เจียงซุ่ยฮวนยิ้มเบาๆ เอ่ยว่า "ข้าให้เขาแพร่ข่าวในเมืองหลวงว่า ทารกในครรภ์เจียงเม่ยเอ๋อร์คือดาวอัปมงคลที่จุติลงมา จะนำความหายนะมาสู่บ้านเมือง ทำให้ทั่วหล้าระส่ำระสาย"เหล่าขอทานที่เดินไปทั่วเมืองหลวงทุกวัน คือผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการแพร่กระจายข่าวฉู่เจวี๋ยและเจียงเม่ยเอ๋อร์เป็นพี่น้องต่างมารดา บุตรที่เกิดจากทั้งสองอาจเป็นทารกวิกลรูปให้ขอทานแพร่ข่าวในเมืองหลวงว่าบุตรในครรภ์เจียงเม่ยเอ๋อร์เป็นดาวอัปมงคล แรกๆ ผู้คนอาจไม่เชื่อ แต่หากเจียงเม่ยเอ๋อร์คลอดทารกวิกลรูปจริง ผู้คนก็จะเชื่อสนิทใจถึงไม่ใช่ทารกวิกลรูป ข่าวลือนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เจียงเม่ยเอ๋อร์โกรธจนแทบคลั่งแววตาของเจียงซุ่ยฮวนวาบไปด้วยความเยือกเย็น เจียงเม่ยเอ๋อร์และฉู่เจวี๋ยทำให้ร่างเดิมต้องตาย ทำร้ายนางสาหัส นางจะค่อยๆ แก้แค้นคืนแม้ว่านเมิ่งเยียนจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจียงซุ่ยฮวนจึงทำเช่นนี้ แต่นางรู้ว่าเจียงซุ่ยฮวนต้องมีเหตุผลของตนเอง จึงไม่ซักถามต่อนางหันไปสะกิดกงซุนซวีที่หลับสนิท พลางเอ่ย "ขอทานน้อยผู้นี้ดูอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี อายุยังน้อยนักกลับเป็นโรคประหลาดเช่นนี้ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก"เจียงซุ่ยฮวนเท้าคาง พูดอย่
เจียงซุ่ยฮวนคุ้นเคยกับกลิ่นนี้มานานแล้ว นางจึงสีหน้าไม่เปลี่ยน กำคอเสื้อกงซุนซวี เตรียมจะจับเขาหย่อนลงถังยาหยิ่งเถาเห็นดังนั้นจึงรีบห้ามไว้ "คุณหนูไม่ได้นะเจ้าคะ! บุรุษสตรีไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน!""ก็ไม่ได้ถอดเสื้อผ้าเขาสักหน่อย กลัวไปไย?" เจียงซุ่ยฮวนยักไหล่ "อีกอย่าง ต่อหน้าแพทย์ไม่แบ่งชายหญิง"เพราะกงซุนซวีอายุยังน้อย อีกทั้งสิบวันมานี้แทบไม่ได้กินอะไรเลย เจียงซุ่ยฮวนจึงลากเขาลงถังยาได้อย่างง่ายดาย ร่างของเขาจมอยู่ในถังยา เหลือเพียงศีรษะโผล่พ้นน้ำเพื่อหายใจไม่นาน หน้าผากของกงซุนซวีก็เริ่มมีเหงื่อซึมออกมา เขาหลับตาแน่น สีหน้าดูทรมานยิ่งนักเจียงซุ่ยฮวนนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่แปลกใจ ยาน้ำนี้ใช้สำหรับขับพิษในร่างกายของกงซุนซวีออกมา อาการทรมานเช่นนี้เป็นเรื่องปกติหงหลัวอายุยังน้อย เห็นกงซุนซวีทรมานเช่นนั้น ในใจก็เกิดความสงสาร จึงถามเสียงเบา "คุณหนู เขาจะฟื้นเมื่อใดหรือเจ้าคะ?"เจียงซุ่ยฮวนกอดอกนั่งลง เบ้ปากพูด "บอกไม่ได้ อย่างเร็วหนึ่งสัปดาห์ อย่างช้าสองเดือน ระหว่างนี้ พวกเจ้าต้องเตรียมถังยานี้ทุกวัน ให้เขาแช่ยาวันละหนึ่งชั่วยาม""นานขนาดนั้นเชียว?" หยิ่งเถากังวล "จะให้บอกฮ
"ช่วงนี้คงไม่มีคนไข้มารักษาแล้ว ให้ปิดหอเหรินซ่านก่อน หากว่านเมิ่งเยียนมาหาข้า ก็บอกนางว่าข้าไปร่วมพระราชพิธีล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง"เจียงซุ่ยฮวนลุกเดินออกไป กลับห้องบรรทมเพื่อจัดของที่จะนำไปภูเขาซานชิงนางหาหีบไม้เบาๆ ใบหนึ่ง ใช้เลื่อยขัดล้อสี่อัน ให้ยวี่จี๋ตอกล้อไว้ใต้หีบ แล้วทำด้ามจับติดไว้ด้วย เป็นอันเสร็จหีบเดินทางอย่างง่ายเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงค่อนข้างหนา นางจึงยัดเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนเพียงสองชุด คำนึงว่าบนเขาอากาศหนาว จึงใส่ผ้าคลุมสีแดงเพิ่มอีกผืนเมื่อนางต้องไปในฐานะหมอหลวง ก็ต้องแสดงให้สมบทบาท นางจึงนำยาเม็ดและเข็มเงินจากห้องทดลองออกมา ยัดใส่หีบไปด้วยนางนึกขึ้นได้กะทันหัน ครานั้นฉู่เจวี๋ยและเจียงเม่ยเอ๋อร์ก็จะไปด้วย เมื่อเห็นนางแล้วต้องหาทางทำร้ายนางแน่ อารักขาที่กู้จิ่นส่งมาก็ไม่อาจปรากฏตัวเปิดเผยข้างกายนาง นางควรทำเช่นไร?นางคิดจะพกกริชสักเล่ม แต่คิดแล้วก็วางลง งานล่าสัตว์มีฮ่องเต้ประทับอยู่ด้วย หากถูกฉู่เจวี๋ยและเจียงเม่ยเอ๋อร์จับได้ไล่เลี่ยง กล่าวหาว่านางมีเจตนากบฏ เช่นนั้นนางคงแก้ตัวไม่ขึ้นช่างเถิดๆ เจียงซุ่ยฮวนส่ายหน้า อย่างไรในห้องทดลองของนางก็มีมีดผ่าตัดและยา
กู้จิ่นตอบอย่างใจเย็น "แล้วแต่สถานการณ์ โดยปกติราวครึ่งเดือน ตอนนี้เข้าเขาไป รอจนถึงวันตงจื่อ (วันเหมายัน) จะเลือกผู้ที่ล่าสัตว์ได้มากที่สุด พิธีล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ก็จะสิ้นสุด"เจียงซุ่ยฮวนโล่งใจ นางไม่อยากคลอดลูกบนเขาหรอก หากต้องคลอดต่อหน้ากู้จิ่นอีก โอ้สวรรค์! แค่คิดก็แทบหายใจไม่ออกแล้ว!นางชำเลืองมองกู้จิ่นอย่างระมัดระวัง แล้วรีบก้มหน้าลง ช่างเถอะ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะบอกเรื่องตั้งครรภ์ หากกู้จิ่นโกรธจนไล่นางลงจากรถม้า นางจะไปพบจีกุ้ยเฟยได้อย่างไร?อีกอย่าง กู้จิ่นยังไม่ได้บอกว่าชอบนางเลย บางทีนางอาจเข้าใจผิดก็ได้กู้จิ่นมองท่าทางอยากพูดแต่พูดไม่ออกของนาง จึงถามอย่างงุนงง "เจ้าอยากพูดอะไรหรือ?""ไม่มีอะไร" เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะแห้งๆ ชี้ไปนอกหน้าต่าง "ว้าว ทิวทัศน์งดงามจริงๆ"นี่มิใช่เพียงการเบี่ยงเบนประเด็น แต่ทิวทัศน์นอกหน้าต่างงดงามจริงๆ ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน รถม้าได้แล่นมาถึงเชิงเขาซานชิงแล้วอากาศสดชื่นของฤดูใบไม้ร่วง บนท้องฟ้าสีครามไร้เมฆขาว นอกหน้าต่างรถม้าเต็มไปด้วยใบเมเปิ้ลสีแดงทั่วทั้งพื้นที่ ใบไม้ถูกลมพัดร่วงหล่นลงพื้น เมื่อรถม้าทับผ่านก็ส่งเสียงกรอบแก
เจียงซุ่ยฮวนตะลึงงัน ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเห็นหญิงสาวกอดกู้จิ่นอย่างสนิทสนม นางพลันรู้สึกปวดใจ พึมพำ "ที่แท้ก็มีคนรักอยู่แล้ว ยังจะดีกับข้าถึงเพียงนี้ ทำให้ข้าเข้าใจผิด"นางชักเท้าที่ก้าวออกไปกลับ หมุนตัวกลับเข้าห้องด้านนอก กู้จิ่นไม่ทันเห็นว่าเจียงซุ่ยฮวนได้เห็นภาพนี้ เขาผลักหญิงสาวที่กอดเขาออกด้วยสีหน้าเย็นชา ขมวดคิ้วแน่น "จิ่นซิ่ว? เหตุใดวันนี้เจ้าจึงมาแล้ว?"องค์หญิงจิ่นซิ่วถูกผลักออกแต่ก็ไม่โกรธ กะพริบตาอย่างซุกซน "ได้ยินว่าวันนี้ท่านอาจะมา หม่อมฉันก็เลยทูลขออนุญาตเสด็จพ่อและเสด็จแม่ พระองค์ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันมาวันนี้""นี่ผิดธรรมเนียม เจ้าควรมาพร้อมกับพี่ชายและพี่สะใภ้ของเจ้า""อย่าเลยเจ้าค่ะท่านอา หม่อมฉันมาถึงแล้วจะให้กลับไปก็ลำบากนัก หม่อมฉันสัญญาว่าจะมีครั้งนี้ครั้งเดียว""อย่าให้เกิดขึ้นอีก" กู้จิ่นพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย "อีกอย่าง ที่พักของเจ้าไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นหอจิ่นซิ่วที่พักขององค์หญิง ข้าจะให้ชางอี้พาเจ้าไป"แม้ฮ่องเต้จะมีพระโอรสเก้าพระองค์ แต่มีพระธิดาเพียงสามพระองค์ คือองค์หญิงจิ่นเสวียน องค์หญิงจิ่นอวี๋ และองค์หญิงจิ่นซิ่วองค์หญิงทั้งสา
"ตำหนักหมอหลวงล้วนมีแต่บุรุษ นางเป็นสตรีจะเป็นหมอหลวงได้อย่างไร?" จิ่นซิ่วพูดอย่างดูแคลน "ข้าว่านางแกล้งทำเป็นรู้วิชาแพทย์ เพื่อหาโอกาสเข้าใกล้เสด็จอาเท่านั้นแหละ!"เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะแฝงแววเยาะหยัน "เหตุใดสตรีจึงเป็นหมอหลวงไม่ได้? เจ้าเป็นสตรี แต่กลับดูแคลนสตรี เช่นนั้นเจ้าก็ดูแคลนตัวเองด้วยกระมัง?""บังอาจนัก! ข้าเป็นถึงองค์หญิง เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนี้ อยากให้มารดาหลวงจับเจ้าขังคุกหรือไม่!" จิ่นซิ่วโกรธจัด ชี้หน้าเจียงซุ่ยฮวนเจียงซุ่ยฮวนหรี่ตา จิ่นซิ่ว? องค์หญิง? ที่แท้ก็ไม่ใช่คนรักของกู้จิ่นนี่เองแต่ชื่อนี้ช่างคุ้นหู นางนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็นึกออก นี่มิใช่องค์หญิงจิ่นซิ่วที่ราษฎรแย่งกันชมในงานโคมไฟชีซีหรอกหรือ? หน้าตางดงามจริง เพียงแต่ดูนิสัยจะไม่ค่อยดีนักจิ่นซิ่วเห็นเจียงซุ่ยฮวนไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย จึงเบ้ปากมองกู้จิ่นด้วยดวงตาคลอน้ำตา ฟ้อง "เสด็จอา ท่านดูนางสิ เป็นแค่หมอหลวงต่ำต้อย แต่กลับไม่มีมารยาทกับข้าถึงเพียงนี้!"กู้จิ่นไม่หวั่นไหว กล่าวว่า "ข้าจะบอกอีกครั้ง หมอเจียงเป็นผู้ที่ข้าเชิญมาเอง"เขาเน้นเสียงคำว่า "เชิญ" เป็นพิเศษความหงุดหงิ
กู้จิ่นพูดอย่างไม่ร้อนรน "ในคฤหาสน์มีแต่อารักขาลับที่ข้าจัดวางไว้ นอกจากพวกเขาแล้วจะไม่มีผู้ใดเห็น"ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงสามารถเข้าห้องเจียงซุ่ยฮวนในยามกลางวันได้กู้จิ่นเข้าใจดีว่าผู้ที่สังหารพระมารดาของเขานั้น ตลอดมาซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดคอยสังเกตเขา รอจังหวะลงมือสังหารทั้งตัวเขาและผู้ใกล้ชิดศัตรูอยู่ในที่ลับ เขาอยู่ในที่แจ้ง ทุกย่างก้าวของเขาล้วนอันตรายแต่คฤหาสน์ซานชิงนั้นปลอดภัยสำหรับเขา เพราะที่นี่ต่างจากวังหลวง อารักขาของเขาแทรกซึมอยู่ทั่วคฤหาสน์ ทุกความเคลื่อนไหวของผู้คนที่นี่ล้วนอยู่ในสายตาเขาแม้ผู้นั้นจะอยู่ในคฤหาสน์ ก็ไม่กล้าส่งคนมาสอดแนมก่อนหน้านี้กู้จิ่นเกือบจะใจร้อนเผยความในใจต่อเจียงซุ่ยฮวน แต่หลังจากอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายในวังหลวงหลายวัน เขาก็คิดได้ว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม จะนำอันตรายมาสู่เจียงซุ่ยฮวนกู้จิ่นไม่อยากเสี่ยงชีวิตเจียงซุ่ยฮวน เขาตั้งใจว่าจะจับฆาตกรที่ซุ่มซ่อนในความมืดให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยเผยความในใจต่อเจียงซุ่ยฮวนเจียงซุ่ยฮวนไม่รู้ความคิดของกู้จิ่น นางสงสัยจึงถาม "แต่หม่อมฉันได้ยินว่าในงานล่าสัตว์ อารักขาลับไม่สามารถขึ้นเขาได้""เป็นเช่นนั้นจร
พระจันทร์ถูกเมฆบดบัง รอบด้านมืดสนิท ใบไม้เหลืองแห้งค่อยๆ ร่วงหล่นจากต้นไม้ ตกลงข้างเท้าเจียงซุ่ยฮวนนางไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย กลัวว่าจะมีเสียงรบกวนคนทั้งสองในกำแพงจากเสียงสนทนา คงเป็นองค์ชายองค์หนึ่งกับผู้ติดตามที่ต้องการโกงในพิธีล่าสัตว์ องค์ชายสั่งให้ผู้ติดตามวางกับดักไว้ทั่วสนามล่าสัตว์บนเขาซานชิง เพื่อจะได้ล่าสัตว์ได้มากที่สุดแต่จริงๆ แล้ว เป็นเพียงเพื่อแสดงความเก่งกาจเท่านั้นหรือ?หรือเพื่อจะได้รำระบำอวยพรในพิธีบวงสรวงกันแน่?แบบแรกเป็นเพราะความไร้สาระ แบบที่สองเป็นเพื่อช่วงชิงบัลลังก์ในกำแพงเงียบไปนาน เจียงซุ่ยฮวนคิดว่าคนทั้งสองคงไปแล้ว จึงสามารถจากไปได้อย่างวางใจนางลุกขึ้น คิดจะย่องกลับไป แต่ไม่ทันสังเกตใบไม้แห้งข้างเท้า จึงเหยียบลงไปเสียงใบไม้แห้งแตกดังขึ้น ในราตรีอันเงียบสงัดได้ยินชัดเจนยิ่งเสียงดุดันดังจากในกำแพง "ใครอยู่ข้างนอก?"เจียงซุ่ยฮวนสูดลมหายใจ รีบทำเสียงแหลมเลียนเสียงแมว "เมี้ยวๆ~ เมี้ยวๆ~"ผู้ติดตามในกำแพงกล่าว "องค์ชายอย่าตกพระทัย เป็นเพียงแมวจรจัดเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ"จากนั้นก็เงียบไปเจียงซุ่ยฮวนกลอกตาไปมา ไม่กล้าเดินกลับทางเดิม หันตัวคิดจะหาต้
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
ปู้กู่ถูกคานไม้ที่ถล่มลงมาทับขาจน เจ็บมีสีหน้าบิดเบี้ยวไปทั้งใบหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นจึงกรูกันเข้าไป หวังจะยกคานไม้ออกให้พ้นจากขาของเขาทว่าเปลวเพลิงยังไม่สงบลงโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟลุกซ้ำยังมีอยู่ทุกเมื่อ จึงจำต้องแบ่งกำลังครึ่งหนึ่งไว้ดับไฟ อีกครึ่งเข้าไปช่วยปู้กู่คานไม้ที่ถล่มลงมานั้นหนักหนายิ่งนัก แถมยังร้อนจนแทบจับต้องไม่ได้ การจะยกขึ้นจึงยากเย็นนัก ปู้กู่เหงื่อเต็มหน้า พร่ำครางเสียงต่ำ “อย่าห่วงข้าเลย รีบไปช่วยคนในเรือนก่อน!”องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปดูในเรือน แล้วรีบวิ่งกลับออกมารายงาน “ในเรือน...ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“ว่าอะไรนะ!?” ปู้กู่กัดฟันกรอด “บัดซบ! ปล่อยให้มันหนีไปได้!”เจียงซุ่ยฮวนเมื่อได้ยินว่าข้างในว่างเปล่า ทั้งโกรธทั้งโล่งใจ โกรธที่หลี่ลี่หลบหนีไปได้ แต่โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “พระชายา ขออนุญาตไปช่วยท่านปู้กู่ก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนก็เป็นห่วงปู้กู่ไม่น้อย หากปล่อยให้คานไม้นั้นกดทับอยู่นาน เกรงว่าจะยิ่งแย่ลง“ขอบพระคุณพระชายา กระหม่อมจะรีบกลับมาโดยเร็วพ่ะย่ะค่
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื