"ใครเขาจะมายืนบอกกันล่ะ"
"ถ้าเหตุเป็นเพราะพี่...พี่ก็ดีใจ"
คำพูดพร้อมรอยยิ้มอย่างดีใจของชายหนุ่มทำให้นรินทร์ไม่กล้าที่จะปฏิเสธขัด การเห็นเขาดีใจกลับทำให้รู้สึกดีใจตามไปด้วย หญิงสาวมองใบหน้าเทพบุตรนั้นอยู่นาน รู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับเขาและรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้พบเจอกับเขา เธอแอบคิดว่าถ้าเขามีอยู่ในชีวิตจริงคงจะดีไม่น้อย...แต่นี่คงเป็นแค่ชายในฝันเหมือนที่ใครๆพูดกัน
"แล้วคุณเป็นใคร? เทวดา ผี หรือเทพบุตรกันคะสุดหล่อ?" ไหนๆก็อยู่ในฝันแล้วขอจีบชายในฝันสักหน่อยจะเป็นไรไป นั่นคือสิ่งที่หมอกเมยคิด
"เมื่อถึงเพลาก็จักรู้เอง"
"ทำไมไม่บอกล่ะตัวเอง…เห็นบอกว่าฉันเป็นคนรักของคุณไม่ใช่หรือคะ?"
"อดีตชาติเราคือคนรักที่ยากจะแยกจาก...รักยาวนานเป็นพันๆ ปี..."
"แล้วตอนนี้คุณยังรักฉันอยู่หรือคะ ผ่านมาตั้งพันปีไม่มีคนอื่นบ้างเลยเหรอ?"
"ความรักสำหรับชาวเราผู้ที่ครองอมตะ...มักจักมีหนึ่งเดียวใจเดียวตามที่ตั้งสัตย์สัญญาไว้"
"ว้า...ฉันผ่านการมีสามีมาแล้วน่ะสิ ไม่ได้อยู่รอสุดหล่อเลย"
"พี่รู้แจ้งแก่ใจ...ชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก...เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ย่อมมีสิ่งที่ทำให้ลุ่มหลง...เหตุเพราะความทรงจำในอดีตถูกลบเลือนไป..."
"แล้ว…เราจะได้เจอกันอีกไหม?"
"พี่อยู่เคียงข้างน้องมาตลอดทุกภพทุกชาติ มิเคยได้ห่างหายไป...ไม่ว่าน้องจักอยู่ที่ใดพี่ก็จักหาจนเจอ"
"ฉัน...."
"เวลาของพี่หมดแล้วหนา..."
หญิงสาวที่ได้ยินเหมือนคำจากลาน้ำตาก็เอ่อคลอเบ้าตาสวยอย่างไม่มีสาเหตุ จากการหยอกล้อเมื่อครู่ก็พลันเปลี่ยนไปทันที ภายในใจเศร้าจนรู้สึกหวิว ไม่อาจละสายตาจากชายหนุ่มตรงหน้าที่ทำหน้าเศร้าเช่นเดียวกันกับเธอ ทั้งสองจ้องมองกันอย่างอาลัยอาวรณ์เหมือนไม่อยากแยกจาก หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาไว้ เพราะกลัวว่าจะเห็นหน้าชายหนุ่มได้ไม่ชัดก่อนจะจากกัน...เพราะเธอไม่รู้เลยว่าจะได้เจอเขาอีกหรือไม่ ความฝันเป็นเรื่องที่เราบังคับหรือกำหนดมันไม่ได้
"...พี่...จักขอกอดน้อง...ได้รือไม่"
หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามของคนตรงหน้าแต่กลับเดินเข้าไปหาเขาแล้วกอดแนบกายชายหนุ่มคนนั้นแน่นเหมือนรู้จักและคุ้นเคยกันมานานแสนนาน น้ำตาที่ห้ามไว้ก็ไหลอาบสองแก้มเนียน ชายหนุ่มตรงหน้ากอดเธอตอบก่อนจะมอบจูบอันอ่อนโยนประทับลงบนหน้าผากมนสวยด้วยความคิดถึงอ้อมกอดนี้จากเธอ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อราวกับรูปปั้นนั้น
“เราจักได้พบกันอีกเป็นแน่”
"ชื่อ...ฉันขอทราบแค่ชื่อคุณ...."
"...ข้ามีนามว่า...."
ไม่ทันที่เขาจะได้ตอบทุกอย่างก็เลือนหายไปราวกับสายลมเอื่อยอ่อนที่พัดผ่าน นรินทร์สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อเต็มกาย ความฝันที่เสมือนจริงคงยังตราตรึงติดอยู่ในใจและในความทรงจำอย่างเด่นชัด ไม่เลือนหายไปเหมือนเช่นทุกครั้งอีกแล้ว
ใบหน้าของชายหนุ่มที่ไม่เคยได้เห็นชัดนักจากที่ฝันมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้กลับจำได้ติดตา นี่คงเป็นชายในฝันอย่างที่เขาพูดกันหรือเปล่านะ นรินทร์หันไปมองนาฬิกาตรงหัวเตียงก็ถอนหายใจพร้อมกับกุมขมับ
"ตีสามเนี่ยนะ...น่าจะฝันต่อถึงเช้าสิ"
นรินทร์บ่นอุบกับตัวเองก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปอาบน้ำเพราะตั้งแต่เธอกลับมานอนจมกองน้ำตาก็ไม่ได้อาบน้ำเลยแม้แต่น้อย ร่างโปร่งใสมองดูเธอนั่งบ่นก่อนจะยกยิ้มออกมาอย่างพอใจที่ในใจของหญิงสาวผู้เป็นที่รักได้เริ่มนึกถึงเขาอยู่บ้างแล้ว ชายหนุ่มร่างโปร่งนั่งรอหญิงสาวอยู่ที่เตียงด้วยความยินดี
คืนนี้ก็คงจะเหมือนเช่นทุกคืนที่เขาเคยนอนกอดเธอโดยที่เธอไม่รู้ตัว การที่เขาจะทำแบบนี้ได้ก็ต่อเมื่อหญิงสาวไม่มีพันธะใดในโลกมนุษย์หรือกับมนุษย์คนไหนแล้ว ถ้าเธอมีคู่ครองเขาก็ทำได้แค่มองอยู่ไกลๆ โดยไม่สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ของพวกเขาหรือเข้าไปยุ่มย่ามได้ เว้นเสียแต่อยู่เพียงลำพัง
นรินทร์เดินออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูและผมที่เปียกเล็กน้อย คิ้วเรียวขมวดแน่นเหมือนใช้ความคิด ก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆ ร่างโปร่งแสงที่กำลังนั่งตัวตรงมองเธออยู่
"ว่าแต่...พ่อรูปหล่อชื่ออะไรนะ?"
...พี่มีนามว่า....
ชุดไทยสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างน่าทึ่ง ชาวบ้านพากันโห่ร้องด้วยความตกใจปนทึ่ง แม่สายหันไปพยักหน้าให้เหล่านักดนตรีชาวบ้านก่อนจะบรรเลงเพลงที่อ่อนช้อย ซึ่งเป็นบทเพลงที่แตกต่างจากทางด้านภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่จะค่อนข้างเร็ว แต่เพลงรำถวายนี้กลับเป็นการรำอ่อนช้อยเหมือนนางรำในราชวังอย่างไรอย่างนั้น“ไม่เหมือนที่แม่ซ้อมให้ไม่ใช่หรือ?” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามพลางหันไปมองแม่สายผู้เป็นภรรยา“รำนารีบารมี…เป็นรำที่ไม่ใช่ใครก็รำได้ นางโดนสิงอยู่แน่ๆ…” แม่สายเอ่ยพลางมองจ้องไปยังนรินทร์ที่กำลังเริ่มร่ายรำเสียงฆ้องดังสลับกับเสียงตะโพนในจังหวะเนิบๆ เมื่อเธอกระทืบเท้าหมุนตัวหันมาก็เป็นเสียงเป่าสังข์ดังก้องกังวาน พระจันทร์ด้านบนที่ขึ้นพอดีกับปลายยอดเทวาลัยเกิดปรากฏการณ์จันทร์ทรงกลด ชาวบ้านต่างฮือฮาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าราวกับภาพวาดรอยยิ้มหวานบางๆเปื้อนใบหน้า เธอสวยงามไม่ต่างจากในอดีตเลย…ทุกคนในทีมต่างอึ้งทึ่งมองเธอจนไม่กระพริบตา พชรเองก็ไม่ต่างกัน…สายตาคมเอ่อคลอเคลือบไปด้วยน้ำตาใส จ้องมองหญิงสาวที่รำอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้
งานบวงสรวงถูกจัดขึ้นหน้าเทวาลัย แสงเทียนแสงตะเกียงถูกประดับประดาอย่างสวยงาม มันคืองานบวงสรวงที่ผิดกับภาพจำเธอไปเสียหน่อยเพราะว่ามันถูกจัดขึ้นตอนกลางคืน ท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง เธอต้องรำถวายลานหน้าเทวาลัยที่มืดสลัวนั้นนรินทร์ถูกมินตรารุ่นน้องคนสนิทจับนั่งแต่งหน้าอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่ หลังจากที่ถูกกำชับให้อาบน้ำอาบท่าทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำอบน้ำหอมกลิ่นกฤษณาคลอกลิ่นดอกมะลิหอมจนตัวเธอเองยังได้กลิ่น เสื้อผ้สชุดไทยนั้นเธอได้มาจากแม่สายล้วนเป็นสีแดงพร้อมมงกุฏที่สีทอง อีกทั้งยังมีเครื่องประดับสีทอง แต่เธอกลับรู้สึกไม่ชอสีแดงเสียเท่าไหร่ ยิ่งมองตัวเองในกระจกแป้งพับก็ยิ่งทำให้นึกถึงผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่คิดขนก็ลุกเกลียวจนเธอเผลอลูบแขนของตัวเองปอยๆ“พี่นรินทร์หนาวเหรอ?” มันตราที่กำลังตั้งใจแต่งหน้าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง นรินทร์หันไปยิ้มแห้งแล้วส่ายหน้าไปมา มินตราทำหน้างงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามต่อ“อ้าว…อย่าบอกนะว่า….”“ว่า?”“พี่นรินทร์รับรู้ถึงพลังงานบางอย่างเมื่อใส่ชุดนี้” มินตราเอ่ยพลางท
“อุปกรณ์เราถูกไฟไหม้หมดเลย ข้อมูลต่างๆไม่เหลือเลย” นิลนนท์เอ่ยขึ้น หลังจากที่นรินทร์ได้นอนพักเต็มอิ่มมาตั้งแต่เมื่อวานพร้อมกับความทรงจำใหม่ความรู้ใหม่ในหัวที่ตัวเองพึ่งเจอและเห็นมากับตานรินทร์ละความคิดจากเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย แม้ในขณะที่เธอนั่งฟังเพื่อนสนิทของตนพูดและจ้องมองเพื่อนสนิทของตนอย่างเหม่อลอยอยู่ก็ราวกับว่าเป็นภาพของนาคานักรบคนนั้นที่อยู่ข้างกายพญาเพชรแก้วที่มีใบหน้าและชื่อเหมือนกันกับเพื่อนของตน“นรินทร์…นรินทร์!! มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย?” นิลนนท์เรียกและเอามือวาดกลางอากาศใกล้ใบหน้าของนรินทร์แต่เธอยังคงนิ่งค้าง ก่อนที่นรินทร์จะสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองหน้านิลนนท์และคนอื่นๆที่จ้องมองเธอเป็นตาเดียว“ฮะ?! อ๋อ อือ..”“อือ อะไรของมึง สรุปไม่ได้ฟัง?” นิลนนท์เอ่ยย้ำ“พี่นรินทร์ พี่เป็นอะไรไปเนี่ย” มินตราเอ่ยพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย นรินทร์หันไปมองหน้ามินตราก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อยพร้อมดึงมือออก มินตรายิ่งงงไปกันใหญ่กับท่าทีของรุ่นพี่ที่สน
เสียงร้องห่มร้องของไห้ของเหล่าบริวารที่รับใช้เจ้าแม่นางมานานนั้นกลับกลายเป็นเสียงที่เงียบที่สุดเมื่อจอมกษัตริย์นาคาคำรามลั่น ธารานาคาบริวารผู้ที่จงรักภักดีต่อเจ้าแม่นางด้วยใจจริงเนื่องด้วยหัวใจของนาคาหนุ่มผู้นี้นั้นหลงรักเจ้าแม่นางมาตั้งแต่ก่อนพญาเพชรแก้วและนางจักได้เจอกันเสียอีก ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตนอยู่เสมอจึงมิคิดอาจเอื้อมเป็นอื่น ขอเพียงได้ดูแลตามหน้าที่แต่ทว่าบัดนี้นั้นนางได้ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเขาไปเสียแล้ว ธาราขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมือกำหมัดแน่น สายตาเพ่งมองร่างของเพชรฆาตที่ขาดเป็นสองท่อนเพราะครีบเกล็ดของเจ้าจอมนาคา อีกทั้งนางคีภทัรายังย่างก้าวเข้ามาเตรียมจักหยิบคว้ากริชนั้นขึ้นด้วยรอยยิ้ม ทั้งธาราและรัตนาเห็นอย่างนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปคว้ากริชนาคามาเสียก่อนที่นางคีภทัราจะเอื้อมถึงมัน เพราะเป็นกริชศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงเจ้าของถึงจะทนจับมันได้ นาคาและนาคีทั้งสองกรีดร้อ
ราวกับรับรู้ว่าพญาเพชรแก้วจะกลับมายังวังบาดาลคืนนี้ คีภัทราจึงได้ตระเตรียมแผนการเอาไว้ ไม่หนำซ้ำยังร่ายมนต์บังไว้มิให้ผู้ใดเข้าไปได้ เหล่าบริวารจะไม่สามารถรับรู้ได้แน่เนื่องจากความหยั่งรู้ในบุญบารมีนั้นต่างกัน ธาราเองเมื่อเห็นว่าไม่มีพญานกอย่างที่บริวารว่าก็รีบรุดหน้ากลับมายังหอนอนเพื่อเฝ้าเจ้าแม่นางของตนแต่ก็เห็นว่าประตูปิดอยู่คิดว่านางนาคีบริวารทั้งสองคงจะจัดการเรื่องเจ้าแม่นางเรียบร้อยดีแล้วจึงออกไปทำหน้าที่ของตนต่อ ธาราแลเห็นการกลับมาของพญาเพชรแก้วชายผู้เป็นที่รักของเจ้าแม่นางก็เตรียมจะเข้าไปทำความเคารพและแจ้งเรื่องที่นรินธราล้มหลับไป แต่ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัดไปเสียหมดคีภัทราวิ่งโร่เข้าไปหาพญาเพชรแก้วที่พึ่งกลับมาจากศึก ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นโดยที่ไม่มีใครกล้าขัดเนื่องด้วยเห็นว่าเจ้าจอมกษัตริย์นั้นเกรี้ยวกราดเต็มที่เจ้าแม่นางถูกจองจำอยู่ในคุกนาคาไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรพญาเพชรแก้วกลับเลี่ยงที่จะฟัง แม้จักเป็นคำพูดของหญิงผู้เป็นที่รักอย่างนรินธราก็ตามที ธาราเห็นทีจักทนไม่ไหวจึงตั้งหน้าไปเข้าเฝ้าเจ้าจอมกษัตริย์ด้วยตนเอง“ข้าแต่องค์กษัตริย์แห่งเหล่าน
“นางจักมอบยศถาบรรดาศักดิ์ให้พี่จริงดั่งว่าแน่รึ? มิใช่ว่าทำการสำเร็จก็ปิดปากสังหารพี่ดอกรึ?” ภรรยาสาวเอ่ยถามผู้เป็นสามีด้วยท่าทีที่ไม่ไว้วางใจผู้จ้างวานนัก อีกทั้งในใจยังแอบหวงสามีตนเนื่องจากรู้นิสัยของนาคาหนุ่มสามีตนดี ขนาดรับตนเป็นภรรยายังมีเล็กมีน้อยไม่หยุดหย่อน หากแต่ว่าผู้เป็นภรรยานั้นก็ไม่ได้ต่างจากผู้เป็นสามีเลย อย่างที่เขาเรียกว่า…ศีลเสมอกัน…“มิง่ายปานนั้นดอก ในเมื่อนางบอกว่ามิให้พี่ปริปากว่าใครคือผู้จ้างวานทำเรื่องบัดสี นั่นย่อมหมายถึงความลับของนางอยู่ที่ข้าแลหากพญาเพชรแก้วรู้เข้านางคงมิพ้นถูกชังน้ำหน้าจนถูกเนรเทศเป็นแน่”“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี พี่ก็จักมีเงินมีทองมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นนาคานักรบ จักได้มิมีผู้ใดมาดูแคลนได้อีก” ทั้งสองสามีภรรยาหัวเราะขึ้นมาอย่างพอใจ พลางในหัวคิดถึงสมบัติแลอำนาจในมือก็ยิ่งทำให้สุขใจ“พี่ไปก่อนหนากันตา เจ้าจงอดทนรอคอยพี่”นาคาหนุ่มผู้มากตัณหาเอ่ยลาเมียคู่กรรมจะได้เมียใหม่เป็นถึงนาคีสายเลือดกษัตริย์…จักมิต้องมาทนอยู่ในชั้นนาคาต่ำต้อยอีกเจ้าแม่นางน