“ซิ่วอิง ตรงนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมคนมุงเต็มไปหมด” เสียงเล็กจากเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะนาน ๆ ทีถึงได้ออกมาเที่ยวในเมือง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
“ฟางหรง เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก วันนี้ท่านพ่อให้เจ้ามาทำธุระกับเถ้าแก่ร้านหยกไม่ใช่หรือ ไปช้าเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” ซิ่วอิงที่ดูโตกว่านางสักสามปีตักเตือน
“เอ๋! นาน ๆ ทีได้ออกมาเที่ยวในเมืองบ้าง ช้าไปนิดหน่อย ท่านลุงไม่กล้าว่าอะไรนางหรอกน่า เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว” หนิงเหอผู้เป็นน้องสาวของนางโต้แย้งอย่างมีเหตุผล
“ใช่ ๆ หนิงเหอพูดถูก เจ้าเคยเห็นท่านพ่อดุข้าหรือ” ฟางหรงยิ้มร่าแล้ววิ่งไปทางนั้นพร้อมกับหนิงเหอ
“พวกเจ้าสองคนนี่ เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไรจะโตเสียที” ซิ่วอิงบ่นเสียงดังก่อนรีบตามทั้งสองคนไป
ฟางหรงเดินแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูเสิ่นชิว นางมุดลอดช่องว่างเข้าไปจนเข้าถึงตัวเขาในไม่ช้า เลือดที่ไหลรินบนใบหน้าทำให้นางตกใจ ทั้งยังเสื้อผ้ายับเยิน มีแต่รอยเท้าฝากฝังไว้ทั่วร่าง ฟางหรงทำใจเห็นคนที่อายุพอกันกับนางมีสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ นางจึงแตะไปที่ตัวเขา เรียกเบา ๆ เผื่อเขาจะตื่น
“นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” ฟางหรงจับที่ไหล่เขา เมื่อเห็นว่าเด็กชายที่นอนอยู่ไม่ขยับตัว นางจึงรีบบอกให้หนิงเหอและซิ่วอิงช่วยพยุงตัวเขา
“พาไปที่หมู่บ้านเราดีกว่า แม่เฒ่าน่าจะช่วยเขาได้” นางบอกซิ่วอิงและหนิงเหอ
ทั้งสามคนพาเสิ่นชิวเข้ามาที่หมู่บ้าน ผู้คนในนั้นต่างรีบวิ่งมาดูเหตุการณ์ รวมถึงบิดาของลู่ฟางหรง ผู้นำหมู่บ้านที่กำลังยืนรอนางอยู่ทางเข้า สีหน้ายิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นซีดเซียว
“ฟางหรง เกิดเรื่องใดขึ้น แล้วเจ้าพาผู้ใดมาที่หมู่บ้านของเรา”
“ไม่มีเรื่องใดหรอกท่านพ่อ เพียงแค่ข้าเจอเด็กคนนี้ที่ตลาด แล้วนึกสงสารเขา ท่านแม่เฒ่าช่วยเขาได้หรือไม่”
ลู่ฟางหรงตอบพ่อของนางเสร็จก็ชะเง้อมองหาแม่เฒ่า ผู้มีวิชารักษาเก่งกาจที่สุดในหมู่บ้าน
“พาเขาไปที่บ้านข้า” แม่เฒ่าพูดขึ้น เพียงแค่ปรายตามอง นางก็รู้ได้ว่าเขาเจ็บป่วยที่ตรงไหน จึงหันไปบอกให้คนดูแลเอาสมุนไพรสามตัวจากสวนท้ายหมู่บ้านมาให้นางทำยารักษา
ครั้นได้ยาขนานหนึ่งจากแม่เฒ่า เสิ่นชิวจึงได้นอนหลับรักษาตัวสามวันสามคืน ร่างกายเริ่มฟื้นฟูดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น ตอนสาย ๆ เสิ่นชิวได้สติ ค่อย ๆ ลืมตา ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขางุนงง กระพริบตามองอยู่สองสามครั้ง
“นี่เจ้าฟื้นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง แม่เฒ่า! ท่านมาดูนี่สิ เขาฟื้นแล้ว” ลู่ฟางหรงเรียกแม่เฒ่าด้วยความดีใจ นางมาคอยนั่งเฝ้าเขาทุกวันเพราะรู้สึกกังวลใจ
แม่เฒ่าเดินมาตรวจอาการของเขา กำชับว่าให้กินยากินข้าวอย่าได้ขาด แล้วนอนพักผ่อนเยอะ ๆ ก่อนจะเดินออกไปข้างนอก เสิ่นชิวกำลังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้รับการดูแลที่ดีเช่นนี้จากคนอื่นมาก่อน
“ข้าอยู่ที่ไหน เจ้าเป็นใคร” เสิ่นชิวถามขึ้น สายตามองไปรอบตัว ไม่เจอผู้ใดนอกจากนาง
“ข้าชื่อฟางหรง สามวันก่อน เจ้านอนสลบอยู่ที่ตลาด ข้าเลยพาเจ้ามาที่นี่ แล้วแม่เฒ่าก็ช่วยรักษาเจ้า”
“ที่ตลาด สามวัน! ผ่านไปสามวันแล้วหรือ” สีหน้าของเสิ่นชิวเปลี่ยนไป สายตาของเขาลนลาน ใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าของมารดาปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็วิ่งออกไปทั้งที่ยังไม่สวมรองเท้า แล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าหมู่บ้าน เสิ่นชิวหันซ้ายหันขวาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ใดและเขาควรจะต้องวิ่งไปทางใดกันแน่
“รอข้าด้วย เจ้าจะไปไหน” ฟางหรงตะโกนเสียงดังตามหลัง
พลันได้ยินเสียงนาง เขาหันกลับไปถามอีกครั้ง “ที่นี่ที่ไหน ข้าต้องรีบกลับบ้าน” น้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่น
“หมู่บ้านของข้า ตลาดที่ข้าเจอเจ้าไปทางซ้ายเรื่อย ๆ ก็ถึง เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน”
เสิ่นชิวไม่รอนางพูดจบ เขาพุ่งตัวไปยังทางที่นางบอก กำลังที่มีทั้งหมดส่งไปที่ฝีเท้าของเขา เสิ่นชิวไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แม้ฝ่าเท้าเหยียบก้อนหินจนได้แผล เขาแทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ในใจนึกถึงแต่นางเพียงเท่านั้น สามวันที่เขาหลับไป นางจะเป็นเช่นไรบ้าง
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เสิ่นชิวกลับไม่กล้าเข้าไปข้างใน ยามที่มารดาของเขาได้ยินเสียงประตูบ้าน นางมักจะเรียกขานให้เขาเข้าไปหา แม้ครั้งนี้เขาเปิดประตูเสียงดังกว่าปกติด้วยความร้อนรน แต่ไม่ได้ยินเสียงนางเลย ในใจเขาเต้นแรงขึ้นมากกว่าเดิม ค่อย ๆ ก้าวขาเดินเข้าข้างในอย่างช้า ๆ เขาปวดมวนท้อง คลื่นไส้ ความคิดในหัวตีกันไปหมด
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” เสิ่นชิวพูดออกไปตอนกำลังเดินไปหานาง “ท่านแม่ ท่านหลับอยู่หรือ” เพียงแค่มองไปที่ร่างอันสงบนิ่งของนาง ในใจเขานึกอยากจะให้นางนอนหลับอย่างเช่นเคย เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ ถามนางอีกครั้ง “ท่านแม่ ข้าขอโทษที่รบกวนเวลานอนของท่าน แต่ว่า ท่านช่วยตื่นมาพูดคุยกับข้าได้หรือไม่”
ลู่ฟางหรงที่ตามมาถึงมองเห็นร่างของนางก็เข้าใจได้ทันที นางเดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนแล้วจับที่เส้นชีพจร เมื่อแน่ใจแล้ว นางจึงหันมาหาเสิ่นชิว “นางจากไปแล้ว ข้าเสียใจด้วย”
เสิ่นชิวไม่อยากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลพรากลงมา จิตใจของเขาอ่อนแอลงอีกครั้ง คนที่สำคัญในชีวิตได้จากไปแล้ว
“ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องรอ ขอโทษที่ทำให้ท่านทรมาน ข้าขอโทษ” เสิ่นชิวพร่ำพูดคำขอโทษกับร่างไร้วิญญาณของนางอยู่นาน ภาพที่เกิดขึ้นต่อหน้าลู่ฟางหรง ทำให้นางรู้สึกสงสารเขาจับใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดชีวิตเขาและนางถึงได้แตกต่างกันเพียงนี้ ทำไมคนคนหนึ่งถึงต้องพบเจอเรื่องราวเลวร้ายขนาดนี้ นางทรุดตัวลงข้างเสิ่นชิวที่กำลังกอดร่างของท่านแม่อยู่ เอื้อมมือกอดเขาพลางปลอบประโลม
ไม่นานนัก บิดาของฟางหรง รวมถึงซิ่วอิง หนิงเหอก็มาถึงบ้านของเสิ่นชิว เขาเดินเข้ามาหาบุตรสาวแล้วแตะไหล่นางให้ถอยออกมา ก่อนจะค่อย ๆ พูดกับเสิ่นชิว
“ข้าเสียใจด้วยกับการสูญเสียครั้งนี้ แต่นางได้จากเจ้าไปแล้ว นางคงไม่อยากเห็นเจ้าต้องร้องไห้เสียใจถึงเพียงนี้หรอก หากเป็นไปได้จงมีชีวิตที่ดีเถิด นางจะได้หายห่วง” เสิ่นชิวได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าของมารดาอีกครั้งหนึ่ง “ข้าจะทำเช่นไรดีขอรับ” เสียงสะอึกสะอื้นถามขึ้น ดวงตาแดงก่ำมีน้ำใส ๆ คลออยู่
“ข้าจะช่วยเจ้าทำพิธีจัดงานศพให้นางตามธรรมเนียมของหมู่บ้านข้า” เขามองเสิ่นชิวเหมือนเป็นลูกชายคนหนึ่ง
“ขอรับ” เสิ่นชิวพยักหน้าตอบเขา “ได้โปรดช่วยข้าด้วยขอรับ” เขาอ้อนวอน อย่างน้อยพิธีส่งดวงวิญญาณของนางก็ควรจะทำให้ดีที่สุดเพราะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อนางได้
เช้าวันรุ่งขึ้น บิดาของฟางหรงจัดแจงทำพิธีส่งวิญญาณครั้งสุดท้ายตามธรรมเนียมของหมู่บ้านให้เสิ่นชิวตามสัญญา ก่อนจะมานั่งปลอบเสิ่น ชิวอีกครั้ง
“เสิ่นชิว หากเจ้าไม่รู้จะไปที่ใด อยู่ที่หมู่บ้านนี้เถิด ข้ายินดี”
ณ ตำหนักโคมดวงจิตเจียลี่นั่งรำลึกความหลังตอนที่นางเป็นเซียนน้อยดูแลตำหนัก แล้วชี้ให้หลินเซินดูว่าโคมดวงจิตของเขาเคยตั้งอยู่ตรงนี้“ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า” เจียลี่หันมามองหลินเซิน “ผู้เฒ่าหยางคงจะหมดห่วงแล้วล่ะ”“ข้าติดหนี้เจ้าแล้ว มากมายจนนับไม่ถ้วน หากไม่มีเจ้า จิตวิญญาณของข้าคงแตกสลายไป” น้ำเสียงของหลินเซินแผ่วเบา“ไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นหรอก” เจียลี่ส่ายหน้า นางกุมมือเขาเอาไว้ ทำสีหน้าจริงจัง “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าใครหน้าไหนกล้าทำร้ายเจ้าอีก ข้าไม่ปล่อยไว้แน่”หลินเซินเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้นาง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นถึงอดีตเทพสงคราม จะมีใครกล้าทำอะไรข้า”“นั่นสิเนอะ” เจียลี่หัวเราะกับคำตอบของเขา “หลินเซิน ไปดูก้อนเมฆสีรุ้งกันเถอะ ข้าไม่ได้เห็นนานแล้ว” นางเอ่ยปากชวนเขาไปที่ผาน้ำตกทั้งสองนั่งเล่นชมทิวทัศน์อยู่นานจนถึงเวลาพลบค่ำที่ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า จู่ ๆ เจียลี่ก็นึกได้ว่าเวลาบนดินแดนสวรรค์กับดินแดนมนุษย์ไม่เหมือนกัน“ข้าว่ารีบกลับลงไปที่บ้านเถอะ ไม่รู้ป่านนี้เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจะเป็น
ช่วงสายของวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส หลินเซินนั่งกินถังหูลู่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมบ่อน้ำ เขาหันมามองเจียลี่ที่กำลังหัดร่ายเวทด้วยความจริงจังนึกขำในใจ“เจียลี่ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปเถิด เจ้าทำหน้าเครียดเกินไปแล้ว” นับตั้งแต่ที่เขาคืนพลังเซียนเพื่อฟื้นชีวิตนาง หลินเซินก็กลายเป็นชนเผ่าหมาป่าธรรมดาที่มีพลังเวทนิดหน่อย กระนั้นยังคงเป็นหมาป่ากินพืชเช่นเดิม“ข้าอยากเป็นเร็ว ๆ นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้ช่วยพวกเจ้าได้” เจียลี่ยังคงพยายามจ้องไปที่มือข้างหนึ่งของนางที่มีพลังเซียนส่องแสงวิบวับ“เจ้าต้องผ่อนคลายให้มากกว่านี้แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าต้องทำเช่นไร” หลินเซินให้กำลังใจ เขารินน้ำชาดอกท้อให้นาง “ดื่มก่อน”“อื้ม” เจียลี่พยักหน้า แล้วนึกถึงเรื่องที่นางมีความสุข พลันกลีบดอกท้อปรากฏขึ้นอยู่รอบตัวทั้งคู่ นางโบกมือไปทางซ้ายขวาบังคับสายลมพัดกลีบดอกท้อปลิวไสวไปทั่วทั้งป่า “ข้าเข้าใจแล้วหลินเซิน” นางยิ้มดีใจทั้งคู่พูดคุยกันกระหนุงกระหนิงทั้งวันจนตะวันลับฟ้าจึงพากันเดินกลับบ
เจียลี่ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าทันทีที่ฟื้นขึ้นมา นางไม่อยากให้หลินเซินต้องทำเช่นนี้ จนหมิงเฟยต้องเข้ามาปลอบใจ“ท่านพี่ ทำใจดี ๆ ไว้เถิด ถ้าเขาเห็นว่าท่านเป็นเช่นนี้ วิญญาณคงจะไม่สงบสุข” หมิงเฟยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางซับน้ำตา“ข้าขออยู่คนเดียวได้หรือไม่” นางคงยังไม่อยากพูดกับใคร ในใจเศร้าสร้อยเกินจะคิดอะไร“ขอรับ” หมิงเฟยพยักหน้าแล้วเดินออกมานอกห้องในป่าลึกท้ายหมู่บ้าน เยี่ยนฟางกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตานองหน้าเพราะนึกถึงสิ่งที่นางทำ ทั้งยังไม่กล้าสู้หน้าหมิงเฟยจึงหลบออกมานั่งคนเดียวครั้นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นางจึงเงยหน้ามองผู้มาเยือน“หลินเซินนนน” เยี่ยนฟางกลั้นใจไม่ไหว ร้องไห้โฮจนตัวโยนหลินเซินจึงนั่งลงข้าง ๆ ลูบหัวของนางเหมือนอย่างเคย “จำได้หรือไม่ วันแรกที่ข้าเจอเจ้า”“อื้ม”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ อย่าโทษตัวเองนักเลย” หลินเซินยื่นขนมหวานให้นาง “หมิงเฟยตามหาเจ้าอยู่ ไม่อยากเ
เวลานี้ หลินเซินจำเรื่องราวในอดีตได้หมดทุกอย่างแล้ว พลังตบะเซียนและร่างกายของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม เขาร่ายเวทก้าวเข้าสู่หุบเขากองกระดูกในทันทีการปรากฏตัวของเขาทำให้หมิงเฟยและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจ ยามนี้เขาแทบจะทนแรงฟาดฟันของเยี่ยนฟางไม่ไหวแล้ว หลินเซินมองเห็นความโกลาหลที่พื้นเบื้องล่าง เขามองหาเยี่ยนฟางและหมิงเฟยเป็นลำดับแรก จากนั้นก็เคลื่อนที่มาหยุดตรงหน้านางในพริบตา“จงหลับ!” นิ้วชี้ของเขาจิ้มไปหว่างกลางหน้าผากของเยี่ยนฟาง เขาเอื้อมมือคว้าตัวนางเอาไว้ แล้วส่งให้หมิงเฟย จากนั้นตรงดิ่งไปที่ร่างของเจียลี่พูดกับหมิงเฟยว่า “พาคนออกไปจากที่นี่แล้วร่ายเวทหล่อเลี้ยงร่างของนางเอาไว้”หมิงเฟยพยักหน้ารับคำ ครั้นหลินเซินร่ายม่านเขตแดนของตนขึ้นมา หุบเขากองกระดูกที่แสนอึมครึมจึงมีโพรงแห่งแสงสว่างเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น“เฉิงซาน ทางนี้” หมิงเฟยตะโกนบอกพรรคพวกเมื่อทุกคนในที่แห่งนี้มองเห็นทางออกต่างพยายามสลัดให้หลุดจากคู่ต่อสู้ของตนเองหลินเซินมองเห็นเทพมารลอยอยู่เหนือเทพอาวุโส กำลังจะร่ายเวทใส่ร่างของเขา เพียงแต่ได้ยินเสียงร้อ
“เทียนจวิน วันนี้มีเรื่องอะไรหรือถึงได้อารมณ์ดี” ซ่งเสวี่ยหยางถามเขา“แค่วันธรรมดาหนึ่งวันบนดินแดนสวรรค์ เห็นเจ้าเพิ่งกลับมาเลยอยากทวงของฝาก” ซ่งเทียนเย่ยิ้มแป้นให้เขา“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ปราบปีศาจที่มีพลังมารก็ทำให้ข้าเหนื่อยไม่น้อย” เขาส่ายหน้าพลางเดินไปที่มุมหนึ่งของตำหนัก “แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้ยินมนุษย์พูดกันว่าสุราแคว้นเป่ยรสชาติดีจึงได้ถือติดมือมาด้วย” เขายื่นสิ่งที่พอจะเรียกว่าของฝากให้ซ่งเทียนเย่“เจ้าช่างรู้ใจ ดื่มเป็นเพื่อนกันสักหน่อยดีหรือไม่”หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเกาะลอยฟ้าของตำหนักเทพสงคราม ดื่มสุรากันคนละจอกสองจอกพลางพูดคุยเรื่องที่ได้พบเจอในแต่ละวัน“ท่านอา” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยสองคนเรียกซ่งเสวี่ยหยาง เขาหันไปมองต้นเสียงแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคน ช้า ๆ หน่อย” แต่เด็กทั้งสองกลับวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมเพราะคิดถึงเขา“เฮ้อ ดูสิ บิดาของเขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ ๆ” ซ่งเทียนเย่พูดหยอกผู้เป็นน้องชาย“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยู่ตำหนักตั้งนาน เอ้า! นี่ของฝากพวกเจ้า” เขาร่ายเวทเรียกไข่ของวิหคเพลิงออก
TW: ความรุนแรง อดีตของหลินเซินและเจียลี่ราวกับเรื่องราวของเยว่เล่อกับนางยังไม่หนักหนาพอ ใต้เท้าหนุ่มเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพที่นางกำลังนั่งกอดเขาอยู่บนเตียงจึงเกิดความเดือดดาล ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของเยว่เล่อแล้วออกหมัดใส่หน้าเขาไปหนึ่งทีนางรีบวิ่งเข้ามาประคองเขาพยายามห้ามไม่ให้เยว่เล่อโต้ตอบแต่กลับกลายเป็นว่าใต้เท้าหนุ่มยิ่งไม่พอใจที่ผู้หญิงของเขาทำเช่นนั้น“มันเป็นชู้รักของเจ้างั้นรึ” เขาตวาดเสียงดังก้องแล้วเข้าไปกระชากตัวนางจากเยว่เล่อ บีบข้อมือของนางแรงจนช้ำแดงเถือกเยว่เล่อไม่อาจทนเห็นใครทำร้ายนางได้อีก เขาขัดคำสัญญาของนางแล้วพุ่งตรงมาบีบคอของใต้เท้าหนุ่มในทันที เยว่เล่อกัดคอของเขาแล้วสูบเลือดที่มีจนหมดตัว ทิ้งร่างเหี่ยว ๆ กองไว้บนพื้นนางไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อนจึงตกตะลึงไปชั่วขณะแต่แล้วก็เดินมากอดเขาเอาไว้“ไปจากที่นี่กันเถิดนะเยว่เล่อ” นางมองหน้าเขาสายตาอ้อนวอนทั้ง ๆ ที่บริเวณบ้านเงียบงันแต่กลับมีเสียงหนึ่งคล้ายเสียงของใต้เท้าหนุ่มตะโกนโวยวายไม่เป็นเรื่อง คนใช้ในจวนจึงรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง ครั้นได้เห็นภาพเ