"จำฉันได้ไหม?" เขาถามขึ้น รอยยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดเมื่อเห็นฉันทำหน้าตึงเครียด
ฉันจ้องเขาอย่างพิจารณา...เมื่อกี้อรพูดถึงใครนะ...ลูกชายของลุงชม...
"อาทิตย์เหรอ?"
เขาหัวเราะเบาๆ "ใช่ พ่อกับน้าแพรวบอกว่าวีความจำเสื่อม ฉันตกใจแทบแย่ แต่ดีใจนะที่วียังจำฉันได้อยู่”
อันที่จริง ฉันไม่รู้จักนายด้วยซ้ำ ขอโทษที
อาทิตย์ยิ้มให้ฉันอย่างเปิดเผยเหมือนเราสนิทกัน เขาเดินเข้ามาหมายจะจับมือฉัน แต่ฉันกลับถอยหนีตามสัญชาตญาณ ทำให้อาทิตย์ชะงักและถอยไป
“ขะ…ขอโทษที พอดีฉันไม่ยังไม่ค่อยชิน”
“ไม่เป็นไรหรอกฉันเข้าใจ แล้วนี่จะไปไหนเหรอ?" เขาถาม พลางก้มมองถุงผ้าในมือฉัน
"ตลาด" ฉันตอบสั้น ๆ
"ให้ไปส่งไหม?"
"ฉันเดินไปเองได้"
“แค่อยากไปด้วยเฉย ๆ น่ะ"
...อะไรของเขา?
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางของเขา...
แต่เอาเถอะ ถ้าเขาอยากไปด้วยก็เชิญ ฉันก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว
"ตามใจ" ฉันตอบ ก่อนจะเดินนำออกไป ทิ้งให้อาทิตย์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินตามฉันมา
วันนี้ฉันแค่จะไปซื้อปลาทูให้ป้าแป้น แต่ดูเหมือนจะได้ของแถมที่ไม่คาดคิดมาด้วยแล้วล่ะ...
ช่วงบ่ายวันนี้คนเดินตลาดสดมีไม่มากนัก คงเป็นเพราะเป็นวันธรรมดาหรือเปล่านะ หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ฉันต้องมาซื้อของที่นี่บ่อยเพราะคำสั่งของป้า และอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นั่นทำให้เหล่าพ่อค้าแม่ขายคุ้นหน้าคุ้นตาฉันไปแล้ว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะป้าแป้นที่เป็นคนอัธยาศัยดี คุยเก่งจนสนิทกับคนและกลายเป็นผู้กว้างขวางของตลาด เป็นผลพลอยได้ทำให้ฉันแค่บอกว่าเป็นหลานของป้าแป้น พ่อค้าแม่ค้าก็จะลดแแหลกแจกแถมให้ทุกครั้งไป
แต่วันนี้ดูจะแตกต่างออกไป ฉันเหลือบมองคนข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ อาทิตย์ เดินไปตามทางด้วยท่าทีสบาย ๆ แม้จะโดนแม่ค้าหลายคนหันมามองเป็นระยะ บางคนยิ้ม บางคนกระซิบกระซาบกันเอง ซึ่งฉันเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขากำลังนินทาเรื่องอะไร
"หลานเจ๊แป้นมากับหนุ่มด้วยแหละ"
"หรือว่าจะเป็นแฟนมัน? หล่อใช้ได้"
"ดูเข้ากันดีนะเนี่ย"
ให้ตายเถอะ…
ฉันพยายามทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรให้คนพวกนั้นจับผิดได้ แต่ในใจนี่อยากถอนหายใจสักสิบรอบ
“วันนี้มีคนมาช่วยถือของด้วย แฟนเหรอ? หล่อดีนะเจ้าวี” แม่ค้าขายผักยิ้มกรุ้มกริ่มพลางกระซิบกระซาบ ฉันส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะยื่นเงินสด
“ไม่ใช่ค่ะ เพื่อนค่ะ” น่าจะเป็นรายที่ 5 แล้วมั้งที่ถามฉัน คนข้าง ๆ ก็ไม่ตอบปฏิเสธ จนฉันต้องแอบกรอกตาเพราะเบื่อที่จะตอบคำถามเดิมแล้ว
“วีรู้จักคนเยอะนะ” อาทิตย์พูดขึ้นระหว่างที่เรากำลังเดินไปป้ายรถเมล์
“อืม ฉันมาซื้อของให้ป้าแป้นบ่อย คนรู้จักแกอยู่แล้ว เลยพลอยเอ็นดูฉันไปด้วย”
ฉันยิ้ม พลางนึกไปถึงสมัยที่ยังเป็นอลิสา การมาซื้อของที่ตลาดเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันเลย เพราะอย่างที่บอก ตารางชีวิตของฉันมีแค่ ฝึก-ปฏิบัติภารกิจ-ฝึก วนไปแบบนั้น สกิลการเข้าสังคมของฉันจึงค่อนข้าง ต่ำ มาก เพราะไม่ค่อยได้พูดคุยแบบคนปกติเท่าไหร่ หนึ่งเดือนกว่าๆที่เป็นวราลีนั้นพัฒนาสกิลการพูดคุยกับฉันได้มาก ไม่นับตอนคุยกับพลอยไพลินนะ รายนั้นไม่กล้าทำร้ายฉันแล้วก็จริง แต่ยังค่อนแคะ ค่อนขอดกันทุกครั้งที่เจอหน้ากัน แต่ก็ช่างมันเถอะ เธอไม่ได้รับมือยากขนาดนั้น ส่วนอาทิตย์...จากที่เห็นเขาก็ดูเป็นคนดี อาจจะเป็นเพื่อนที่จริงใจกับวราลีคนหนึ่ง
"นายไม่อึดอัดเหรอ?" ฉันถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
"ทำไมต้องอึดอัด?" อาทิตย์เอียงคอถามกลับ
"ก็...คนที่ตลาดเขาพูดถึงนาย"
"อ้อ เรื่องนั้น?" เขายักไหล่ "ก็ไม่ได้เป็นปัญหานะ"
ฉันหรี่ตา "หมายความว่าไง?"
“ก็ไม่ยังไง…อีกอย่าง...จริง ๆ แล้วเราสองคนสนิทกันมากเลยนะ เราคุยกันบ่อย ๆ ตอนว่าง ๆ ก็ไปเที่ยวกัน สมัยนี้เรียกอะไรแล้วนะ?...อ้อ คนคุยไง”
อาทิตย์หยุดเดินและหันมามองฉัน ไม่รู้ว่าสายตานั้นหมายถึงอะไร
“วีจำเรื่องของเราไม่ได้เลยจริงๆเหรอ?” เสียงเขาเริ่มตัดพ้อ ฉันได้แต่นิ่งเงียบ จะให้บอกไปว่าจริงๆแล้วฉันไม่ใช่วราลีคงจะฟังดูเหมือนคนบ้า เมื่อเขารู้ว่าคงไม่ได้คำตอบอะไรจากฉัน เขาก็ถอนหายใจ
“ไม่เป็นไร เราค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้เนอะ ฉันไม่เร่งอะไรวีอยู่แล้ว แต่ว่าอยากให้วีรู้ไว้นะ...”
สายตาของเขาอ่อนลง
“ว่าฉันยังชอบวีเหมือนเดิม...”
เวรกรรม...ยุ่งแล้วสิ
ฉันกระพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป ฉันชอบเขาไหม? แน่นอนว่าไม่ ฉันเพิ่งเจอเขาเอง ถ้าถามว่าฉันรู้สึกยังไงตอนนี้ คงเป็น อึดอัด
“อาทิตย์...ฉัน...”
ยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นข้างหน้า
“ขโมย! ใครก็ได้ช่วยด้วย! มันกระชากกระเป๋าไป!”
คุณยายคนหนึ่งหน้าร้านทองยืนหน้าตื่น น้ำตาคลอเบ้า ขณะที่ชายร่างสูงสวมเสื้อฮู้ดสีดำวิ่งพรวดพราดออกมา พร้อมกระเป๋าหนังใบเล็กในมือ
คนในตลาดแตกฮือ บางคนหลบ บางคนตะโกนให้จับโจร บางคนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิป
ฉันโยนถุงปลาทูให้คนข้าง ๆ “อาทิตย์ ถือไว้!”
“ห๊ะ!? เดี๋ยว! วี!?””
ไม่ทันเขาจะพูดจบ ฉันก็ออกตัววิ่งเต็มฝีเท้า
ร่างกายนี้อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าตอนเป็นอลิสา แต่การฝึกตลอดเดือนที่ผ่านมาไม่เสียเปล่า ฉันเร่งฝีเท้า เบี่ยงตัวหลบผู้คนที่ยืนมุงได้อย่างแม่นยำ สายตาล็อกเป้าหมายไว้ไม่พลาด
เมื่อเห็นช่องว่างพอดี ฉันพุ่งตัวไปด้านข้าง ดึงจังหวะและใช้เข่าด้านนอกตัดเข้าด้านขาเขา
ผลั่ก!
คนร้ายล้มกลิ้ง กระเป๋าหลุดมือกระเด็นไปบนฟุตบาธ
“โอ๊ย! มึง! อีบ้า!”
“วิ่งราวของคนแก่นี่ดีมากเลยสินะ?” ก่อนที่ฉันจะกระโดดเอาเข่ากระทุ้งลงไปที่หลังของมันเต็มแรง ทำให้มันร้องครางลั่นด้วยความเจ็บปวด
“วี!” เสียงอาทิตย์ดังมาจากข้างหลัง เขาวิ่งมาในจังหวะที่ฉันลุกขึ้นพอดี ก่อนที่เขาจะย่อตัวกดหัวคนร้ายไว้กับพื้นอย่างเฉียบพลัน ใช้ท่อนแขนล็อกแขนข้างหนึ่งของมันบิดไปด้านหลัง
“โอ๊ยยยย!”
คุณยายวิ่งเข้ามาหอบ ๆ พร้อมเสียงปรบมือประปรายจากคนแถวนั้น
“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ ถ้าไม่ได้พวกหนูช่วยไว้ ยายคงแย่” เธอพูดพลางยื่นมือมารับกระเป๋าคืนไป ก่อนจะกุมมือฉันไว้
“ไม่เป็นไรค่ะ ดีที่คุณยายไม่ได้รับอันตราย” ฉันยิ้มให้เธอ ไม่นานตำรวจก็มาถึงและจับตัวคนร้ายไว้ อาทิตย์เองก็เดินตามไปเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณยายกุมมือฉันแน่น ดูค่อนข้างเสียขวัญ ฉันกระชับมือเธอตอบ ก่อนจะมีเสียงผู้ชายสองสามคนดังขึ้นจากฝูงชน ไม่นานพวกเขาก็แหวกไทยมุงออกมา เป็นชายในชุดสูทสีดำ หน้าตาตื่นราวกับเพิ่งทำความผิดใหญ่หลวง
“คุณท่าน! คุณท่านไม่เป็นอะไรนะครับ!?” ฉันหันไปมองคุณยายสลับกับชายชุดสูท เพิ่งสังเกตเห็นว่าแม้เธออยู่ในชุดลำลอง แต่การออกแบบและตัดเย็บดูปราณีตและหรูหรา อีกอย่าง…ดูจากที่มีคนติดตามถึงสองคน คุณยายคนนี้อาจไม่ธรรมดาเลย
“ไม่เป็นไร ดีที่สาวน้อยคนนี้ช่วยฉันเอาไว้ เฮ้อ...แค่อยากมาซื้อของด้วยตัวเอง ดันเกิดเรื่องแบบนี้เสียได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ทว่าดูมีอำนาจ ชายในชุดสูทสองคนหน้าซีดเหงื่อตกกว่าเดิม
“ผมขอโทษครับ ผมจะไม่ได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” ก่อนทั้งสองจะก้มหัวแทบติดพื้น คุณยายส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับฉัน
“ขอบคุณอีกครั้งนะจ๊ะหนู นี่นะ...ถ้าหนูมีอะไรก็ติดต่อหาฉันได้เลย...” เธอค้นหาบางอย่างในกระเป๋าถือของเธอ “เอ๊ะ...สงสัยจะลืมเอามา แย่จริง”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณยายปลอดภัยก็ดีแล้ว” ฉันพูดไปตามจริง ฉันไม่ใช่พวกช่วยคนหวังผลซะหน่อย
“ไม่ได้ ๆ” เธอยังคงควานหาบางอย่างในกระเป๋าอยู่ จนสุดท้ายเธอก็ยอมแพ้
“หนูชื่ออะไรจ๊ะ? ชื่อจริง นามสกุลน่ะ”
ฉันเห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไรจึงตอบออกไป
“วราลีค่ะ วราลี พานิชย์วงศ์” ฉันแอบเห็นคุณยายชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะยิ้มกว้างและพยักหน้า ฉัน...ไม่แน่ใจในความหมายของรอยยิ้มนั้นเท่าไหร่
“ฮ่า ๆ โลกกลมเสียจริง...วราลีเหรอ...ยายจำชื่อหนูไว้แล้ว เดี๋ยวเราได้เจอกันอีกแน่ ระหว่างนี้ก็รักษาเนื้อรักษาตัวนะลูกนะ” เธอบีบมือฉันอีกครั้งก่อนจะจากไปพร้อมกับบอดี้การ์ดทั้งสอง ทิ้งให้ฉันงุนงงอยู่กับประโยคสุดท้ายของเธอ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนที่ฉันกำลังนอนงง ๆ อยู่บนเตียง หัวตึ้บ ร่างปวกเปียก และโลกทั้งใบหมุนวนเบา ๆ แบบไม่จบไม่สิ้น“วี ตื่นหรือยังลูก แม่เอาซุปแก้แฮงค์มาให้”“อื้อ...เข้ามาเลยค่ะ…”ประตูเปิดออก พร้อมกับกลิ่นหอมของซุปขิงลอยมาแตะจมูก แม่วางถาดไว้ข้างเตียง ฉันยันตัวลุกนั่งอย่างยากลำบาก“เมื่อคืน...วีกลับมาที่นี่ได้ยังไงคะ?” ฉันถามพลางขมวดคิ้ว “วี...จำไม่ค่อยได้เลย”“ก็คุณภูริน่ะสิ เป็นคนอุ้มวีมาส่ง” แม่พูดเรียบ ๆ พลางยกถ้วยซุปมาให้“หา?” ฉันแทบสำลักอากาศ“ใช่ อุ้มเข้ามาส่งถึงห้องนอนเลยล่ะ” แม่ส่ายหัวเบา ๆ “ดื่มน่ะแม่ไม่ว่าหรอกนะ แต่ต้องรู้จักพอประมาณเข้าใจไหมลูก”ฉันพึมพำอะไรไม่เป็นภาษาก่อนจะยกซุปขึ้นซด ในหัวเริ่มมีภาพบางอย่างแวบกลับมา…ฉัน...อยู่ในอ้อมแขนของเขาลืมตาขึ้นเบา ๆ เห็นใบหน้าเขาใกล้แค่คืบตอนนั้นฉัน...เอื้อมมือไปแตะหน้าเขา แล้วพูดว่า…“หล่อจัง… เห
วันถัดมา พี่พรมาบอกฉันแต่เช้าถึงเรื่องงานเลี้ยงบริษัทที่จะจัดเย็นนี้ ไม่ใช่งานสังสรรค์ของพนักงานทั่วไป แต่มันคืองานฉลองปิดดีลโครงการร่วมทุนมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญาได้สำเร็จเมื่อไม่นานดีลใหญ่นี้หมายถึงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมใจกลางกรุงเทพฯ ที่จะกลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของบริษัทในปีหน้า และที่สำคัญ เป็นดีลที่ภูริเป็นคนเจรจาด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบช่วงเย็น ระหว่างที่ฉันกำลังเก็บของลงกระเป๋า ภูริพูดกับฉันก่อนออกจากออฟฟิศว่า“คุณไปงานเลี้ยงกับผมนะ ถือว่าตอนนี้คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทแล้ว”ฉันพยักหน้ารับ แต่รีบบอกต่อ“แต่ขอไม่ไปกับคุณดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคนจะสงสัย ฉันไปกับพี่พรได้ไหม?”เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเรียบ ๆ “ครับ ตามสบาย”เมื่อมาถึงร้าน ฉันนั่งกับพนักงานฝ่ายการตลาดกับแผนกบุคคล บรรยากาศสนุกและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ต่างจากโต๊ะของภูริที่ดูสุขุมเรียบร้อยแบบชนิดที่ฝ่ายบริหารทุกคนตรงนั้นนั่งตัวตรง พูดกันเบาๆ ราวกับกำลังนั่งอยู่ในห้องสัมภาษณ์ ไม่ใช่
ผ่านไปหลายชั่วโมง ฉันยื่นแฟ้มงานที่ตรวจสอบเรียบร้อยให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน“เสร็จแล้วค่ะ”ภูริเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะรับแฟ้มจากมือฉันไปเปิดดูทีละหน้า ฉันยืนรออย่างเกร็ง ๆ แม้จะมั่นใจว่าเช็กทุกอย่างอย่างละเอียดแล้ว แต่เมื่อเขาเป็นคนตรวจ…ฉันก็อดประหม่าไม่ได้ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาปิดแฟ้มลงและพยักหน้าเบา ๆ“เรียบร้อยดีครับ ถูกต้องหมด”แค่ประโยคสั้น ๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้ถอนหายใจลึก ๆ เป็นครั้งแรกของวัน“ตั้งแต่พรุ่งนี้ คุณไปเรียนรู้ระบบงานกับแต่ละแผนกครับ”ภูริพูดเรียบ ๆ ระหว่างส่งแฟ้มงานให้ฉัน“ให้ครบทุกแผนก ฝ่ายละหนึ่งวัน จะได้เห็นภาพรวมว่าบริษัททำงานยังไง ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงการตัดสินใจระดับบริหาร”ฉันรับคำโดยไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่เพราะรู้อยู่เต็มอกว่านี่คือโอกาสทอง ที่จะได้เก็บเกี่ยวให้มากที่สุดหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันวนไปเรียนรู้งานกับทุกแผนกจริง ๆ ทั้งบัญชี การตลาด บุคคล ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายจัดซื้อ และแม้กระทั่งทีมคอล เซ็นเตอร์ ที่ต้องรับมือกับลูกค้าทุกระดับ จดทุกอย่างลงสม
เช้าวันจันทร์ ฉันมายืนรอที่ล็อบบี้ของตึกสำนักงานสูงระฟ้าซึ่งมีโลโก้ของบริษัท TP พรอพเพอร์ตี้ ชื่อดังติดเด่นเป็นสง่าบริษัทหลักที่ภูริดูแลอยู่ นี่มันห่างไกลจาก ‘โรงสี’ ของบ้านฉันเกินไปหรือเปล่านะ? ฉันคิดในใจอย่างเหนื่อยใจนิด ๆอสังหา...มันจะไปเกี่ยวอะไรกับข้าวสารในกระสอบที่เราขายกันได้ล่ะ?แต่ก็นั่นแหละ โอกาสในการได้เรียนรู้จากคนเก่งอย่างภูริ...มันไม่ได้มีมาง่าย ๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ และเอาเข้าจริง...ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างเขาบริหารบริษัทระดับนี้ได้ยังไงเสียงประตูลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มในสูทเทาเข้มก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสงบ เยือกเย็น และดูดีจนสาว ๆ แถวนั้นแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง“มาแต่เช้าเลยนะครับ” ภูริพูดเรียบ ๆ ขณะเดินเข้ามาใกล้ “พร้อมหรือยัง?”“พร้อมค่ะ...แต่ขออย่างหนึ่ง” ฉันรีบเอ่ยก่อนจะเดินตามเขาไป “คุณอย่าบอกใครได้ไหมคะ...เรื่องที่ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ”เขาหยุดเดิน มองฉันนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง“ทำไมครับ?”&
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ...ความคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ทั้งภาพเหตุการณ์เมื่อวาน สีหน้าของภูริ คนร้ายที่พุ่งเข้าใส่เขา และความจริงที่ว่าศัตรูของเขา…อาจเป็นใครก็ได้และเมื่อฉันแต่งงานกับเขา…ไม่ว่าอยากหรือไม่ เราก็จะมีศัตรูคนเดียวกันโดยปริยายแค่คิดถึงสิ่งที่อาจรออยู่ข้างหน้า ก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอายุขัยที่สั้นลงทีละวันแต่ตอนนี้ มีบางอย่างสำคัญกว่าให้ต้องจัดการสัญญาของคุณพิชิต…ฉันตัดสินใจเดินไปหาเขาในเช้าวันนั้น บรรยากาศในห้องทำงานของชายวัยกลางคนยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานตัวเดิม ผมเริ่มแซมสีดอกเลาเป็นการบ่งบอกว่าอายุของเขาเพิ่มมากขึ้นแล้ว“ดิฉันอยากพูดเรื่องที่คุณรับปากไว้ค่ะ เรื่องการเปิดตัวในฐานะผู้บริหาร และฐานะลูกสาว”เขาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารช้าๆ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไร“หึ...ดูรีบร้อนเสียจริงนะ”“ดิฉันทำหน้าที่ของดิฉันแล้วค่ะ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “หรือคุณชายจะเปลี่ยนใจ?”คุณพิชิตมอ
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหลของเหตุการณ์เมื่อครู่ ฉันหันกลับไปทันทีที่เห็นร่างของอาทิตย์เดินตรงมา พร้อมถุงกระดาษอาร์ตทอยในมือ “วี! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เขาถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ “มีอุบัติเหตุน่ะ กล่องอะไรสักอย่างตกลงมา” ฉันตอบพลางชี้ไปยังพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่กำลังเก็บกวาด เขาขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองชายข้างกายฉันที่ยังยืนมองอยู่ใกล้ ๆ ด้วยท่าทางนิ่งขรึม “ไม่ทราบว่าคุณคือ...?” ภูริถามฉันด้วยเสียงเรียบ แต่ดวงตาคมจับจ้องอาทิตย์อย่างไม่ละสายตา “อ้อ…คุณภูริ นี่อาทิตย์ค่ะ” ฉันตอบพลางชี้แนะนำกลับไปอีกฝั่ง “อาทิตย์ นี่คุณภูริ” “สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของวี” อาทิตย์เอ่ยก่อน ยิ้มสุภาพ ภูริยกคิ้วเล็กน้อย “ครับ…ผมเป็นคู่หมั้นของเธอ” ฉันกะพริบตาช้า ๆ สังเกตบรรยากาศรอบตัวที่ดูอึดอัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว อากาศเย็นในห้างก็เหมือนจะร้อนขึ้นฉับพลัน ตาสองคู่นั้นสบกันแบบนิ่ง ๆ นานเกินควร และถึงแม้จะไม่มีคำพูดหยาบ ไม่มีท่าทางก้าวร้าว แต่...ฉันสัมผัสได้ถึงแรงต้านบางอย่างที่มองไม่เห็น อาทิตย์เม้มปากแน่นเล็กน้อย ส่วนภูริก็ทำเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ฉันถอนหายใจในใจเบ