กายหยาบที่แปลงกายมาเดินโซซัดโซเซมายังบ้านหลังใหญ่ท้ายหมู่บ้าน เนื้อกายบางส่วนลอกขึ้นเกล็ดกับงู เกล็ดสีขาวใสราวกับเพชรระยิบระยับไปเกือบครึ่งใบหน้าหล่อนั้น ความทรมานเพราะฤทธิ์อาถรรพ์คำสาปทำเอาเขาแทบหมดแรง
“นายท่าน!”
“แสงศร…” พูดไปพร้อมกับหอบหายใจรวยริน ก่อนที่งูเห่าเผือกสีขาวสหายมือซ้ายจะรีบเข้ามารับพยุงกายหยาบของผู้เป็นนาย ใบหน้าเข้มขมวดคิ้วเล็กน้อยจ้องมองเจ้านายอย่างนึกห่วง
“ข้าว่าท่านควรจักออกจากกายหยาบนี้เสียก่อนขอรับ” แสงศรเอ่ยขึ้น
“มิเป็นไร พาข้าเข้าไปบำเพ็ญภาวนาด้วยกายนี้เถิด”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วแสงศรสหายคู่ใจก็รีบพาเจ้านายเข้าบ้านหลังใหญ่ไปโดยไม่โต้แย้ง การที่ผู้เป็นนายยอมทนเจ็บขนาดนี้เพราะนางในดวงใจกลับมาเกิดแล้วและยังได้พบเจอกันอีกครั้งหลังจากที่พยายามมาหลายพบหลายชาติมักคลาดกันตลอดเพราะคำสาปของนางนาคีผู้ที่หลงรักองค์เพชรแก้ว
และคำสาปของนาคีที่มีบุญญาธิการนั้นมันจะจบลงในชาตินี้ชาติสุดท้ายฤทธิ์คำสาปจึงอ่อนแรงถึงได้สามารถดึงนางผู้เป็นที่รักมายังเมืองนี้ได้ แต่เพราะคำสาปยังไม่หมดไป
การพบเจอกันก็มักจะมีผลตามมาจากการที่ผู้เป็นนายยอมฝืนชะตานำพาเธอเข้าเขตแดนเพื่อรำถวาย อย่างน้อยก็ปลดคำสาปของตัวเขาได้ไปหนึ่งจากสอง ยังดีที่มีคำสัตย์ก่อนสิ้นใจของนางเป็นที่รักที่สาปตัวเองไว้ว่าให้ได้รักกับเขาทุกภพทุกชาติ จึงช่วยหนุนให้ได้เจอกันในกายหยาบได้บ้างแม้จะเป็นเวลาไม่นานก็ตาม
.
.
นรินทร์นั่งอยู่ที่แคร่หน้าบ้านพร้อมกับมองเหม่อออกไปทางทะเลกว้างอย่างยิ้มๆ การพบกันกับชายหนุ่มผู้นั้นมันวนเวียนซ้ำๆในหัวราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังตกหลุมรักชายที่พึ่งพบหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามดึงสติตัวเองแล้วสะบัดใบหน้ารัวๆ
“ไม่ได้สินรินทร์ เธอไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ…แต่ก็หล่อจริงๆอ่ะ”
พูดไปอย่างนั้นแต่ยังคงจ้องหน้าจอรอข้อความของใครบางคนอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนจะทำหน้ามุ่ยที่ไม่เห็นข้อความสักที สายตาเหลือบไปมองหน้าจอมุมขวาบนก็เห็นว่าสัญญานโทรศัพท์ไม่มี มาๆหายๆก็ทำให้รู้สึกเซ็งนั่งถอนหายใจอยู่อย่างนั้น
“อะไรกันครับเนี่ย หัวหน้าเรามานั่งเหม่อคิดถึงใครอยู่...หรือว่า...คิดถึงผมเหรอ?” เทวินเดินเข้ามานั่งลงข้างๆเธอพลางทำหน้าทะเล้น นรินทร์หันไปขมวดคิ้วทำหน้าเซ็งกับคนข้างๆโดยไม่พูดอะไร
“ผมหยอกเล่นน่า…ว่าแต่วันนี้พี่ไปเจอหนุ่มบ้านป่าที่ไหนมาเหรอ? เห็นพี่นิลนนท์กับมินตราพูดกัน”
“ไม่ใช่หนุ่มบ้านป่าสักหน่อย เขาน่าจะไปทำงานอยู่ในเมืองแล้วพึ่งกลับมาซื้อบ้านอยู่ที่นี่มั้ง”
“โห่ รู้ขนาดนั้นเลย? อย่าบอกนะว่าสนใจ?”
“สนสิ หล่อแถมดูรวยใครจะไม่สน”
“ยังไงก็…อย่าลืมผมนะครับ…ผมจีบหัวหน้าจริงๆนะไม่ได้พูดเล่น”
อยู่ ๆเทวินก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังและหันมองเธอด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน นรินทร์หันไปมองคนข้างๆโดยไม่ตอบอะไร แม้ว่าเธอจะพยายามแสดงให้เขาเห็นชัดเจนแล้วว่าเธอคิดกับเขาแค่พี่น้องแต่ดูเหมือนเทวินจะไม่มีท่าทีที่จะยอมแพ้เลย
“เทวิน…จะให้พูดตรงๆเลย แบบคมๆตัดทีเดียวขาดกันเลย”
“โธ่…เห็นใจผมสักนิด ยังงไม่ต้องตอบดีกว่า ผมไม่ได้ต้องการเร่งให้หัวหน้าตอบหรอกครับ แค่อยากให้ลองเอาคิดดู…” เทวินพูดขัดเหมือนไม่อยากจะฟังคำตอบของเธอเพราะเขารู้ดีอยู่แล้ว แต่เขาแค่ต้องการเวลาและโอกาสที่พอจะแสดงให้เธอได้เห็นสักหน่อยก็ยังดี
“ไอ้เทวิน! ไปช่วยจับตุ๊กแกให้มินตราหน่อยสิ” นิลนนท์เดินเข้ามาขัดจังหวะทั้งสองคนเหมือนรู้ทัน
“อ้าว แล้วทำไมพี่ไม่จับล่ะครับ” เทวินหันไปถามอย่างเซ็งๆ เวลาที่เขาอยู่กับนรินทร์มันน้อยลงทุกทีและชอบมีอะไรมาขัดตลอด นิลนนท์หัวเราะแห้งๆก่อนจะตอบ
“พี่กลัวว่ะ…เออน่า มาช่วยกันแป๊บเดียว” นิลนนท์ตอบก่อนจะลากแขนเทวินไปยังห้องน้ำด้านข้างตัวบ้าน นรินทร์มองตามทั้งสองคนพร้อมกับส่ายหน้าและหันไปจ้องมองทะเลตามเดิม คนที่ยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ตั้งแต่แรกเดินออกมาหาเธอแล้วนั่งลงข้างๆอย่างเงียบๆ นรินทร์ปรายตามองครู่หนึ่งก่อนจะตั้งท่าเตรียมลุกออกจากตรงนั้น แต่มือหนาของเขากลับคว้าข้อมือของเธอเอาไว้
“...นั่งก่อนสิ...อย่าพึ่งไป” ภากรณ์พูดขึ้นเสียงอ่อนไม่ได้ประชดประชันเหมือนอย่างที่ชอบทำ นรินทร์เห็นท่าทางจ๋อยๆนั้นก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี แค่ไม่ปริปากพูดก่อน
“ขอโทษ…” ภากรณ์พูดขึ้นพลางหันไปจ้องมองใบหน้าของนรินทร์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“เรื่องไหนก่อนดีล่ะ?”
“ขอโทษที่ทำให้เราต้องหย่ากัน…เรื่องนิตาฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น”
“พอเถอะ ยิ่งพูดยิ่งดูแย่…ทำไปแล้วมาพูดแบบนี้ได้ยังไง ดูไม่เป็นลูกผู้ชายสักเท่าไหร่”
ถ้าหากขอโทษกันได้ง่ายๆแบบนี้คงไม่มีใครหย่ากันแล้วมั้งบนโลกนี้นรินทร์คิด เธอไม่มีทางลืมสิ่งที่เขาทำกับเธอ วันที่ความเชื่อใจของเธอมันพังทลายลงด้วยมือของคนที่เธอรัก
“คุณให้โอกาสผมสักครั้งสินรินทร์ ให้โอกาสเรากลับมาเป็นครอบครัวอีกสักครั้ง”
“โอกาส? นี่มุกตลกเหรอ?…ให้โอกาสคนนอกใจเนี่ยนะ” นรินทร์นิ่วหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อที่ได้ยินแบบนี้
“ผมสัญญาว่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
“ฉันว่าเราสองคนเลยจุดนั้นมาแล้วนะภากรณ์ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัว”
นรินทร์เดินขึ้นมาบนตัวบ้านด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นิลนนท์เห็นภากรณ์เดินตามเธอเข้ามาติดๆก็พอจะเดาสถานการณ์ออก สีหน้าของนรินทร์ได้บ่งบอกทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว แต่เมื่อภากรณ์เดินผ่านหน้านิลนนท์ก็จงใจพูดขึ้นมาลอยๆ
“หมาแถวนี้นี่ไม่รู้จักเจียมตัว มัวแต่เห่าเครื่องบินน่ารำคาญจริงๆ”
“มึงว่าใครเป็นหมาวะ”
“พอสักทีได้ไหมวะ! อย่างน้อยก็ให้เกียรติเพื่อนร่วมงานบ้าง” นรินทร์พูดเสียงแข็งเธอเบื่อเรื่องนี้เต็มที ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อปรามนิลนนท์และเขาก็ยอมเชื่อฟังเธอแต่โดยดี เห็นว่าไม่ได้มีเรื่องนรินทร์ก็หันกลับกุมขมับส่ายหน้าไปมาอีกครั้ง นิลนนท์จ้องมองภากรณ์จนสุดหางสายตาพร้อมกับเดินตามนรินทร์ไป ภากรณ์ยืนมองสองแผ่นหลังกัดฟันอย่างเจ็บใจ
เดินจนเหงื่อตกแทบจะไม่เหลือแรง ภากรณ์หยุดหอบหายใจยืนเท้าสะเอวอย่างหัวเสีย จากที่เดินมายังเทวาลัยมันไม่ได้ไกลขนาดนี้เลย เขาเหลียวกลับไปมองพนิตาที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากเขา อีกทั้งยังทำหน้าบึ้งตึงมองเขาด้วยความไม่พอใจ ดูก็รู้ว่าเธอคิดว่าเขานั้นหลงนั้นแน่ๆ แต่ภากรณ์จำได้ดีว่าทางนี้ก่อนที่จะหันกลับไปมองทางข้างหน้า ภากรณ์หรี่ตาเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งเดินอยู่ไม่ไกลจากเขานัก รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้น“โอ้ย นิตาเดินไม่ไหวแล้วนะคะกรณ์”“เงียบก่อนนิตา นั่นไง เห็นไหม?” ภากรณ์พูดพลางชี้ไปที่หญิงสาวชาวบ้านด้วยท่าทางดีใจ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้น พนิตาชะเง้อมองแล้วรีบเดินตามภากรณ์ไป“ขอโทษนะครับ…บ้านหลังใหญ่ท้ายหมู่บ้านไปทางไหน?” หญิงสาวหันกลับมามองทางเขาที่เอ่ยถามด้วยท่าทางดีใจ ใบหน้าสวยสดงดงามไม่เคยเห็นมาก่อนในหมู่บ้าน ภากรณ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มขึ้น“บ้านคุณพชรหรือคะ?” หญิงสาวนิรนามเอ่ยเสียงหวานพร้อมรอยยิ้ม ภากรณ์มองจ้องหญิงสาวค้างด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ตามประสาผู้ชายเจ้าชู้เวลาเจอ
เมื่ออาการดีขึ้นนรินทร์และพชรก็เดินลงมาเจอทุกคนที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกชั้นล่างของตัวบ้าน ทุกคนต่างมองไปทางเดียวกัน มินตราเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปหานรินทร์ทันทีด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “พี่นรินทร์! ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?” เธอเอ่ยถามพลางจับที่มือของนรินทร์เบาๆ “อือ ไม่เป็นไรแล้ว” “น่าแปลกที่พอพี่มาอยู่ที่นี่เป็นลมบ่อย เมื่อก่อนยังแบกลังหนังสือหนักๆได้เลย” มินตราพูดอย่างนึกสงสัย เพราะนรินทร์หัวหน้าทีมของเธอค่อนข้างที่จะเป็นคนแข็งแรงมากพอสมควร ไม่น่าจะเป็นคนที่ล้มพับบ่อยขนาดนี้แท้ๆ “นั่นสิ พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…” นรินทร์เอ่ยตอบพลางยิ้มแห้งหลบเลี่ยงสายตาของมินตรา เธอไม่กล้าบอกคนในทีมว่าไปเจออะไรมาบ้างไม่อย่างนั้นคนในทีมคงจะกลัวจนไม่กล้าอ
“สำนักพิมพ์ไดมอนด์!!! นี่มันไม่เล็กน้อยแล้วนะคะคุณแสงศร” มินตราเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาวาวเป็นประกายใบหน้าของเธอแสดงออกว่าชื่นชมมากเป็นพิเศษ มินตราแทบไม่อยากเชื่อว่าเธอจะได้มายืนอยู่ข้างๆเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณมินตรา” แสงศรยิ้มตอบมินตราเธอดูจะรู้จักสำนักพิมพ์มากกว่าใครในทีมแม้แต่นิลนนท์เองก็ยังไม่เคยรู้ชื่อเสียงของสำนักพิมพ์มาก่อน“สำนักพิมพ์นี้ดังมากเหรอวะ?” เทวินกระซิบถามเบาๆไม่ให้แสงศรได้ยิน“มึงหัดทำงานบ้างนะไอ้วิน ไม่ใช่ให้โยนให้กูทำจะได้รู้เรื่องกับเขาบ้าง สำนักพิมพ์ไดมอนด์มีทั้งแบบหนังสือรูปเล่ม นิตยสาร เว็บไซด์อีบุ๊ค ไม่ล้าหลังเหมือนสำนักพิมพ์เราหรอกนะ”มินตราร่ายยาวอย่างภาคภูมิใจในความรู้ของตัวเองเพราะเธอเองก็เป็นแฟนพันธ์แท้หนังสือของสำนักพิมพ์นี้เช่นกัน นักอ่านส่วนใหญ่มักจะรู้จักสำนักพิมพ์นี้เป็นอย่างดี หากโลคอลเทรนไม่มีคอลัมม์ของนรินทร์ก็คงจะไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว แตกต่างกับหนังสือและสื่อของสำนักพิมพ์ไดมอนด์อย่างสิ้นเชิงที่มีทั้งเรื่องราววัฒนธร
ชุดไทยสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างน่าทึ่ง ชาวบ้านพากันโห่ร้องด้วยความตกใจปนทึ่ง แม่สายหันไปพยักหน้าให้เหล่านักดนตรีชาวบ้านก่อนจะบรรเลงเพลงที่อ่อนช้อย ซึ่งเป็นบทเพลงที่แตกต่างจากทางด้านภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่จะค่อนข้างเร็ว แต่เพลงรำถวายนี้กลับเป็นการรำอ่อนช้อยเหมือนนางรำในราชวังอย่างไรอย่างนั้น“ไม่เหมือนที่แม่ซ้อมให้ไม่ใช่หรือ?” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามพลางหันไปมองแม่สายผู้เป็นภรรยา“รำนารีบารมี…เป็นรำที่ไม่ใช่ใครก็รำได้ นางโดนสิงอยู่แน่ๆ…” แม่สายเอ่ยพลางมองจ้องไปยังนรินทร์ที่กำลังเริ่มร่ายรำเสียงฆ้องดังสลับกับเสียงตะโพนในจังหวะเนิบๆ เมื่อเธอกระทืบเท้าหมุนตัวหันมาก็เป็นเสียงเป่าสังข์ดังก้องกังวาน พระจันทร์ด้านบนที่ขึ้นพอดีกับปลายยอดเทวาลัยเกิดปรากฏการณ์จันทร์ทรงกลด ชาวบ้านต่างฮือฮาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าราวกับภาพวาดรอยยิ้มหวานบางๆเปื้อนใบหน้า เธอสวยงามไม่ต่างจากในอดีตเลย…ทุกคนในทีมต่างอึ้งทึ่งมองเธอจนไม่กระพริบตา พชรเองก็ไม่ต่างกัน…สายตาคมเอ่อคลอเคลือบไปด้วยน้ำตาใส จ้องมองหญิงสาวที่รำอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้
งานบวงสรวงถูกจัดขึ้นหน้าเทวาลัย แสงเทียนแสงตะเกียงถูกประดับประดาอย่างสวยงาม มันคืองานบวงสรวงที่ผิดกับภาพจำเธอไปเสียหน่อยเพราะว่ามันถูกจัดขึ้นตอนกลางคืน ท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง เธอต้องรำถวายลานหน้าเทวาลัยที่มืดสลัวนั้นนรินทร์ถูกมินตรารุ่นน้องคนสนิทจับนั่งแต่งหน้าอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่ หลังจากที่ถูกกำชับให้อาบน้ำอาบท่าทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำอบน้ำหอมกลิ่นกฤษณาคลอกลิ่นดอกมะลิหอมจนตัวเธอเองยังได้กลิ่น เสื้อผ้สชุดไทยนั้นเธอได้มาจากแม่สายล้วนเป็นสีแดงพร้อมมงกุฏที่สีทอง อีกทั้งยังมีเครื่องประดับสีทอง แต่เธอกลับรู้สึกไม่ชอสีแดงเสียเท่าไหร่ ยิ่งมองตัวเองในกระจกแป้งพับก็ยิ่งทำให้นึกถึงผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่คิดขนก็ลุกเกลียวจนเธอเผลอลูบแขนของตัวเองปอยๆ“พี่นรินทร์หนาวเหรอ?” มันตราที่กำลังตั้งใจแต่งหน้าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง นรินทร์หันไปยิ้มแห้งแล้วส่ายหน้าไปมา มินตราทำหน้างงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามต่อ“อ้าว…อย่าบอกนะว่า….”“ว่า?”“พี่นรินทร์รับรู้ถึงพลังงานบางอย่างเมื่อใส่ชุดนี้” มินตราเอ่ยพลางท
“อุปกรณ์เราถูกไฟไหม้หมดเลย ข้อมูลต่างๆไม่เหลือเลย” นิลนนท์เอ่ยขึ้น หลังจากที่นรินทร์ได้นอนพักเต็มอิ่มมาตั้งแต่เมื่อวานพร้อมกับความทรงจำใหม่ความรู้ใหม่ในหัวที่ตัวเองพึ่งเจอและเห็นมากับตานรินทร์ละความคิดจากเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย แม้ในขณะที่เธอนั่งฟังเพื่อนสนิทของตนพูดและจ้องมองเพื่อนสนิทของตนอย่างเหม่อลอยอยู่ก็ราวกับว่าเป็นภาพของนาคานักรบคนนั้นที่อยู่ข้างกายพญาเพชรแก้วที่มีใบหน้าและชื่อเหมือนกันกับเพื่อนของตน“นรินทร์…นรินทร์!! มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย?” นิลนนท์เรียกและเอามือวาดกลางอากาศใกล้ใบหน้าของนรินทร์แต่เธอยังคงนิ่งค้าง ก่อนที่นรินทร์จะสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองหน้านิลนนท์และคนอื่นๆที่จ้องมองเธอเป็นตาเดียว“ฮะ?! อ๋อ อือ..”“อือ อะไรของมึง สรุปไม่ได้ฟัง?” นิลนนท์เอ่ยย้ำ“พี่นรินทร์ พี่เป็นอะไรไปเนี่ย” มินตราเอ่ยพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย นรินทร์หันไปมองหน้ามินตราก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อยพร้อมดึงมือออก มินตรายิ่งงงไปกันใหญ่กับท่าทีของรุ่นพี่ที่สน