ชั้นสองของตัวบ้านพักที่ผู้ใหญ่บ้านเตรียมไว้ให้ด้านบนแบ่งออกเป็นสองห้อง มีห้องใหญ่และห้องเล็กทีมจึงตกลงกันว่าจะแยกห้องฝั่งของผู้ชายและผู้หญิงคนละห้องกันโดยมีโถงใหญ่กั้นกลางระหว่างสองห้องเมื่อตกลงแบ่งห้องกันลงตัวแล้ว ทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
หลังจากทุกคนอาบน้ำอาบท่าจัดเก็บข้าวของที่นำมาเรียบร้อย ก็เริ่มหันไปจัดที่นอนฟูกเสื่อเตรียมที่จะเข้านอน ระหว่างที่ต่างคนต่างช่วยกันจัดที่นอนเสียงหมาเห่าหมาหอนดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและลากยาวจนน่ากลัว ทั้งที่ช่วงเย็นไม่มีใครเห็นหมาสักตัวแถวบ้านพักบรรยากาศรอบๆเริ่มเปลี่ยนไปแม้แต่เสียงจักจั่นที่พอจะได้ยินอยู่เนืองๆกลับเงียบลงจนวังเวง มินตราเริ่มเขยิบเข้ามาใกล้ๆผู้เป็นหัวหน้าสายตาสอดส่องมองรอบตัวอย่างระแวงกลัว
“หัวหน้าว่า…มันบรรยากาศแปลกๆไหม?” มินตราเอ่ยขึ้นเสียงอ่อยเข้ามาเกาะแขนของนรินทร์อย่างนึกกลัว สายตาของมินตราสอดส่องไปรอบห้องอย่างระแวง
“มันก็วังเวงจริงๆแหละ…สาธุ ขออย่าให้มีอะไรแปลกๆเกิดกับพวกเราเลย” นรินทร์อดยกมือไหว้ท่วมหัวไม่ได้พลางมองไปรอบๆเหมือนมินตรา แม้ว่ามินตราจะยังเกาะเธอไม่ปล่อยก็ตาม
“มินตรา ไม่มีอะไรหรอก…ปล่อยได้แล้ว จะได้นอนกันสักที” นรินทร์หันไปพูดกับมินตราแล้วส่ายหน้ากับท่าทีของน้องในทีม มินตราได้แต่ยิ้มแห้งๆแต่ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือที่เกาะกุมหัวหน้าทีมของตน
“ก็มันน่ากลัวนี่พี่…รู้สึกเย็นวาบข้างหลังยังไงไม่รู้” มินตราเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไปมองด้านหลังของตน นรินทร์ได้ยินอย่างนั้นก็มองหน้ามินตราเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางด้านหลังของมินตราแทน
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่” พูดพร้อมส่ายหน้าไปมาเพื่อให้รุ่นน้องคลายกังวล แม้ว่าในใจจะแอบหวั่นอยู่บ้าง
“พี่นรินทร์!!” ชายหนุ่มทั้งสามคนต่างพากันวิ่งเข้ามาห้องของหญิงสาว จากที่ไม่กลมเกลียวกลับกลมเกลียวกันเสียอย่างนั้น สีหน้าของทั้งสามดูซีดเผือดไปหมด ถึงอย่างนั้นนิลนนท์อาจจะดูปกติที่สุดแต่ก็ยังไม่วายวิ่งมาพร้อมเพื่อนๆอย่างหน้าตาตื่น
“ว๊าย!!!” มินตราร้องขึ้นอย่างตกใจที่อยู่ ๆหนุ่ม ๆก็พรวดพราดเข้ามา ซ้ำเทวินเรียกนรินทร์เสียงดังโผลงผลางจนสาวๆสะดุ้งโหยง
“อะไรเล่า...มาแบบนี้ตกอกตกใจหมด” พูดแล้วขมวดคิ้วมองหนุ่มรุ่นน้องอย่างคาดโทษ
“ผมว่า…เรานอนกองกันที่ห้องโถงกลางบ้านดีกว่ามั้งครับ” เทวินเอ่ย
“ทำไมล่ะ? มีอะไร?” นรินทร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“ผมเห็นอะไรแปลกๆน่ะพี่” เทวินเอ่ยขึ้นหน้าเสีย
“ฉันก็คิดว่านอนรวมกันดีกว่าอุ่นใจกว่า” นิลนนท์พูดขึ้นอย่างเห็นด้วย เพราะคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยที่สุด ตอนหลับไปเขาอาจจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนรินทร์หรือไม่…แต่มันกำลังจะเกิดขึ้นแน่ๆ
นรินทร์มองหน้าชายหนุ่มทั้งสามคนก่อนจะเหลือบไปมองภากรณ์ที่ยืนหน้าซีดอยู่ด้านหลังไม่พูดอะไรสักคำ สงสัยคงจะไปเจออะไรกันมาจริงๆ…
“ก็…ได้สิ ไปขนผ้าห่ม หมอน ที่นอน เสื่อ กันมาสิ ฉันจะได้ขนออกไปเหมือนกัน” นรินทร์ตอบรับ ก่อนที่ชายหนุ่มทั้งสามคนจะรีบเดินไปเอาที่นอนของตนมาปูกลางบ้าน เหล่าสาวๆเองก็เช่นกันถึงจะไม่พูดแต่สีหน้ากลับดูดีใจเสียอย่างนั้นไม่ได้ระแวงกลัวเหมือนตอนแรกที่คุยกันคงเป็นเพราะรู้สึกอุ่นใจที่มีคนมาสมทบเยอะขึ้น
หลังจากจัดที่นอนหมอนมุ้งเรียบร้อย ทุกคนต่างกรูกันเข้ามานอนชิดติดกัน นิลนนท์เป็นคนที่นอนติดกับนรินทร์ที่นอนตรงกลาง ข้างนรินทร์มีมินตราถัดจากมินตราเป็นเทวิน ส่วนทางด้านนิลนนท์นั้นมีภากรณ์ ที่เป็นแบบนี้เพราะใครมาก่อนได้ที่นอนไม่มีใครกล้าเอ่ยคำพูดใดหรือขัดกันตอนนี้
ทุกคนต่างพยายามข่มตานอนเงียบๆแม้จะยังมีสติดีอยู่แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะขยับ นรินทร์นอนลืมตาขมวดคิ้วพลางรู้สึกอึดอัดปรายสายตาไปมองเพื่อนที่นอนรอบตัว มีเพียงแค่นิลนนท์กับเธอเท่านั้นที่นอนหงาย นอกนั้นนอนคะแตงหน้าเข้าหาเธอและนิลนนท์กันเป็นแถว
นรินทร์ละสายตาจากเพื่อนๆก่อนจะหันไปเห็นแสงไฟสีแดงลอยไปลอยมาจากหน้าต่างห้องของผู้ชาย นรินทร์เบิกตากว้างอย่างเงียบๆ หัวใจเต้นระรัวราวกับกลองชุด คิดเข้าข้างตัวเองว่าอาจจะมองไม่ถนัดเพราะความมืดมันทำให้เราคิดไปเองและมุ้งสีขาวอาจจะพลางสายตามองตะเกียงห้องนั้นที่ยังไม่ดับพลาดไปเองก็ได้ เธอพยายามเพ่งสายตาอีกครั้งก่อนนิ่งค้าง
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นจิตใจของนรินทร์ก็ไม่เคยสงบยังคงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางครั้งก็เหม่อลอยอยู่นานไม่ได้สติ เธอแทบไม่มีสมาธิในการทำงาน แม้ว่าสภาพร่างกายของนรินทร์จะฟื้นตัวจนเกือบจะหายดี แต่สภาพจิตใจของนรินทร์ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยยังคงเซื่องซึมหวาดผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเธอพยายามทุกวิถีทางที่จะหาเขาให้เจอแม้กระทั่งเดินทางไปยังหมู่บ้านบูรบุรีทุกๆสุดสัปดาห์แต่ทว่าทางที่เธอเคยไปกลับไม่มีอยู่ ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้เธอพยายามติดต่อพชรและแสงศรทั้งข้อความทั้งโทรศัพท์แต่สิ่งที่ได้ยินคือไม่มีเลขหมายที่เธอต้องการติดต่อ นรินทร์พยายามหาข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเชื่อมโยงกับพชรแต่ก็ไม่คืบหน้าเลยเหมือนเธอกำลังวนอยู่ในอ่าง ตั้งแต่วันนั้นนรินทร์ไม่เคยได้พบพชรหรือแสงศรอีกเลยราวกับว่าพวกเขาไม่เคยเดินเข้ามาในชีวิตเธอ แต่รอยแผลบนตัวเธอยังคงย้ำเตือนว่าเรื่องราววันนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆเขามีตัวตนจริงๆ ‘ฮือ...ทำยังไงฉันถึงจะติดต่อคุณได้คะพชร ฉันคิดถึงคุ
“ข้ามิได้มาเพื่อเข่นฆ่าผู้ใด ท่านจงวางใจในข้า” พญานกเอ่ย ก่อนจะกระพือปีกสีน้ำเงินนั้นพัดเข้าหาพญานาคทั้งสองมีเพียงมันตราที่กระเด็นกลิ้งออกไปตามแรงพัดนั้น มิอาจต้านแรงพญาครุฑาได้ พญาเพชรแก้วเหลียวมองพญานกนั้นก่อน พญาทศยันต์จ้องมองพญาเพชรแก้วก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าจักจัดการนางเอง” ว่าแล้วก็กระพือปีกบินขึ้นสง โฉบเฉี่ยวคว้าร่างของนาคีสีเขียวตองอ่อนนั้นขึ้นสู่น่านฟ้า มุ่งหน้าไปยังอีกฝากฝั่งของมหานทีพระครูบามันที่เห็นว่าเรื่องราวสงบลงแล้ว ท่านจึงเดินเข้ามาหาพญาเพชรแก้วที่กลับร่างกายหยาบเป็นพชรด้วยท่าทีสงบนิ่ง มองดูจ้าวจอมผู้เป็นใหญ่ช้อนกอดร่างของนางอันเป็นที่รักร่ำไห้ปานจะขาดใจอย่างเวทนาสงสาร“นางยังมิสิ้นใจหรอกท่าน…จิตของนางยังคงช่วยค้ำยันชีวิตและร่างกายนี้เอาไว้อยู่” พระครูบามันเอ่ยว่าแล้วร่างโปร่งใสของนรินธราก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา ร่ำไห้นั่งลงเคียงข้างพชร พลางเอื้อมมือไปจับมือหนาของเขาที่กำลังพยายามช่วยชีวิตของนรินทร์ พลังเหนือธรรมชาติของทั้งสองดวงจิตผสมผสานกันเพื่อช่วยหญิงสาวตรงหน้า&l
“ข้าคอยตักเตือนเจ้าแล้ว…คีภัทรา!! แต่เจ้ากลับไม่มีทีท่าจักสำนึก!! จงกลับลงไปจมสู่ใต้ธาราชั่วนิรันดร์เสีย” ดวงตาสีน้ำผึ้งจ้องมองคีภัทราอย่างเกรี้ดกราด โกรธแค้นเคืองใจนางตรงหน้าที่เคยรักเหมือนดั่งพี่น้อง ค่อยวางร่างของนรินทร์ลงกับพื้นอย่างเบามือทั้งน้ำตา ลุกขึ้นมาหุนหันย่างก้าวเข้าหาพญานาคีห้าเศียรตรงด้วยโทสะ ดวงตาฉายแววอาฆาตต้องการจักปลิดชีพนางเสีย“หยุดก่อนท่าน…จงระงับโทสะแล้วไตร่ตรองดูเสียเถิดท่านพญานาคราชผู้ยิ่งใหญ่ หากท่านพลาดพลั้งไปสิ่งที่ท่านทำมามันก็สูญเปล่า…อย่าได้ต่อเวรต่อกรรมกันเลย ให้มันเป็นหน้าที่ของเวรกรรมที่นางจะต้องได้รับผลนั้นเองเสียเถิด”เสียงนุ่มเย็นดังขึ้นอยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสอง ก่อนจะปรากฏร่างของพระครูบามันเดินเข้ามาขวางทางทั้งคู่ด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ พชรยังคงไม่คลายโทสะลงจ้องมองพระครูและคีภัทราสลับกันไปมา“มันมิใช่กิจของท่าน จงอย่าได้แส่!” คีภัทราเอ่ยขึ้นอย่างไม่เคารพ เวลานี้นางเองก็อยากจะทวงขอความรักจากชายตรงหน้าเช่นกัน หากมิได้ความรักก็ขอต่อเวรต่อกรรมจองจำพบเจอกันมันไปทุกภพทุกช
รถตู้หยุดอยู่ที่ขอบหน้าผาหมิ่นเหม่เหมือนจะตกลงไปอยู่รอมร่อ แต่เพราะลำกายของงูใหญ่นั้นพันเกี่ยวรถตู้เอาไว้ ชูคอหันหน้ามาทางรถที่พชรและนรินทร์นั่งอยู่ราวกับกำลังต่อรอง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของคนในรถดังออกมาจนได้ยินชัดคนในรถต่างพากันหาที่ยึดเหนี่ยวไว้อีกฝั่งก็พญานาคอีกฝั่งก็หน้าผาทุกคนต่างเริ่มร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวมีเพียงนิลนนท์ที่พอจะมีสติแต่เขาเองก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ากลัวไม่ต่างกันสายตาของนิลนนท์มองไปรอบรถตู้อย่างน้อยน่าจะมีอะไรพอช่วยได้บ้างแต่ทว่ามีเพียงเข็มขัดนิรภัยเท่านั้นอย่างน้อยหากตกลงไปก็ยังพอมีโอกาสรอด“ทุกคนรัดเข็มขัด! ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่าถอดออกเด็ดขาด” นิลนนท์พยายามทำเสียงแข็งทั้งที่ในใจหล่นวูบ“ฮืออ พี่นิลมินกลัวนี่มันฝันใช่ไหม” มินตราร้องไห้ด้วยความกลัว“กูอยู่นี่ไม่ต้องกลัว” เทวินปลอบมินตราก่อนจะรีบรัดเข็มขัดของตัวเองและหันไปสำรวจของมินตรา“นายท่านครับ…” แสงศรหันไปเรียกผู้เป็นเจ้านายด้วยสีหน้าจริงจัง พชรพยักหน้าก่อนที่แสงศรจะหักรถกลับไปยังที่เกิดเหตุ
ในคราวแรกความสัมพันธ์ของเธอและเขานั้นพึ่งจะได้ตกลงปลงใจกันได้เพียงวันเดียวก็เกิดเรื่อง เธอรับรู้ความจริงในตัวตนของเขาและปฏิเสธเขาด้วยความกลัวและเกรงขามในบทบาทที่เขาเป็น แต่คราวนี้เธอรับรู้ถึงตัวของเขาทั้งหมดและยอมรับมัน ยอมรับใจตัวเองที่หลงรักเขาไปแล้วตั้งแต่แรกเจอทั้งที่เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนอีกทั้งเรื่องราวความสัมพันนธ์ของเธอและเขามันก็เลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็อยากจะลองดูสักตั้งเหมือนกัน อยากมองเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่สิ่งศักดิ์หรือสิ่งลี้ลับอะไรทำนองนั้นแม้ว่าเธอไม่รู้เลยว่า…อะไรจะเกิดขึ้นกับอนาคตความรักของเธอ…“เลิกหวานกันสักแป๊บได้ไหมคะ มินอิจฉาไปหมดแล้วเนี่ย” มินตราเอ่ย ขณะที่ทุกคนนั่งทานอาหารกันพร้อมหน้ารวมถึงภากรณ์และพนิตาที่ลอบมองพชรและนรินทร์เป็นระยะด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นักที่เห็นทั้งสองคนตักอาหารให้กันไปมองตากันหวานเชื่อมโดยไม่สนใจคนรอบข้างราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่พวกเขา“ไม่กงไม่กินมันละ เลี่ยน!” พนิตาวางช้อนส้อมลงอย่างใส่อา
ภากรณ์ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเมื่อยล้าเขามองไปรอบๆห้องก็พบว่านี่คือห้องของเขาไม่ใช่ห้องของนรินทร์และคนที่นอนอยู่ข้างๆคือพนิตา“นิตา นิตา!”“อื้ม อะไรคะกรณ์เสียงดังจังเลย”“ทำไมคุณมาอยู่นี่ แล้วไอ้พชรล่ะ”“ไม่รู้สิคะ เมื่อคืนนิตาจำได้ว่าอยู่กับคุณพชร”พนิตารวบรวมสติพยายามนึกถึงเมื่อคืนเธอจำได้ว่าพชรกำลังจะจูบเธอแล้วแท้ๆ พนิตานึกเสียดายและมองไปที่ภากรณ์อย่างหัวเสีย “แล้วคุณล่ะ กลับมาตอนไหนเรื่องนรินทร์ล่ะว่าไง?” ภากรณ์ได้ยินอย่างนั้นก็ฉุกคิดในหัวพอตั้งสติได้ก็ไม่รอช้ารีบลุกพรวดออกไปยังห้องของนรินทร์ทันทีด้วยความหงุดหงิด ต้องเป็นพชรทุกทีที่เข้ามาได้ทันเวลามันเสียทุกครั้ง คิดๆแล้วก็เจ็บใจทางด้านมันตราได้แอบออกมาพบคีภัทราด้วยเส้นทางด้านหลังของคฤหาสน์ เห็นผู้มีพระคุณยืนรออยู่ก็รีบเข้าไปหาด้วยความดีอกดีใจ แต่ทว่านางตรงหน้าก