ログインสองสัปดาห์ต่อมา สโรชาและเพื่อนร่วมชั้นปีก็เริ่มแยกย้ายกันไปฝึกงาน พอเข้าเทอมสองจะเป็นช่วงรายงานผลการฝึกงานและเริ่มทำโปรเจกต์จบ สำหรับนักศึกษาเรียนดีอย่างสโรชากับโยธกาแล้วคงได้ทำเรื่องจบก่อนกำหนดตามที่หวังไว้ ไม่แน่อาจพ่วงด้วยเกียรตินิยม ทันทีที่ขึ้นปีสาม อาจารย์ก็เรียกทั้งคู่ไปคุยเรื่องทุนการศึกษาและเรื่องไปเรียนแลกเปลี่ยน แต่สองสาวปฏิเสธอย่างหลัง ส่วนเรื่องทุนยังอยู่ในช่วงตัดสินใจเลือกเพราะไม่ได้มีที่เดียวที่อยากได้ตัวคนเก่งอย่างพวกเธอ แถมยังเป็นทุนที่ระบุตัวผู้รับมาชัดเจนอีกด้วย แม้จะสละสิทธิ์แต่คนอื่นก็ไม่สามารถรับแทนได้
“อาทิตย์หน้าอาจารย์จะขอคำตอบเรื่องทุนแล้วนะ” เสียงเพื่อนรักที่นั่งดูดชานมไข่มุกอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะม้าหินอ่อนเอ่ยขึ้น “แกว่าฉันไปจีนหรือเยอรมันดี” คนถามมองหน้าคนฟังอย่างรอคอยคำตอบ สำหรับนักศึกษาที่เรียนเกี่ยวกับธุรกิจระหว่างประเทศแล้วถือเป็นโอกาสดีที่จะได้สร้างคอนเน็คชันและหาประสบการณ์
“แกอยากไปไหนมากกว่ากันล่ะ” สโรชาถามกลับ
“ฉันอยากไปเยอรมัน แต่ถ้าไปจีนก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก อาหารการกินก็คล้าย ๆ กัน ฉันเลยลังเลน่ะ เพราะต้องไปอยู่นาน เลยกังวลเรื่องความเป็นอยู่”
“แล้วทำไมถึงอยากไปเยอรมันล่ะ”
“ฉันชอบผู้ชายฝั่งยุโรปมากกว่าเอเชีย”
“ไปเรียนนะยะไม่ใช่ไปหาผู้ชาย”
“โธ่ ระหว่างเรียนมันก็ต้องได้ติดไม้ติดมือกลับมาบ้างไหมล่ะ” เพื่อนรักตบโต๊ะดังฉาด พอพูดเรื่องผู้ชายก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาทั้งที่เมื่อครู่ยังทำหน้าเบื่อหน่าย “ว่าแต่แกเถอะ จะไปแถวไหน”
“ระหว่างออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ ฉันว่าจะไปนิวซีแลนด์น่ะ ฉันชอบบรรยากาศที่นั่น ส่วนเรื่องผู้ชายก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะฉันชอบโซนนั้นอยู่แล้ว”
“แรดมากค่ะ เมื่อกี้ยังว่าฉันอยู่เลย” สองสาวสะบัดหน้าหนีกันก่อนจะหันกลับมาหัวเราะคิกคักใส่กัน สเปคผู้ชายของทั้งคู่คือหนุ่มฝรั่งเท่านั้น หากมีดวงตาสีฟ้ากับผมสีทองเหมือนเจ้าชายหรือดยุกในนิยายย้อนยุคที่ชอบอ่านเแถมมาด้วยก็ยิ่งชอบไปใหญ่ แต่ทุกวันนี้หาได้ยากเลยลดสเปคลงเหลือแค่หนุ่มฝรั่งเฉย ๆ
“จะว่าไปฉันก็ลืมถามแกเลย เรื่องที่บ้านอะ เป็นไงบ้าง” เพื่อนรักถามด้วยความเป็นห่วง “วันนั้นพ่อฉันบอกว่าจะคุยกับพ่อแกเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ฉันยุ่ง ๆ เลยไม่ได้ถามว่าช่วยอะไรได้บ้างไหม”
“ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอก แกก็รู้นี่ว่าพ่อกับแม่ฉันไม่เคยพูดเรื่องงานหรือเรื่องปัญหาอะไรให้ฟังเลย จนฉันต้องแอบยื่นมือเข้าไปยุ่งแบบเงียบ ๆ เนี่ย นี่ขนาดวันนั้นฉันพูดชัดแล้วนะว่าต้องบอก ยังจะปิดเงียบอีก” ดวงหน้าน้อยยับย่นเมื่อพูดถึงพ่อกับแม่
“ที่จะเข้าไปยุ่งน่ะ ใช่เกี่ยวกับเรื่องที่แกจะไปฝึกงานที่เคยบอกวันนั้นไหม”
“อืม ใช่ เขาเป็นเจ้าของที่นั่น แถมยังเจอตัวยากเลยต้องใช้วิธีนี้ถึงจะได้เจอเขา”
“ก็ว่าทำไมอยู่ดี ๆ แกถึงเลือกไปฝึกงานที่บริษัทนำเข้าซูเปอร์คาร์”
“ก็นายทุนใจร้ายนั่นไม่ยอมมาคุยกับพ่อฉันเองน่ะสิ เห็นว่าไม่เคยมีใครได้เจอเขาเลยด้วย ไม่รู้จะเก็บตัวอะไรนักหนา ตัวแทนที่เขาส่งมาก็เคี่ยวมาก เจรจาอะไรก็ล้มเหลวไปหมด ไม่รู้จักยืดหยุ่นเอาซะเลย ฉันเลยจะลองไปเจอเขาดูสักครั้ง”
“จะดีเหรอพรีม แกไม่รู้เรื่องงานในบริษัทของพ่อแกสักอย่าง แล้วในสายตาเขา แกก็คงเป็นแค่เด็กอะ เขาจะยอมคุยกับแกเหรอ”
“ฉันไม่ได้จะเจรจากับเขาเอง แค่ไปขอร้องเขาให้เจอกับพ่อสักครั้ง ยังไงขั้นตอนเทคโอเวอร์ก็ขอยื่นเจรจาใหม่ได้จนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ ตอนนี้พ่อยังไม่ได้ตอบตกลงเพราะหาทางยื้ออยู่ มันไม่มีทางอื่นแล้ว”
“ฉันว่าอย่าเลยแก ถ้าพลาดทำเสียงานขึ้นมาจะทำยังไง นี่ชีวิตจริงนะยะไม่ใช่นิยายแนวมาเฟียหรือเมียขัดดอก ที่อ่อยปุ๊บแล้วเขาจะยกหนี้ให้น่ะ”
“ฉันไม่ได้จะไปอ่อยเขา แค่ขอให้เขาเจอกับพ่อสักครั้งแค่นั้น อีกอย่างตอนนี้บ้านฉันก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”
“ฉันไม่ได้ไปด้วยนะ พอเห็นเป็นบริษัทนำเข้ารถฉันก็กลัวฝึกไม่ผ่านอะ”
“อืม เข้าใจ เรื่องเรียนเรื่องใหญ่” สโรชาพยักหน้าให้เพื่อนเพราะเข้าใจจริง ๆ
“แต่มีอะไรแกต้องบอกฉันนะ”
“รู้แล้วน่า”
“แล้วจะเริ่มฝึกวันไหน ถ้าช้ากว่านี้ชั่วโมงไม่ครบนะ”
“พรุ่งนี้ค่ะ”
“งั้นก็ขอให้โชคดีในทุกเรื่องที่จะทำนะยะ” สองสาวนั่งคุยกันต่อสักพักคนขับรถของแต่ละบ้านก็มารับจึงแยกย้ายกันกลับ
วันต่อมา…
@บริษัท อาเมียร์คาน ยูเออี ซูเปอร์คาร์ จำกัด
บนตึกสูงตระหง่านตาที่มองลงมาเห็นวิวทิวทัศน์เป็นอาคารบ้านเรือนและตึกน้อยใหญ่หลายหลัง รวมถึงถนนหนทางกับรถไฟฟ้าอีกหลายสายที่แล่นไปมา ร่างอรชรในชุดนักศึกษารัดรูปกำลังยืนถ่ายเอกสารจำนวนหลายสิบชุดอยู่ บนกระดาษเอสี่สีขาวในมือเธอมีรายชื่อผู้ถือหุ้นและข้อมูลเกี่ยวกับกิจการของครอบครัวที่ถูกฉกฉวยไปอย่างไม่เป็นธรรม
“ทำไมมีแต่ชื่ออิตาคาริบนี่เต็มไปหมดเลยล่ะ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อดูเอกสารกี่แผ่นก็ไม่มีชื่อของคนที่คิดว่าน่าจะเป็นนายทุนหน้าเลือดคนนั้น
“นายตัวแทนคนนั้นชื่อคาริบ บินอาลี อาลบูลัต ตำแหน่งประธานบริษัท แต่กลับแนะนำตัวกับพ่อว่าเป็นแค่ตัวแทน แปลก ๆ นะเนี่ย คนในออฟฟิศก็บอกว่าเขาเป็นประธานบริษัท แต่ทำไมพี่ผู้ช่วยเลขาที่ให้เรามาถ่ายเอกสารถึงบอกว่าเขาเป็นแค่ประธานในนาม ถ้างั้นคนที่เป็นประธานตัวจริงนี่ใครล่ะเนี่ย โอ๊ย! นี่มันความสัมพันธ์อะไรกัน ยุ่งเหยิงชะมัด” เรียวปากสวยพึมพำไม่หยุดขณะคิ้วเรียวขมวดจนเป็นปม ตาก็เพ่งมองกระดาษในมือไปด้วย
“น้องพรีม เอกสารที่พี่ฝากได้หรือยังคะ” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับเสียงรองเท้าส้นเข็มของหญิงสาววัยกลางคนเดินเข้ามา
“ได้แล้วค่ะพี่หญิง” ดวงหน้าน้อยปรับมาเป็นปกติพร้อมฉีกยิ้มหวานให้คนถามก่อนจะยื่นเอกสารที่จัดเรียงเป็นชุดไว้ให้
“ดีเลย ผู้ถือหุ้นเข้าไปกันครบแล้ว พี่ต้องรีบเอาไปแจก น้องพรีมก็อยู่แถวนี้ไปก่อนนะ วันแรกน่าจะไม่มีอะไรให้ทำ”
“ค่ะ ว่าแต่พี่หญิงคะ นอกจากผู้ถือหุ้นแล้วเจ้านายเราเขาจะมาประชุมด้วยไหมคะ” คนถูกถามทำท่าขบคิดพร้อมกับพยักหน้าตอบ เธอไม่ได้สงสัยอะไรเพราะเด็กฝึกงานกี่รุ่นที่เข้ามาก็ชอบถามนี่นั่นเป็นปกติอยู่แล้ว
“หมายถึงเจ้านายตัวจริงใช่ไหม เพิ่งมาเมื่อกี้น่ะ แต่ไม่เข้าประชุมหรอก เพราะมีท่านประธานทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว”
“อ๋อ งี้นี่เอง”
“จะว่าไปแล้วพี่จะไปชงกาแฟให้นายใหญ่นี่นา คุยเพลินเลยอะ ต้องรีบเอาเอกสารไปส่งห้องประชุมแล้วด้วย”
“ให้พรีมเอากาแฟไปเสิร์ฟแทนไหมคะ เพราะห้องประชุมพรีมไม่น่าเข้าไปได้ พี่หญิงจะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมา” คนที่หวังอยากเจอเจ้านายตัวจริงลองเสี่ยงถามดู
“เอางั้นเหรอ งั้นพี่ฝากด้วยนะ ขึ้นลิฟต์ไปอีกสามชั้น ห้องใหญ่สุดประตูสีดำ กาแฟดำร้อนโนชูการ์”
“ค่ะ” พอผู้ช่วยเลขาเดินออกไปแล้ว สโรชาก็รีบตรงไปยังแพนทรีรูมเพื่อชงกาแฟ
“ซวยแล้ว! ลืมไปเลยว่าคุณคาริบห้ามคนที่ไม่ได้ยืนยันตัวตนขึ้นไปชั้นนั้น” พี่หญิง หรือผู้ช่วยเลขาชาวไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับคาริบผู้เป็นประธานบริษัทและเจ้านายตัวจริงอุทานออกมา
“คุณหญิง คุณคาริบให้มาตามครับ” แต่ยังไม่ทันจะได้วิ่งกลับไปหาน้องฝึกงาน เสียงทุ้มของพ่อหนุ่มอาหรับหน้าคมในชุดสูทสีดำก็ดังขึ้น “ต้องรีบประชุมแล้วครับ เพราะนายใหญ่มีตารางงานต่อ คุณคาริบต้องไปด้วย”
“…อ่าค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เจ้าของรองเท้าส้นเข็มสีดำรีบหอบเอกสารปึกหนาเดินตามเพื่อนร่วมงานไปติด ๆ ในใจภาวนาขอให้สาวน้อยจัดการปัญหาทางนั้นได้ด้วยดี “พี่ขอโทษนะน้องพรีม ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจนต้องเปลี่ยนที่ฝึกงาน เดี๋ยวพี่หญิงคนนี้จะเขียนหนังสือแนะนำให้เอง”
ติ๊ง!บานประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับร่างอรชรในชุดนักศึกษารัดรูปเดินสะพายกระเป๋าออกมา สิ่งหนึ่งที่สโรชาสัมผัสได้คือบรรยากาศในชั้นยังเงียบสงบเหมือนเดิม ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือวันนี้ไม่มีใครเอาปืนมาจ่อหัวเธอเสียงรองเท้าส้นเข็มสีดำดังกระทบพื้นมันวาวตามจังหวะเยื้องย่าง ร่างน้อยเดินผ่านหน้าบอดี้การ์ดหนวดเฟิ้มนับสิบที่ยืนนิ่งไม่กระดิก และไม่สนใจเธอนับตั้งแต่ก้าวขาออกจากลิฟต์ เหลือบมองแต่ละคนที่เดินผ่านหากบอกว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้งเอามาตั้งไว้ก็คงเชื่อ“ก็นะ เจ้าชายลำดับที่สองแห่งราชวงศ์บ่อน้ำมันที่รั้งตำแหน่งเจ้าผู้ครองรัฐ คงไม่จ้างคนธรรมดามาเป็นบอดี้การ์ดหรอก” เสียงแผ่วพึมพำก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องที่เคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะยกมือเคาะ บานประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดออกราวกับรู้ว่าเธอมาถึงแล้ว“ท่านอาซิซบอกให้รีบเข้าไปครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มที่เปิดประตูออกเอ่ยขึ้นพร้อมผายมือเข้าไปด้านใน ขณะที่สโรชาเดินเข้าไป เขาและเพื่อนอีกคนที่เคยยืนประจำอยู่ก็ออกมาและปิดประตูลง“สวัสดีค่ะ กลับมาเร็วจังเลยนะคะ” เรียวปากสวยเอ่ยทักทายร่างกำยำที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวพันรอบเอวไว้ เจ้าของห้องนั่งอ้าขาโ
อีกด้านหนึ่ง...“เหมือนจะไม่รู้ว่าถูกคนอื่นหมั่นไส้นะครับ ไม่รู้ด้วยว่าโดนแขวะ” คาริบพูดกับเจ้านายขณะยืนกอดอกมองหน้าจอขนาดใหญ่ที่กำลังฉายภาพโซนหนึ่งของออฟฟิศ “ก็นายบอกเองนี่ ว่าเด็กคนนี้เหมือนโตมาในทุ่งลาเวนเดอร์ มองอะไรก็คงเห็นเป็นดอกไม้นั่นแหละ” ชีคหนุ่มกระตุกยิ้มเบา ๆ ขณะมองภาพสาวน้อยบนหน้าจอ “หรือไม่ก็อาจจะรู้แต่แสร้งไม่รู้แล้วหาทางตลบหลังอยู่ก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ยต่อขณะดวงตาคมจับจ้องไปที่ต้นขาขาวเนียนของคนที่นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าเล่น“งั้นก็หายห่วงนะครับ เพราะต่อไปคุณสโรชาคงมีข่าวลือแปลก ๆ กับท่านอาซิซ” แค่หญิงสาวที่เข้ามาดูแลเจ้านายเขาแบบชั่วครั้งชั่วคราวยังโดนมองด้วยสายตาแปลก ๆ และถูกพูดถึงด้วยเรื่องเสื่อมเสียมากมาย แล้วสโรชาที่เป็นเด็กฝึกงานในบริษัทฯ ล่ะจะเหลืออะไร “ว่าแต่ท่านอาซิซให้คนเตรียมโต๊ะทำงานในนี้ทำไมครับ” องครักษ์หนุ่มหันไปมองมุมหนึ่งของห้องแล้วก็สงสัย ทันทีที่เดินทางกลับถึงเมืองไทย นายเหนือหัวของเขาก็ให้จัดโต๊ะทำงานในห้องเพิ่มอีกตัว“เอาไว้ให้เด็กฝึกงาน”“ห๊ะ เด็กฝึกงานจะมาทำอะไรในห้องนี้ครับ”“ก็ฝึกงานน่ะสิ หนุ่มพรหมจรรย์อย่างนายจะไปรู้อะไร”“…” คิ้วเข้มขององครักษ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา…“พรีมไปแล้วนะคะ ต่อไปแม่กับพ่อไม่ต้องรอกินมื้อเย็นแล้วนะ ช่วงนี้ที่ออฟฟิศเตรียมเปิดตัวซูเปอร์คาร์ใหม่ พรีมอาจกลับช้าเพราะต้องอยู่ช่วยเตรียมงาน” เสียงหวานเอ่ยกับแม่ที่ออกมายืนส่งหน้าบ้าน ส่วนพ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว“จ้ะ ต่อไปพ่อกับแม่เองก็จะยุ่งมากขึ้นเหมือนกัน น่าจะไม่มีเวลาให้พรีมด้วยเพราะบริษัทฯ อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง พรีมต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก”“รับทราบค่ะ แม่กับพ่อไม่ต้องห่วงพรีมนะ แล้วก็ต่อไปไม่ต้องให้คนขับรถไปรับไปส่งแล้วนะคะ พรีมอยากลองใช้ชีวิตแบบพนักงานออฟฟิศดูค่ะ ว่าจะเริ่มตั้งแต่เย็นนี้เลย” สาวน้อยส่งยิ้มให้แม่ก่อนจะเดินขึ้นรถที่คนขับเปิดประตูรออยู่ “ลองใช้ชีวิตพนักงานอะไรล่ะ ลุงอูฐคนนั้นให้บอดี้การ์ดมาคอยตามประกบต่างหาก” ร่างน้อยเอนตัวลงเบาะอย่างคนหมดแรง ดีหน่อยที่ลีมูซีนคันงามมีกระจกกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร คนขับรถเลยไม่เห็นท่าทางของคุณหนูในตอนนี้“ชีวิตพนักงานออฟฟิศมันมีอะไรให้น่าทดลองกัน แม่ก็ไม่เอะใจเลย สงสัยคงจินตนาการว่าลูกสาวกำลังโตแล้วแน่เลย ฮือ” สองขาเรียวชูขึ้นเหนืออากาศแล้วถีบทึ้งไปมาราวกับเด็กน้อยเมื่อนึกถึงข้อความที่ได้รับจากเบอร์ป
“มีอะไร? ทำหน้าเหมือนตัวเองเสียผลประโยชน์” เจ้าของใบหน้าคมเข้มเอ่ยถามคนที่นั่งขมวดคิ้วมองกระดาษสีขาวในมือ ตอนนี้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาที่ทั้งคู่นั่งอยู่มีเอกสารหลายแผ่นวางไว้ ซึ่งแต่ละแผ่นสโรชาอ่านมาแล้วทุกตัวอักษร“เรื่องเทคโอเวอร์กับรายละเอียดการจัดการบริษัทฉันเข้าใจค่ะ ไม่มีอะไรโต้แย้ง เรื่องที่คุณให้คนนัดวันเจรจาใหม่กับพ่อก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องมีคนติดตามหรือบอดี้การ์ดด้วย” คิ้วเรียวย่นชนกันพร้อมเงยหน้าไปสบตาเขาอย่างไม่เข้าใจ “หรือคุณกลัวว่าฉันจะหนี”“ทำไมต้องกลัว” ริมฝีปากหนามีเคราอ่อน ๆ ปกคลุมเอ่ยพร้อมช้อนตามองสาวน้อยตรงหน้า “ยังไงเธอก็หนีฉันไม่พ้นอยู่ดี” ความมั่นใจในตัวเองของเขาทำสโรชาหมั่นไส้ แต่ก็ต้องทนไว้เพราะข้อตกลงของเขามันเป็นผลดีต่อกิจการของครอบครัว“ตอบให้ตรงคำถามสิคะ จู่ ๆ ก็มีใครไม่รู้มาติดตามทุกฝีก้าว คุณไม่คิดว่าพ่อแม่ฉันจะสงสัย หรือคนอื่นจะมองแปลก ๆ เหรอคะ”“งั้นจะให้ตามห่าง ๆ ก็แล้วกัน” “เหตุผลที่ฉันต้องมีบอดี้การ์ดส่วนตัวคืออะไรคะ”“คิดว่าเป็นผู้หญิงของฉันแล้วชีวิตเธอจะปลอดภัยหรือไง เธอไม่ได้เข้ามาคืนเดียวแล้วแยกย้ายเหมือนผู้หญิงคนอื่นนะ เราต้
“อึก” เสียงหอบหายใจดังขึ้นทันทีที่เรียวปากอิ่มได้รับอิสระ รสจูบเมื่อครู่ทั้งหนักหน่วงและรุนแรงราวกับจะกระชากวิญญาณของเธอให้ออกจากร่าง สโรชานั่งก้มหน้ากุมอกข้างซ้ายที่ก้อนเนื้อด้านในเต้นโครมครามไม่หยุด จูบแรกของเธอใช้แลกโรงแรมไปแล้ว“เซ็นเอกสารแผ่นแรกไปแล้ว ต่อไปให้เซ็นแผ่นไหนดี” ดวงตาคมไล่มองนกตัวน้อยนั่งสั่นระริกด้วยความชอบใจ ความรู้สึกตื่นเต้น แปลกใหม่ ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนทำให้อูฐแก่อย่างเขาติดใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ลิ้มลอง แม้จะเคยโอบกอดหญิงสาวมามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนตัวสั่นในอ้อมแขนเขา แถมยังมีท่าทีเงอะงะราวกับนกน้อยเพิ่งหัดบิน ไม่ใช่เงอะงะเพราะเสแสร้งแกล้งทำให้เขาพอใจเหมือนหญิงสาวที่เคยเจอมา“ถะ ถ้ามีคนเข้ามาล่ะคะ” เสียงสั่นเอ่ยถาม แม้มองไม่เห็นบานประตูเพราะร่างกำยำยืนบังอยู่ แต่ก็ไม่สบายใจ “ไม่มีใครเข้ามาหรอก แต่ถ้าเข้ามาแล้วจะทำไม?” มือใหญ่ลูบไล้หน้าขาขาวเนียนช้า ๆ ก่อนจะเคลื่อนเข้าไปด้านในกระโปรงทรงเอจนร่างเล็กสะดุ้ง“อ๊ะ! ดะ เดี๋ยวสิคะ ที่คุณพูด หมายความว่ายังไง”“ลูกน้องฉันไม่ใช่พวกปากพล่อย”“แต่เขาก็เห็นนี่คะ”“ถึงเห็นก็จะบอกว่าไม่เห็น ถึงได้ยินก็จะบอกว่าไม่ได
“ฉันจะยกเลิกการเทคโอเวอร์โรงแรม แล้วมาเทคโอเวอร์เธอแทน โอเคไหม”“…คะ?”สโรชาหน้าแดงก่ำ สองมือเล็กกำกันแน่นเมื่อได้ยินข้อเสนอของเขา ในใจสับสน ไม่รู้ว่าควรโกรธหรือต้องรู้สึกยังไง“ถ้าไม่สนใจก็กลับไปทำงานซะ วันนี้ฉันต้องเตรียมตัวออกไปข้างนอก” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ ร่างใหญ่เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้โซฟาตัวสีน้ำตาลเข้มตามเดิม สองตาคมจ้องมองมายังร่างน้อยที่ยืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็งก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงประตูดังขึ้นเรียกสติร่างน้อยให้กลับคืนมา สโรชาสบตากับเจ้าของร่างใหญ่อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไร เสียงคนที่เปิดประตูเข้ามาก็ดังขึ้น“ท่านอาซิซ เหมือนว่าเราต้องส่งตัวแทนไปแล้วล่ะ…” ภาษาอาหรับดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของคนมาใหม่ ร่างใหญ่เงียบลงแค่นั้นเมื่อเห็นคนแปลกหน้ายืนอยู่ในห้อง เขาจำได้ว่าเมื่อเช้าหญิงสาวที่เข้ามาดูแลเจ้านายไม่ใช่คนนี้ สองตาสีเข้มหันไปสบตากับเจ้านายราวกับต้องการคำตอบ “มีเรื่องอะไร” คนถูกถามด้วยสายตาไม่ยอมตอบแต่เอ่ยถามเรื่องอื่นแทนสโรชายืนมองสองหนุ่มด้วยความประหม่า เธอไม่รู้ว่าควรออกไปหรือต้องอยู่รอคุยกับเขาก่อนดี แต่ที่รู้ตอนนี้คือผู้ชายที่เข้ามาใหม่ม







