ยามค่ำคืนดึกดื่นที่มีเพียงแสงไฟตามตึกน้อยใหญ่...ห้องสี่เหลี่ยมในคอนโดเล็กๆ ใจกลางเมือง ภายในห้องไร้แสงไฟส่องสว่าง ร่างอรชรนอนขดตัวอยู่กลางเตียงใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้อง ไร้การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจากหญิงสาว มีเพียงหยดน้ำตาที่ยังคงเคลื่อนไหวไหลลงอาบสองแก้มเนียนไม่หยุด
ตั้งแต่กลับมาจากที่ว่าการอำเภอหลังจากเซ็นใบหย่าร้างใบแรกในชีวิตเธอก็หมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรทำได้แต่นอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้นหยดน้ำตาใสไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหลออกจากดวงตาของนิรนทร์แม้แต่น้อย
เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นซ้ำๆ เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงขยับตัวเลย ดวงตาเรียวหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย มือขวาเอื้อมไปกุมที่หน้าอกซ้ายด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่จุกอกอยู่ภายใน สมองพลางคิดโทษโชคชะตาว่าทุกครั้งที่มีความรักทำไมถึงได้พบแต่กับความผิดหวังไม่รู้จบ
...ฉันทำกรรมอะไรไว้วะ...ถึงได้มีความรักที่เฮงซวยมันทุกครั้ง!!...
...พี่ขอโทษ…นรินธรา...เหตุจากคำมั่นสัญญารักของเรา พี่มิอาจปล่อยน้องไปได้...
เสียงที่โต้ตอบเสียงความคิดของเธอที่น้อยเนื้อต่ำใจ...แม้เสียงนั้นจะเอื้อนเอ่ยดังเพียงใดก็ไม่สามารถส่งไปถึงหญิงสาวอันเป็นที่รักยิ่งตรงหน้าได้เลย ร่างโปร่งใสละเอียดเนียนไปกับอากาศไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านั้น นั่งลงบนเตียงข้างหญิงสาวที่นอนร่ำไห้อยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเธอเบาๆ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถรับรู้ได้ก็ตามที...
ดวงตาสีน้ำผึ้งมองหญิงสาวด้วยความห่วงหาอาทรและรักใคร่ แต่เธอก็ไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสได้เลยสักนิด เธอเพียงรู้สึกลึกๆ ภายในใจถึงความอบอุ่นและถูกปลอบโยนจากบางสิ่งอยู่อย่างน่าประหลาดทั้งที่กำลังเศร้า แต่ก็เหมือนกับว่าเธอ...ไม่ได้อยู่คนเดียว ร่างโปร่งใสลูบศีรษะเธออย่างนั้นจนเธอจมสู่ห้วงนิทราในที่สุด เขาจะพบกับเธอได้ทางเดียวเท่านั้นคือในนิมิตแห่งความฝัน...
"ที่นี่ที่ไหน…อีกล่ะเนี่ย?"
นรินทร์มองไปรอบๆ ตัว ก็เห็นแต่เพียงแม่น้ำใสและดอกไม้สีขาวที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนสบายใจ ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนในโลกมนุษย์ ก่อนเธอจะหันหลังไปเห็นปราสาทงดงามที่ตั้งอยู่ คล้ายกับเมืองโบราณอย่างไรอย่างนั้น
หญิงสาวก้มมองเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เปลี่ยนไป กำไลทอง สร้อยทองเครื่องประดับทองคำเต็มไปหมด ชุดทั้งชุดของเธอเป็นสีขาว ผ้าแทบสีขาว ห่มทับด้วยผ้าคลุมไหล่สีขาวบางลากยาวถึงพื้น ด้านล่างเป็นผ้าซิ่นขาวยาวลากพื้นเล็กน้อยพอปิดปลายเท้ามิด เกล้าผมมวยขึ้นสูงมีดอกมะลิประดับมวยผมและมงกุฎสีทองเล็กๆ หน้ามวยผมที่เกล้าสูง
ไม่ทันได้คลำสำรวจตัวเองมากมายเธอก็รู้สึกว่ามีคนกำลังเดินเข้ามา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มรูปร่างล่ำสัน ดวงตาสีน้ำผึ้ง ใบหน้าราวกับเทพบุตรเทวดาหาที่เปรียบใดในโลกไม่ได้ราวกับภาพวาด หมอกเมยมองค้างกับใบหน้าที่งดงามหล่อเหลาไม่ว่าจะยุคไหนก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าหล่อจนตะลึง และที่สำคัญ...เธอจำใบหน้านี้ได้ดี
"คะ...คุณเป็นใคร?"
"ลืมพี่ที่เป็นคนรักของน้องไปเสียสิ้นแล้วหรือ? นรินธรา"
"ฮะ? จำผิดคนหรือเปล่า? ฉันไม่ได้ชื่อนรินธรา"
"มิผิดเพี้ยน พี่มิมีทางลืมหญิงอันเป็นที่รักสุดดวงใจไปได้"
"อย่าบอกนะ ว่าฉันตายแล้ว? ฉันตรอมใจตายเลยเหรอ? เป็นไปไม่ได้แน่ๆคนอย่างนรินทร์เนี่ยนะ"
"มันเป็นเพียงนิมิต อย่าได้ตกอกตกใจไปดวงใจของพี่"
นรินทร์มองหน้าชายหนุ่มที่ยิ้มออกมาบางๆ พร้อมกับสายตาที่ดูรักใคร่เธอจนเธอใจเต้นแรงหญิงสาวพยายามตั้งสติก่อนจะหลับตาแล้วหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกก่อนลืมตา แต่กลับทำให้ใจของเธอเต้นแรงกว่าปกติและสติที่พยายามประคองแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ เมื่อชายหนุ่มหน้าหยกรูปงามนั้นได้เข้ามาใกล้แค่คืบพร้อมมองเธอด้วยสายตาสงสัยกับการกระทำของเธอ
"น้องเป็นอันใดรือ? หายใจมิออกอีกรือ?"
"อะ...เอ่อ...เปล่าค่ะ..."
"หืม? หัวใจน้องเต้นเร็วเกินไปจนได้ยินชัดถนัดนัก ในโลกมนุษย์น้องเป็นโรคร้ายอันใดหรือไม่?"
"ไม่ใช่โรคค่ะ! เพราะคุณอยู่ใกล้เกินไปต่างหาก!"
"งั้นรึ? ที่ใจน้องเต้นรัวเร็วเหตุเพราะพี่รึ?"
ชุดไทยสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างน่าทึ่ง ชาวบ้านพากันโห่ร้องด้วยความตกใจปนทึ่ง แม่สายหันไปพยักหน้าให้เหล่านักดนตรีชาวบ้านก่อนจะบรรเลงเพลงที่อ่อนช้อย ซึ่งเป็นบทเพลงที่แตกต่างจากทางด้านภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่จะค่อนข้างเร็ว แต่เพลงรำถวายนี้กลับเป็นการรำอ่อนช้อยเหมือนนางรำในราชวังอย่างไรอย่างนั้น“ไม่เหมือนที่แม่ซ้อมให้ไม่ใช่หรือ?” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามพลางหันไปมองแม่สายผู้เป็นภรรยา“รำนารีบารมี…เป็นรำที่ไม่ใช่ใครก็รำได้ นางโดนสิงอยู่แน่ๆ…” แม่สายเอ่ยพลางมองจ้องไปยังนรินทร์ที่กำลังเริ่มร่ายรำเสียงฆ้องดังสลับกับเสียงตะโพนในจังหวะเนิบๆ เมื่อเธอกระทืบเท้าหมุนตัวหันมาก็เป็นเสียงเป่าสังข์ดังก้องกังวาน พระจันทร์ด้านบนที่ขึ้นพอดีกับปลายยอดเทวาลัยเกิดปรากฏการณ์จันทร์ทรงกลด ชาวบ้านต่างฮือฮาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าราวกับภาพวาดรอยยิ้มหวานบางๆเปื้อนใบหน้า เธอสวยงามไม่ต่างจากในอดีตเลย…ทุกคนในทีมต่างอึ้งทึ่งมองเธอจนไม่กระพริบตา พชรเองก็ไม่ต่างกัน…สายตาคมเอ่อคลอเคลือบไปด้วยน้ำตาใส จ้องมองหญิงสาวที่รำอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้
งานบวงสรวงถูกจัดขึ้นหน้าเทวาลัย แสงเทียนแสงตะเกียงถูกประดับประดาอย่างสวยงาม มันคืองานบวงสรวงที่ผิดกับภาพจำเธอไปเสียหน่อยเพราะว่ามันถูกจัดขึ้นตอนกลางคืน ท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง เธอต้องรำถวายลานหน้าเทวาลัยที่มืดสลัวนั้นนรินทร์ถูกมินตรารุ่นน้องคนสนิทจับนั่งแต่งหน้าอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่ หลังจากที่ถูกกำชับให้อาบน้ำอาบท่าทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำอบน้ำหอมกลิ่นกฤษณาคลอกลิ่นดอกมะลิหอมจนตัวเธอเองยังได้กลิ่น เสื้อผ้สชุดไทยนั้นเธอได้มาจากแม่สายล้วนเป็นสีแดงพร้อมมงกุฏที่สีทอง อีกทั้งยังมีเครื่องประดับสีทอง แต่เธอกลับรู้สึกไม่ชอสีแดงเสียเท่าไหร่ ยิ่งมองตัวเองในกระจกแป้งพับก็ยิ่งทำให้นึกถึงผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่คิดขนก็ลุกเกลียวจนเธอเผลอลูบแขนของตัวเองปอยๆ“พี่นรินทร์หนาวเหรอ?” มันตราที่กำลังตั้งใจแต่งหน้าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง นรินทร์หันไปยิ้มแห้งแล้วส่ายหน้าไปมา มินตราทำหน้างงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามต่อ“อ้าว…อย่าบอกนะว่า….”“ว่า?”“พี่นรินทร์รับรู้ถึงพลังงานบางอย่างเมื่อใส่ชุดนี้” มินตราเอ่ยพลางท
“อุปกรณ์เราถูกไฟไหม้หมดเลย ข้อมูลต่างๆไม่เหลือเลย” นิลนนท์เอ่ยขึ้น หลังจากที่นรินทร์ได้นอนพักเต็มอิ่มมาตั้งแต่เมื่อวานพร้อมกับความทรงจำใหม่ความรู้ใหม่ในหัวที่ตัวเองพึ่งเจอและเห็นมากับตานรินทร์ละความคิดจากเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย แม้ในขณะที่เธอนั่งฟังเพื่อนสนิทของตนพูดและจ้องมองเพื่อนสนิทของตนอย่างเหม่อลอยอยู่ก็ราวกับว่าเป็นภาพของนาคานักรบคนนั้นที่อยู่ข้างกายพญาเพชรแก้วที่มีใบหน้าและชื่อเหมือนกันกับเพื่อนของตน“นรินทร์…นรินทร์!! มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย?” นิลนนท์เรียกและเอามือวาดกลางอากาศใกล้ใบหน้าของนรินทร์แต่เธอยังคงนิ่งค้าง ก่อนที่นรินทร์จะสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองหน้านิลนนท์และคนอื่นๆที่จ้องมองเธอเป็นตาเดียว“ฮะ?! อ๋อ อือ..”“อือ อะไรของมึง สรุปไม่ได้ฟัง?” นิลนนท์เอ่ยย้ำ“พี่นรินทร์ พี่เป็นอะไรไปเนี่ย” มินตราเอ่ยพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย นรินทร์หันไปมองหน้ามินตราก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อยพร้อมดึงมือออก มินตรายิ่งงงไปกันใหญ่กับท่าทีของรุ่นพี่ที่สน
เสียงร้องห่มร้องของไห้ของเหล่าบริวารที่รับใช้เจ้าแม่นางมานานนั้นกลับกลายเป็นเสียงที่เงียบที่สุดเมื่อจอมกษัตริย์นาคาคำรามลั่น ธารานาคาบริวารผู้ที่จงรักภักดีต่อเจ้าแม่นางด้วยใจจริงเนื่องด้วยหัวใจของนาคาหนุ่มผู้นี้นั้นหลงรักเจ้าแม่นางมาตั้งแต่ก่อนพญาเพชรแก้วและนางจักได้เจอกันเสียอีก ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตนอยู่เสมอจึงมิคิดอาจเอื้อมเป็นอื่น ขอเพียงได้ดูแลตามหน้าที่แต่ทว่าบัดนี้นั้นนางได้ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเขาไปเสียแล้ว ธาราขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมือกำหมัดแน่น สายตาเพ่งมองร่างของเพชรฆาตที่ขาดเป็นสองท่อนเพราะครีบเกล็ดของเจ้าจอมนาคา อีกทั้งนางคีภทัรายังย่างก้าวเข้ามาเตรียมจักหยิบคว้ากริชนั้นขึ้นด้วยรอยยิ้ม ทั้งธาราและรัตนาเห็นอย่างนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปคว้ากริชนาคามาเสียก่อนที่นางคีภทัราจะเอื้อมถึงมัน เพราะเป็นกริชศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงเจ้าของถึงจะทนจับมันได้ นาคาและนาคีทั้งสองกรีดร้อ
ราวกับรับรู้ว่าพญาเพชรแก้วจะกลับมายังวังบาดาลคืนนี้ คีภัทราจึงได้ตระเตรียมแผนการเอาไว้ ไม่หนำซ้ำยังร่ายมนต์บังไว้มิให้ผู้ใดเข้าไปได้ เหล่าบริวารจะไม่สามารถรับรู้ได้แน่เนื่องจากความหยั่งรู้ในบุญบารมีนั้นต่างกัน ธาราเองเมื่อเห็นว่าไม่มีพญานกอย่างที่บริวารว่าก็รีบรุดหน้ากลับมายังหอนอนเพื่อเฝ้าเจ้าแม่นางของตนแต่ก็เห็นว่าประตูปิดอยู่คิดว่านางนาคีบริวารทั้งสองคงจะจัดการเรื่องเจ้าแม่นางเรียบร้อยดีแล้วจึงออกไปทำหน้าที่ของตนต่อ ธาราแลเห็นการกลับมาของพญาเพชรแก้วชายผู้เป็นที่รักของเจ้าแม่นางก็เตรียมจะเข้าไปทำความเคารพและแจ้งเรื่องที่นรินธราล้มหลับไป แต่ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัดไปเสียหมดคีภัทราวิ่งโร่เข้าไปหาพญาเพชรแก้วที่พึ่งกลับมาจากศึก ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นโดยที่ไม่มีใครกล้าขัดเนื่องด้วยเห็นว่าเจ้าจอมกษัตริย์นั้นเกรี้ยวกราดเต็มที่เจ้าแม่นางถูกจองจำอยู่ในคุกนาคาไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรพญาเพชรแก้วกลับเลี่ยงที่จะฟัง แม้จักเป็นคำพูดของหญิงผู้เป็นที่รักอย่างนรินธราก็ตามที ธาราเห็นทีจักทนไม่ไหวจึงตั้งหน้าไปเข้าเฝ้าเจ้าจอมกษัตริย์ด้วยตนเอง“ข้าแต่องค์กษัตริย์แห่งเหล่าน
“นางจักมอบยศถาบรรดาศักดิ์ให้พี่จริงดั่งว่าแน่รึ? มิใช่ว่าทำการสำเร็จก็ปิดปากสังหารพี่ดอกรึ?” ภรรยาสาวเอ่ยถามผู้เป็นสามีด้วยท่าทีที่ไม่ไว้วางใจผู้จ้างวานนัก อีกทั้งในใจยังแอบหวงสามีตนเนื่องจากรู้นิสัยของนาคาหนุ่มสามีตนดี ขนาดรับตนเป็นภรรยายังมีเล็กมีน้อยไม่หยุดหย่อน หากแต่ว่าผู้เป็นภรรยานั้นก็ไม่ได้ต่างจากผู้เป็นสามีเลย อย่างที่เขาเรียกว่า…ศีลเสมอกัน…“มิง่ายปานนั้นดอก ในเมื่อนางบอกว่ามิให้พี่ปริปากว่าใครคือผู้จ้างวานทำเรื่องบัดสี นั่นย่อมหมายถึงความลับของนางอยู่ที่ข้าแลหากพญาเพชรแก้วรู้เข้านางคงมิพ้นถูกชังน้ำหน้าจนถูกเนรเทศเป็นแน่”“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี พี่ก็จักมีเงินมีทองมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นนาคานักรบ จักได้มิมีผู้ใดมาดูแคลนได้อีก” ทั้งสองสามีภรรยาหัวเราะขึ้นมาอย่างพอใจ พลางในหัวคิดถึงสมบัติแลอำนาจในมือก็ยิ่งทำให้สุขใจ“พี่ไปก่อนหนากันตา เจ้าจงอดทนรอคอยพี่”นาคาหนุ่มผู้มากตัณหาเอ่ยลาเมียคู่กรรมจะได้เมียใหม่เป็นถึงนาคีสายเลือดกษัตริย์…จักมิต้องมาทนอยู่ในชั้นนาคาต่ำต้อยอีกเจ้าแม่นางน