังขึ้นไปดูรูปเก่าๆของเธอในห้องนอน นายท่านจางเองก็ตอบรับเข่อซินและบอกฉันว่าไม่ต้องเป็นห่วง ฉันทำอะไรไม่ได้สุดท้ายจึงปล่อยพวกเขาให้ขึ้นไปด้วยกัน” หลินเยว่ตีสีหน้ารู้สึกผิด“ไป..พวกเรารีบขึ้นไปเชิญนายท่านหวังลงมาเถอะ ยังไม่ได้แต่งงานกันแบบนี้มันดูไม่ดีในสายตาคนอื่น”“ค่ะ” หลินเยว่เอ่ยก่อนจะตามสามีขึ้นไป พร้อมรอยยิ้มอย่างดีใจที่แผนของเธอเป็นไปตามต้องการ โดยไม่คิดเอะใจเลยสักนิดว่านางนกต่อหรือลูก
หลังจากเข่อซินออกจากบ้านมาแล้ว เธอก็ตรงไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านคอฟฟี่ช็อปซึ่งอยู่ในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ไม่ห่างจากมหาลัยเซี่ยงไฮ้ที่เธอเพิ่งจะสอบติดมากนัก‘เห็นที เราคงต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างแล้ว พรุ่งนี้นายท่านหวังอะไรนั่นจะมาที่บ้านเพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงาน หลินเยว่ที่รู้อยู่แล้วว่าเราไม่ยอมแต่งงานต้องวางแผนอะไรเตรียมเอาไว้แน่” เข่อซินคิดขณะที่มือก็ถูพื้นทำความสะอาดคอฟฟี่ช็อปเพื่อเตรียมเปิดร้านไปด้วยเข่อซินต้องทำงานพาร์ทไทม์หาเงินเพิ่มเติมเนื่องจากที่บ้านสกุลจางไม่ได้ให้เงินเธอใช้จ่ายมากเพียงพอที่จะเอาไปซื้อหนังสือ อุปกรณ์การเรียนอะไรด้วยซ้ำ พอเธอไปพูดขอกับพ่อเธอเองโดยตรง พ่อเธอก็บอกปัดไปให้หลินเยว่แม่เลี้ยงเธอตลอด และแน่นอนว่าหลินเยว่ทำท่ายึกยักบ่ายเบี่ยงผัดผ่อนไปเรื่อยจนสุดท้ายก็ไม่ได้ให้เงินเธอมาเลยสักหยวน เธอจึงต้องไปทำงานหาเงินมาเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็นด้วยตัวเอง‘ยังดีที่ผ่านมาเธอขยันขันแข็งตั้งใจเรียนจึงได้เงินทุนเพื่อการศึกษามาเป็นค่าเล่าเรียนและมีเงินพอจับจ่ายใช้สอยได้บ้าง แต่เธอไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทนอยู่ในบ้านที่มีพ่อลำเอียงกับมีแม่เลี้ยงและลูกสาวต่างแม่ที่คอยก
ย่านใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ ปีค.ศ.2025 ที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียงในยามค่ำคืนเด็กสาวคนหนึ่งกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อหาเงินมาจับจ่ายใช้สอย ดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อดำรงชีวิตต่อไปให้ดีตามเป้าหมายที่ตนเองตั้งใจเอาไว้จางเข่อซิน นักศึกษาชั้นปีที่ 4 อายุ 20 ปีแห่งมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ รับทำงานพาร์ทไทม์ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ทั้งรับจ้างส่งอาหาร ล้างจาน เป็นเด็กเสิร์ฟ ทำงานในคอฟฟี่ช็อป ทำงานตามร้านอาหาร ภัตตาคารเป็นผู้ช่วยแม่ครัวพ่อครัว รับจ้างพาสุนัขไปเดินเล่นและอื่นๆอีกหลายงานเพื่อหาเงินมาส่งเสียตัวเองเรียนให้จบเข่อซินต้องทำงานอย่างเหนื่อยยากทั้งที่ตัวเธอเองไม่ใช่เด็กกำพร้า หากแต่แม่ของเธอเจ็บป่วยตายไปตั้งแต่เธออายุยังน้อย และหลังจากแม่ตายไปได้ไม่ถึงเดือนพ่อของเธอก็พาเมียใหม่พร้อมกับลูกสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอเข้ามาในบ้าน ซึ่งเธอไม่ได้ประหลาดใจอันใดเนื่องด้วยพ่อและแม่ของเธอทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องผู้หญิงคนใหม่ของพ่อมานานนับปีแล้วหลังจากเมียใหม่ของพ่อเธอกับลูกสาวย้ายเข้ามาในบ้าน เข่อซินก็ถูกกลั่นแกล้งรังแกสารพัด ตัวพ่อเธอเองก็ไม่ได้ใส่ใจคิดปกป้องเธอเลยแม้นแต่น้อย เข่อซ







