"จะอย่างไร...เด็กคนนี้ต่อไปเติบโตขึ้นจะได้มีความเกรงใจกตัญญูต่อไทเฮา" มหาเสนาบดีเจียงผิงกล่าวต่อ "ท่านพ่อคิดว่าสมควรปล่อยให้เติบโตหรือ?" ไทเฮาย้อนถามกลับ "หากเขาเติบโตขึ้นและกุมอำนาจไว้ในมือได้ คิดว่าเขาจะปล่อยข้าหรือ?"มหาเสนาบดีเจียงผิงรู้ดีแก่ใจว่า...คำพูดของบุตรสาวนั้นมีทีท่าว่าจะกลายเป็นความจริงได้มากทีเดียว...หากฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้นแล้ว ได้รู้ความจริงว่า จางอวี้เหลียนมารดาแท้ๆ ของเขา ที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย(พระสนมเอก) ถูกฮองเฮาใส่ร้ายจนต้องขังในวังเย็น ซ้ำร้ายฮองเฮายังส่งคนไปเผาวังเย็นคลอกมารดาของเขาตายอย่างน่าอนาถ เท่านั้นยังไม่พอ...ฮองเฮายังวางยาฮ่องเต้ให้เหมือนป่วยตายเพราะความเศร้าเสียใจต่อการตายของสนมจางอวี้เหลียน...ครั้นพอฮ่องเต้น้อยได้ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียงหกเดือน ฮองเฮาได้เลื่อนขึ้นเป็นไทเฮา และด้วยการสนับสนุนของมหาเสนาบดีเจียงผิงผู้บิดา ได้นั่งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการร่วมกับไท่ชินอ๋อง นางยังถวายผ้าแพรขาว (สั่งให้ผูกคอตาย)ให้แก่ฮองไทเฮาอีกด้วย "ดังนั้น...ข้าต้องจัดการอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะเติบโต" ไทเฮาเอ่ยเรียบๆ "ไทเฮาหมายถึงเปลี่ยนผู้นั่งบ
ซูไห่ถังถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเล่าต่อไปว่า "พอแม่เติบโตเป็นสาว ซูมามาก็ติดต่อแม่สื่อให้หาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด เพื่อตบแต่งแม่ออกไป เศรษฐีที่กล้าสู้ราคาซูมามา เป็นชายชราอายุแปดสิบ เขาจะแต่งแม่ไปเป็นนางบำเรอ...แต่แม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดไม่ยอมแต่งให้เขา ซูมามาจึงวางยานอนหลับแม่ แล้วให้เขาเข้าหา แล้วบังคับแม่ให้ยอมแต่ง แม่ได้เสียตัวไปแล้ว จึงจำใจยอมแต่งตามที่ซูมามาต้องการ แต่ภรรยาเอกคนที่สอง(ภรรยาเอกคนแรกเสียชีวิต สามารถแต่งภรรยาเอกคนที่สอง ซึ่งจะมีสิทธิ์เท่าภรรยาเอกคนแรกทุกประการ)ของเขาพร้อมบุตรชายมาอาละวาดที่หอคณิกา จนงานแต่งครั้งนั้นต้องล้มเลิก แม่อยู่ในหอคณิกาต่อมา...ซูมามาก็ให้แม่รับแขกที่ร่ำรวย ที่สามารถประมูลตัวแม่ในราคาสูง หลังจากแม่รับแขก ซูมามาก็จะให้แม่กินยาป้องกันการตั้งครรภ์ แม่มองไม่เห็นอนาคตที่ดี นอกจากอยู่นานไปต้องกลายเป็นหญิงคณิการาคาถูกคาหอคณิกาเป็นแน่ ก็คิดจะหาทางแต่งงานกับบุรุษที่มีอนาคตสักคน ประกอบกับเวลานั้นได้พบกับหลี่ไฉที่เป็นขุนนางหนุ่มอนาคตไกล ยังหนุ่ม และหน้าตาดี แม่ก็หลงรักเขา เขาเองก็ชอบแม่ แม่ลอบให้เงินเขาให้ประมูลตัวแม่...หลังจากที่มีอะไ
คืนนั้น...ไท่ชินอ๋องกลับถึงจวนต้นยามจื่อ( 23.00 น ) จึงเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเข้าห้องนอน โดยไม่ได้ให้ขันทีคนสนิทติดตามเข้าไปด้วย ก็เห็น...หลี่ชิงนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา พอเห็นไท่ชินอ๋อง...หลี่ชิงก็ลุกขึ้นยืนน้อมคำนับ "คารวะท่านอ๋อง" "ดึกแล้ว...ทำไมเจ้าไม่เข้านอนละ ชิงชิง?" "ข้าน้อยรอท่านอ๋องอยู่" หลี่ชิงกล่าวพลางเข้าไปช่วยท่านอ๋องถอดเสื้อราชสำนักออก ไท่ชินอ๋องพอจะคาดเดาได้ว่า เด็กหนุ่มคงมีเรื่องต้องการจะพูด และต้องการจะพูดเรื่องอะไร...จึงกล่าวว่า "ข้าง่วงแล้ว ชิงชิง" "ขอเวลาให้ข้าน้อยประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นขอรับ" หลี่ชิงกล่าวต่อทันทีว่า "วันนี้ข้าน้อยได้สนทนากับมารดาแล้ว...มารดาของข้าน้อยเคยเป็นหญิงคณิกามาก่อนจริงๆ ถึงแม้บิดาของข้าน้อยจะไม่ใช่ผู้ฟ้องร้องคนนั้นก็ตาม แต่สักวันเรื่องนี้ก็ต้องถูกเปิดเผยจนได้ ซึ่งจะทำให้ท่านอ๋องชื่อเสียงมัวหมอง อีกประการหนึ่งท่านอ๋องก็ได้กวาดล้างตระกูลเฉาไปเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เบี้ยอย่างข้าน้อยอีกต่อไป...ท่านอ๋องโปรดอนุญาตให้ข้าน้อยพามารดาไปจากเมืองหลวงด้วยขอรับ" ไท่ชินอ๋องดึงร่างบอบบางมาโอบกอดเอาไว้ แล้วก้มจู
วันต่อมา...ไท่ชินอ๋องพาหลี่ชิงไปร่วมงานประเพณีล่าสัตว์ ที่ทุ่งหญ้านอกกำแพงเมืองทิศเหนือ ไท่ชินอ๋อง อ๋องสาม อ๋องสี่ ล้วนขี่ม้าศึกตัวใหญ่ รวมทั้งแขกเมืองอย่างคณะทูตจากซีเซี่ยด้วย ส่วนไทเฮา กุ้ยหวางเฟย พระชายาอ๋องสามและฮ่องเต้น้อย นั่งเกี้ยวมา โดยหลานกงกงอุ้มฮ่องเต้น้อยเอาไว้ พวกท่านอ๋องกับคณะทูตและองครักษ์คนสนิทต่างสะพายธนูออกล่าสัตว์ ไทเฮา กุ้ยหวางเฟย พระชายาอ๋องสาม และฮ่องเต้น้อย พักอยู่ในกระโจม นั่งดื่มน้ำชา หลบแดด ฮ่องเต้น้อยวิ่งเล่นไปมาตามประสาเด็ก...อยู่ๆ ก็วิ่งมาเกาะตักของหลี่ชิง ส่งเสียงเล็กๆ ว่า "ผู้ใดอ่า ...ฉวยจัง" ไทเฮาที่นั่งอยู่ข้างๆ ค้อนให้อย่างไม่พอใจ หลานกงกงรีบเข้ามาจะอุ้มฮ่องเต้น้อยออกไป แต่ฮ่องเต้น้อยงอแงไม่ยินยอม...หลี่ชิงจึงอุ้มฮ่องเต้น้อยขึ้นมานั่งตัก ฮ่องเต้น้อยยื่นมือป้อมๆ มาแตะแก้มของหลี่ชิง เอ่ยแต่คำว่า "ฉวยจังๆ..." ไทเฮามองอย่างหงุดหงิดรำคาญ จึงลุกจากเก้าอี้มาดึงตัวฮ่องเต้น้อยส่งให้หลานกงกง แล้วสั่งว่า "พาฮ่องเต้ไปเล่นที่อื่นก่อน อย่าให้มารบกวนกุ้ยหวางเฟย" "พ่ะย่ะค่ะ" หลานกงกงลนลานรับคำ แล้วอุ้มฮ่องเต้น้อยออกไป แม้ฮ
หลี่ชิงยืนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า แล้วเม้มปากสนิท...เมื่อเช้า เขากับอาเฟยนั่งรถม้าของจวนไท่ชินอ๋องไปรับมารดาที่บ้าน แล้วออกทางประตูเมืองทิศตะวันออกไปยังสวนป่า ระหว่างที่ทำทีเป็นเที่ยวชมดอกไม้ของฤดูใบไม้ร่วง ก็หลบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องส้วม ก่อนจะสลัดเหล่าขันทีที่ติดตามมาและบรรดาเพื่อนๆ ของอาเฟย พากันไปขึ้นรถม้าที่ว่าจ้างไว้ ซึ่งเป็นรถม้าที่ดูธรรมดาอย่างยิ่ง คนขับรถม้าเป็นชายวัยสามสิบ หน้าตาไม่มีอะไรโดดเด่น เสื้อผ้าสีเทาเนื้อหยาบ เป็นคนไม่พูดมาก หลี่ชิงสั่งให้ไปทางไหนก็ไปทางนั้น หลี่ชิงสั่งให้รถม้ากลับเข้าเมืองก่อนจะไปออกทางประตูเมืองทิศใต้ จนกระทั่งดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ จึงให้หยุดพัก เพื่อกินอาหาร อาเฟยนั่งอยู่บนพื้นกำลังกินหมั่นโถวอย่างหิวจัด หลี่ชิงยืนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ซูไห่ถังจับไหล่บอบบางของบุตรชาย แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา "อาชิง...ถ้าลูกอยากจะกลับไปหาไท่ชินอ๋อง แม่ก็ไม่ว่านะ...อนาคตช่างมันเถอะ...รอให้เกิดขึ้นเสียก่อน ค่อยแก้ไขก็ได้" "แม่...จะอย่างไรในที่สุดก็ต้องจากกัน พวกเราไปเสียตอนนี้ดีกว่า ดีกว่าเกิดเรื่องก่อนแล้วค่อยจาก ตอนนี้อาจจ
ในห้องนอน ตำหนักใหญ่... เสี่ยวอี้จื่อยกสำรับอาหารมาตั้งโต๊ะให้หลี่ชิง พลางส่งเสียงบอกอย่างนอบน้อมว่า "อาหารมาแล้วขอรับ กุ้ยหวางเฟย"หลี่ชิงจึงลุกจากเตียงนอนไปนั่งที่โต๊ะ...โซ่ที่ล่ามข้อเท้ายาวพอให้เขาลุกเดินในระยะหนึ่งจั้ง( สองเมตรครึ่ง ) เสี่ยวหงจื่อกล่าวเสริมว่า "กินให้มากๆ นะขอรับ กุ้ยหวางเฟยกินได้มากเท่าไหร่ อาหารที่ส่งให้ซูฟูเหรินก็มีจำนวนมากเท่านั้น" หลี่ชิงน้ำตาหยดลงในชามข้าวขณะคีบอาหารเข้าปาก ในเวลาเดียวกัน...ที่เรือนดอกเหมย สาวใช้ก็ยกสำรับมาตั้งโต๊ะ แล้วเชื้อเชิญซูไห่ถังกิน "กินมากมากนะเจ้าคะ...ฟูเหรินกินได้มากเท่าไหร่ กุ้ยหวางเฟยก็จะได้รับอาหารมากเท่านั้นเจ้าค่ะ" สาวใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน อาชิง เวลานี้แม่คงทำเพื่อลูกได้อย่างมากที่สุดก็คือพยายามกินให้มากๆ เท่านั้น...ซูไห่ถังคิดในใจ พลางยกตะเกียบขึ้นกินอาหารอย่างเงียบๆ ที่กลางป่า...อาเฟยกำลังกัดกินไก่ย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ อ๋องสี่บอกว่า...กินไก่ย่างหมดหนึ่งตัว จะได้เงินสามตำลึง กินน้อยกว่าหนึ่งตัวหักเงิน กินมากกว่าหนึ่งตัวไม่ว่า... อาเฟยคิด...หากกินไก่ย่างมื้อละตัว สิบมื้อสิบต
เพราะฮ่องเต้น้อยและตราแผ่นดินหายไป...ไท่ชินอ๋องจึงต้องเข้าวังกลางดึก เขาตรงไปหาไทเฮาที่ตำหนักของนาง แต่ตำหนักของไทเฮาวันนี้ไร้ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นขันที นางกำนัล ราชองครักษ์ หรือแม้แต่ทหารยาม พอเปิดประตูห้องโถงใหญ่เข้าไปก็เห็นตรงกลางห้อง...ร่างของอ๋องสามนอนอยู่บนพื้นในสภาพเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าไท่ชินอ๋องสะบัดมือวูบ...ลูกเหล็กลูกหนึ่งก็พุ่งใส่หน้าผากของร่างบนพื้นทันที...อ๋องสามรีบพลิกตัวหลบอย่างหวุดหวิด ลูกเหล็กกระทบกับพื้นจนเกิดเป็นหลุมหลุมหนึ่งก่อนจะกระดอนกลับไปอยู่ในมือไท่ชินอ๋อง อ๋องสามดีดตัวยืนข้างๆ ไทเฮา กล่าวว่า "พี่ใหญ่ ท่านยังคงเหี้ยมโหดไม่เปลี่ยนแปลง แม้แต่กับศพ ท่านยังลงมือได้" "ศพที่จ้องจะทำร้ายข้าอย่างเจ้านะหรือ" ไท่ชินอ๋องควงลูกเหล็กในมือเพิ่มขึ้นเป็นสี่ลูกด้วยมือข้างเดียว "ข้าต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษอยู่แล้ว" "เวลานี้ ภายในวังถูกข้าควบคุมเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่ไทเฮาก็ถูกข้าสะกัดจุดเอาไว้ ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว" อ๋องสามกล่าวสีหน้ากระหยิ่ม แต่เพราะมีคราบเลือดปลอมแปลงบนใบหน้า จึงทำให้ดูขัดหูขัดตา "เจ้าต้องการอะไร?" ไท่ชินอ๋องถาม "พว
ไท่ชินอ๋องมองศพของไทเฮานิ่งๆ อึดใจหนึ่ง จึงเดินจากไป...เพื่อตรงไปยังห้องโถงของตำหนักหลวง ที่นั่นคนที่เคยปลอมตัวเป็นคนขับรถม้า เขาคือชั่งเหอ รองหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์รออยู่ พร้อมกับเหมยฟงองครักษ์ซ้าย "สามารถควบคุมหน่วยราชองครักษ์ได้แล้วขอรับท่านอ๋อง" ชั่งเหอน้อมกายรายงาน "ทางท่านอ๋องสี่ส่งข่าวมาว่า งานสำเร็จเรียบร้อยขอรับ" เหมยฟงกล่าว ไท่ชินอ๋องยกยิ้มอย่างเบาใจ...อ๋องสี่สามารถปลิดชีพแม่ทัพภาคเหนือเจียงจ้าน พี่ชายของไทเฮาแล้ว แต่ข่าวดีมาถึงไม่ถึงอึดใจ ข่าวร้ายก็ตามมา ทันใด...หลิวกงกงก็พุ่งทะยานเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้า "เรียนท่านอ๋อง เกิดเรื่องกับกุ้ยหวางเฟยแล้วขอรับ" "เกิดอะไรขึ้น?" ไท่ชินอ๋องถาม สีหน้าเครียด "กุ้ยหวางเฟยถูกพ่อบ้านเจา เสี่ยวอี้จื่อ และเสี่ยวลู่จื่อจับตัวไป เสี่ยวฉีจื่อและเสี่ยวหงจื่อล้วนถูกทำร้ายบาดเจ็บ พวกเขาทิ้งจดหมายฉบับนี้ไว้" หลิวกงกงส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ไท่ชินอ๋องที่ลานกว้างภายในจวนของมหาเสนาบดีเจียงผิง...หลี่ชิงถูกมัดแขวนไว้กับเสาสูงอยู่ตรงกลาง มีมือธนูขึ้นสายอาวุธอาบยาพิษเล็งมาที่เขา ซ่อนตัวอยู่ในที่กำบังมองไม่เห็นตัว หลี่ชิ
"ดังนั้น...ข้ามีทางเลือกสามทาง คือ...หนึ่ง ปฏิเสธองค์ชายสาม สองรับองค์ชายสามเอาไว้ แล้วจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากันอีกที อาจจะนำไปขังไว้ในคุก หรือกักบริเวณไว้ที่เรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "แต่ข้าเลือกวิธีที่สาม ส่งเขากลับไปเป็นหอกทิ่มแทงองค์ชายใหญ่หลี่เผิง และใช้โอกาสนี้กวาดล้างตระกูลเฉาที่หนีเล็ดลอดไปภักดีต่อซีเป่ยด้วย" "ท่านอ๋องมั่นใจหรือว่าองค์ชายสามอ้ายหยางจะกลับซีเป่ยไปกำจัดเฉาฮั่น?" หลี่ชิงถาม "ยิ่งกว่ามั่นใจเสียอีก...เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว เฉาฮั่นสนับสนุนองค์ชายใหญ่ ช่วยวางแผนการกำจัดองค์ชายสาม เมื่อองค์ชายสามสามารถกลับไปยังซีเป่ย ก็ต้องจัดการกับเฉาฮั่นและครอบครัวเป็นอันดับแรก" หลี่ชิงพยักหน้าเห็นด้วย "แต่นั่น...องค์ชายสามจะต้องกลับให้ถึงเมืองหลวงของแคว้นซีเป่ยเสียก่อน" "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าองค์ชายสามอาจจะกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงของแคว้นตนเองหรือ?" หลี่ชิงเอ่ยถาม ไท่ชินอ๋องไม่ได้ตอบในทันที แต่ดึงร่างบอบบางไปกอดเอาไว้ แล้วย้อนถามว่า "ถ้าเจ้าเป็นองค์ชายใหญ่ เจ้าจะทำอย่างไร หากคนของตนในคณะทูตส่งข่าวว่า องค์ชายสามกำลังจ
องค์ชายสามอ้ายหยางหน้าเปลี่ยนสี"พระบิดาและพี่ชายของเจ้ามั่นใจมากหรือว่าเจ้าจะครอบครองหนานหยางได้สำเร็จ?" ไท่ชินอ๋องกล่าวชัดถ้อยชัดคำ "ท่านอ๋อง...ท่านกล่าวอันใด ข้าน้อยมิรู้เรื่อง" องค์ชายสามอ้ายหยางยังพยายามจะปฏิเสธ "องค์ชาย..." ไท่ชินอ๋องเรียกเสียงหนักๆ "มีสารลับจากซีเป่ยถึงข้า บอกว่า...กวางตัวงามมาถึงปาก เคี้ยวเล่นสักเดือนสองเดือนแล้วฆ่าทิ้ง ก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอะไร....เจ้าลองคิดดู ถ้าข้ารับเจ้าเป็นพระชายา เล่นสนุกสักเดือนสองเดือน แล้วประกาศว่าเจ้าป่วยตาย...พระบิดาและพี่ชายของเจ้าจะยกทัพมาแก้แค้นให้เจ้าหรือไม่?" องค์ชายสามอ้ายหยางขบริมฝีปากจนเลือดซิบ "การตายของเจ้า...พระบิดาของเจ้าอาจจะเสียใจอยู่บ้าง แต่รับรองว่าไม่มากพอที่จะยกทัพมาล้างแค้นให้กับเจ้า...ส่วนพี่ชายของเจ้านั้น เขาคงโล่งใจจนอยากจะหัวเราะเสียงดังๆ เสียด้วยซ้ำ" "ความหมายของท่านอ๋องคือ...?" องค์ชายสามอ้ายหยางเอ่ยถามเสียงเบา "อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า อย่าตะเกียกตะกายให้ลำบากเลย...ส่วนอะไรที่สมควรเป็นของเจ้า ไยจึงไม่ไขว่คว้า...เจ้าทิ้งซีเป่ยมาคว้าหนานหยางมิเป็นการทิ้งของในกำมือไปไขว่คว้าเงาหรอกหรื
เช้าวันรุ่งขึ้น...คณะทูตเข้าพบไท่ชินอ๋องที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ท่านทูตน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างแคว้นซีเป่ยกับแคว้นหนานหยาง...ทางซีเป่ยจึงขอมอบองค์ชายสามอ้ายหยางให้เป็นพระชายาของไท่ชินอ๋อง หวังว่าไท่ชินอ๋องและไท่หวางเฟยจะยินดีต้อนรับองค์ชายแห่งซีเป่ยขอรับ" หลี่ชิงนึกไม่ถึงว่า...อีกฝ่ายจะเล่นไม้นี้ พอชิงตำแหน่งไท่หวางเฟยไม่ได้ ก็ยอมเป็นน้อยเพื่อเข้ามาอยู่วงใน...เจตนาไม่ดีชัดๆ แต่เขาอยู่ในฐานะที่พูดอะไรก็มีแต่เสีย...เพราะทุกคนจะลงความเห็นเป็นว่า เขาใจแคบหึงหวง ไม่สมกับเป็นไท่หวางเฟย! ทว่าเขามั่นใจว่า...ไท่ชินอ๋องก็ต้องดูออกเช่นกัน ...จึงลอบชำเลืองมองผู้เป็นสามี ไท่ชินอ๋องมีสีหน้ายิ้มแย้ม ตอบว่า"เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด...เพียงแต่ข้าต้องการจะสนทนากับองค์ชายสามอ้ายหยางตามลำพังสักครู่หนึ่ง ขอให้ทุกท่านรออยู่ที่นี้" ว่าแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเดินมาจูงมือหลี่ชิงไปด้วย ทั้งสามเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัว "ไท่ชินอ๋องมิใช่ว่าจะสนทนากับข้าน้อยตามลำพังหรอกหรือ?" องค์ชายสามอ้ายหยางกล่าวถาม พลาง
หลังจากองค์ชายสามอ้ายหยางกับท่านทูตจากแคว้นซีเป่ยแยกไปแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็พาทุกคนกลับพระราชวังแล้วไท่ชินอ๋องได้พาหลี่ชิงไปยังห้องทำงานสำคัญที่แยกต่างหากจากห้องทำงานที่ใช้พิจารณาฎีกา ห้องนี้หลี่ชิงเพิ่งจะได้เข้ามาเป็นครั้งแรก อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ห้องตกแต่งเรียบหรูด้วยโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่หลังโต๊ะ ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นั่งของไท่ชินอ๋องพอหลี่ชิงถูกจูงมือเข้ามาด้วย...ราชองครักษ์ก็จัดแจงยกเก้าอี้ที่มีพนักและเท้าแขนมาตั้งข้างๆ เก้าอี้ของไท่ชินอ๋องให้หลี่ชิงนั่ง และยกอีกตัวมาให้อ๋องสี่นั่ง เมื่อทั้งสามคนสำคัญนั่งลงเรียบร้อย...หวังกงกงก็ประสานมือน้อมคำนับ "คารวะไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟย และท่านอ๋องสี่" "ไม่ต้องมากพิธี" ไท่ชินอ๋องเอ่ย "หวังเสียงได้ความว่าอย่างไร เล่ามาซิ" "ขอรับ" หวังกงกงรับคำ แล้วรายงานว่า "เรื่องที่องค์ชายสามอ้ายหยางมาที่แคว้นหนานหยางมีเบื้องหลังเกิดจากคนขายชาติขอรับ คนผู้นั้นก็คือเฉาฮั่นน้องชายของเฉาฮั่ว และเป็นอาของเฉาฉุน...เฉาฮั่นพาครอบครัวตระกูลเฉาที่เหลือไปอยู่ที่ซีเป่ย เขามีสหายอยู่ที่นั่น สหายของเขาเป็นขุนนางยศสูงพอส
หลังจากกินอาหารเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็เอ่ยชวนหลี่ชิงว่า "ชิงชิง...เดี๋ยวพวกเราไปเดินเที่ยวเล่นชมตลาดกันดีกว่า" "ขอรับ" หลี่ชิงรับคำเบาๆ "เชิญองค์ชายสามและท่านทูตด้วย" ไท่ชินอ๋องออกปากชวนผู้เป็นแขกบ้านแขกเมือง องค์ชายสามอ้ายหยางเริ่มไม่ค่อยไว้วางใจในตัวไท่ชินอ๋องนัก ว่าจะเล่นงานอะไรเขาอีก จึงปฏิเสธว่า "ข้าน้อยมิชอบผู้คนเบียดเสียด ขอตัวกลับที่พักก่อนขอรับ" "เจ้ามิใช่บอกว่าชอบศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมของหนานหยางหรอกหรือ?" ไท่ชินอ๋องกล่าว "ข้าจึงใคร่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านพาเจ้าและท่านทูตชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวเมืองของหนานหยางที่แท้จริง มิใช่อ่านเพียงในตำหรับตำรา" ทำให้องค์ชายสามอ้ายหยางไม่อาจหลีกเลี่ยง "เช่นนั้น...ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" "มิใช่คำสั่งแต่เป็นคำเชิญ" ไท่ชินอ๋องแก้ แล้วจูงมือหลี่ชิงเดินออกจากเหลาสุราไปยังจัตุรัสกลางเมือง ซึ่งคึกคักด้วยผู้คนและร้านรวงตลอดจนแผงค้าขาย โดยมีท่านทูต และองค์ชายสามจากซีเป่ย อ๋องสี่และพระชายาอาเฟย ติดตามมาด้วย ราชองครักษ์และทหารรักษาความปลอดภัยปะปนอยู่ในฝูงชน โดยไม่ได้ขับไล่หรือรบกวนกิจกรรมของชาวบ้านแต่อย่างไร เพร
องค์ชายสามอ้ายหยางรู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง...ให้เขาแข่งม้ากับเด็กจูงม้านะหรือ? ชนะก็ไม่ได้เกียรติอันใด แต่ถ้าแพ้จะต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ยิ่งกว่านั้น...เขาไม่มีวันแข่งขันกันคนชั้นต่ำแบบนั้นหรอก! จึงลงจากม้าแล้วเดินเข้าไปยังพลับพลา ค้อมศีรษะให้แก่ไท่ชินอ๋อง "น้อมเรียนไท่ชินอ๋อง หากไท่หวางเฟยหลี่ชิงไม่สะดวกที่จะร่วมสนุกกับข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่สนใจจะร่วมแข่งขันกับผู้อื่นขอรับ" "น่าเสียดาย มาถึงสนามม้าทั้งที ถ้ามิได้ดูการแข่งม้าก็เสียรสชาติยิ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าว และสั่งราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า "สั่งลงไป...ให้จัดเด็กฝึกหัดเลี้ยงม้า มาแข่งขันกันให้ชมดูหน่อย" "ขอรับ" ราชองครักษ์น้อมรับคำ แล้วไปปฏิบัติ ส่วนองค์ชายสามอ้ายหยางนั้นกลับไปนั่งที่ของตน ซึ่งอยู่ในพลับพลาเดียวกันไม่ห่างนักเพียงครู่เดียว...เด็กอายุสิบสองสิบสามจำนวนสิบห้าคนต่างขี่ม้าตัวใหญ่ให้เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มแสดงการขี่ม้าแบบต่างๆ อย่างโลดโผน "ชิงชิง...เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ มีผู้ใดบ้างที่ขี่ม้าด้อยกว่าองค์ชายสาม?" ไท่ชินอ๋องกระซิบถามหลี่ชิงที่เขาโอบกอดไม่ปล่อย "หากเ
พอเสียงปรบมือซาลง...องค์ชายสามอ้ายหยางก็ค้อมคำนับให้แก่ไท่ชินอ๋อง แล้วกล่าว "ข้าน้อยด้อยฝีมือทางอักษรศาสตร์ ทำขายหน้าต่อหน้าไท่ชินอ๋องแล้ว" พระชายาอาเฟยได้ยินได้แต่ขบฟัน...เจ้าเสมอกับเกอเกอของข้า เจ้าบอกว่าขายหน้า อย่างนี้ก็หมายความว่า เกอเกอของข้าก็ต้องขายหน้าด้วยนะสิ...ข้าโมโหยิ่งนัก อยากเอาฝุ่นสกปรกริมทางเดินมาใส่ในน้ำชาให้เจ้ากินยิ่งนัก! "อาเฟย...สายตาประสงค์ร้ายของเจ้าโจ่งแจ้งมากเกินไป" อ๋องสี่กระซิบบอกพระชายาของตน "เก็บอาการหน่อย" "ช่างข้า" พระชายาอาเฟยเสียงสะบัด "ไม่สนับสนุนข้าก็เฉยไปเลย ไม่ต้องมาซ้ำเติมข้า... จะอย่างไร องค์ชายเทียนเป่าก็เข้าใจข้ามากที่สุด" ก็เจ้าทั้งสองคนมันเด็กเมื่อวานซืนเหมือนกันนี่...อ๋องสี่คิดในใจ องค์ชายสามอ้ายหยางคลี่ยิ้มเย้ายวนใจแล้วกล่าวต่อ "แต่ข้าน้อยยังใคร่ขอโอกาสขอการชี้แนะทางดนตรีจากไท่หวางเฟยหลี่ชิงสักครั้ง" แล้วหันไปทางไท่หวางเฟยหลี่ชิงพลางค้อมศีรษะให้ "หวังว่าไท่หวางเฟยจะไม่ปฏิเสธเรื่องเล็กน้อยนี้นะขอรับ" "ชิงชิง...ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ" ไท่ชินอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ทว่าหนักแน่นหลี่ชิงมอง
องค์ชายสามอ้ายหยางเม้มปากนิดหนึ่ง แล้วหันมายิ้มให้แก่ไท่หวางเฟยหลี่ชิงอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "ข้าได้ยินกิตติศัพท์อันโด่งดังของไท่หวางเฟยหลี่ชิงว่า...มีความสามารถจนได้รับการยกเว้นจากกฎมนเทียรบาลที่ห้ามมิให้ฝ่ายในเกี่ยวข้องกับราชกิจ ไท่หวางเฟยจึงสามารถช่วยไท่ชินอ๋องอ่านฎีกาได้ ความรู้ความสามารถของไท่หวางเฟยย่อมต้องมีมากล้น ข้าขอบังอาจขอศึกษาจากท่านสักเล็กน้อย เพราะข้านั้นมีความรักในภาษาและวัฒนธรรมของหนานหยางยิ่งนัก หากได้รับการชี้แนะจากไท่หวางเฟยบ้าง นับว่าเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก""องค์ชายกล่าวยกย่องเกินไป" หลี่ชิงได้แต่ตอบตามแบบแผน เพราะอีกฝ่ายไล่ต้อนด้วยคำพูดที่ฟังดูอ่อนหวาน ทว่าเคลือบอาบด้วยยาพิษ "ความรู้ของข้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น""ข้าเองก็มีความรู้เพียงหางอึ่ง...แต่ใคร่ขอแลกเปลี่ยนความรู้กับท่าน หวังว่าท่านจะให้เกียรติ" องค์ชายสามอ้ายหยางยังคงยืนกราน"เช่นนั้น...นับถือมิสู้ทำตาม" หลี่ชิงจำต้องรับปากในที่สุดเจ้ากรมพิธีการเห็นไท่ชินอ๋องมิได้คัดค้านอันใด ก็สั่งให้ยกโต๊ะเก้าอี้และกระดาษพร้อมเครื่องเขียนมาให้ไท่หวางเฟยหลี่ชิงกับองค์ชายสามอ้ายหยางคนละชุดอาเฟยเอียงต
ที่ท้องพระโรง...ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟยหลี่ชิง มหาเสนาบดีอ๋องสี่ และพระชายาอาเฟย ล้วนนั่งประจำตำแหน่งเพื่อต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย เพียงแต่ฮ่องเต้น้อยมิได้เสด็จเนื่องเพราะเมื่อวานอากาศร้อน ฮ่องเต้น้อยจึงทรงเล่นน้ำนานไปหน่อย เมื่อเช้าก็เลยพระวรกายร้อน มีไข้เล็กน้อยไท่ชินอ๋องสั่งให้หมอหลวงมาดูพระอาการ แล้วให้หลานกงกงดูแลฮ่องเต้น้อยพักผ่อน และสั่งเด็ดขาด...ห้ามซนเล่นน้ำอย่างเมื่อวานอีก!ดังนั้น...ฮ่องเต้น้อยจึงมิได้ออกนั่งบัลลังก์ว่าราชการคณะทูตแคว้นซีเป่ยนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่แคว้นหนานหยางตามธรรมเนียม เพราะเมื่อเจ็ดปีก่อนไท่ชินอ๋องได้กรีฑาทัพไปปราบแคว้นซีเป่ย และปราบสำเร็จเมื่อสี่ปีที่แล้ว นับจากนั้นแคว้นซีเป่ยก็ส่งบรรณาการมาให้แก่แคว้นหนานหยางเป็นประจำทุกปีแต่ปีนี้พิเศษ...เพราะคณะทูตที่คุมเครื่องบรรณาการมาด้วยเป็นคณะใหญ่เต็มยศ"ข้าในนามของแคว้นหนานหยางยินดีต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย" ไท่ชินอ๋องกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ"พวกข้าน้อยในนามของคณะทูตจากแคว้นซีเป่ยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง" หัวหน้าคณะทูตน้อมคำนับพลางกล่าว "ปีนี้นอกจากของบรรณาการตามธรรมเนี