อาเซียงกล่าว "แมวกินเข้าไปแล้วเป็นอย่างไร คนกินเข้าไปก็จะเป็นเช่นนั้น" พูดจบ อาเซียงก็เดินไปอุ้มแมวสิงโตมาวางไว้ในอ้อมอกของเจียงเม่ยเอ๋อร์ "พระชายาจะให้มันกินหรือเจ้าคะ?" "ทำไม ไม่ได้รึ?" เจียงเม่ยเอ๋อร์ย้อนถาม อาเซียงส่ายหน้า "น่าเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้" เจียงเม่ยเอ๋อร์ขอยาเม็ดหนึ่งจากอาเซียง ยัดเข้าปากแมวสิงโต บีบคางแมวบังคับให้มันกลืนลงไป ในชั่วขณะถัดมา แมวก็พลันอาเจียนเป็นเลือดสด แล้วล้มลงชักสองสามที ก่อนจะนิ่งสนิท แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว เจียงเม่ยเอ๋อร์ก็ยังตกใจไม่น้อย โดยสัญชาตญาณนางอยากจะโยนแมวสิงโตในอ้อมอกทิ้งไป อาเซียงรับแมวสิงโตไปอย่างนุ่มนวล "อีกสามวันมันก็จะฟื้น พระชายาอย่าได้ทิ้งมันเลยนะเจ้าคะ" เจียงเม่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น "หากมันไม่ฟื้นล่ะ?" "หากมันไม่ฟื้น บ่าวจะนำหัวมาให้พระชายา" "ได้!" อาเซียงวางแมวลงข้าง ๆ อย่างเบามือ ค้อมกายคำนับ "พระชายาทรงพักผ่อนให้สบาย บ่าวขอทูลลาก่อน" นางวางขวดกระเบื้องไว้ข้างเตียงเบา ๆ แล้วหมุนตัวเดินออกไป เจียงเม่ยเอ๋อร์จ้องขวดกระเบื้องเขม็ง ราวกับมีอำนาจลึกลับบางอย่างดลใจ นางหยิบขวดขึ้นมาซุกเข้าในแขนเสื้อ
แปลกยิ่งนัก ยาเม็ดสีขาวนั้นเมื่อเข้าปากก็ละลายดุจดังสายน้ำ ความเย็นฉ่ำแผ่ซ่านไปทั่วลิ้น พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ เจียงเม่ยเอ๋อร์เพิ่งจะรู้สึกประหลาดใจ จู่ ๆ ก็รู้สึกราวกับมีไฟร้อนแผดเผาอยู่ในอวัยวะภายใน ทั้งร้อนระอุและปวดแสบปวดร้อน นางทรุดลงคุกเข่าบนเตียง มือกุมท้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายค่อย ๆ โน้มไปข้างหน้า แล้วพลันอาเจียนเป็นโลหิตสดออกมามากมาย นางกำนัลสองคนที่วิ่งเข้ามาหานางยืนตะลึงอยู่ข้างเตียง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตที่เจียงเม่ยเอ๋อร์อาเจียนออกมา นางกำนัลอีกหลายคนที่อยู่ด้านหลังชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวิ่งกรีดร้องออกไปตะโกนลั่น "แย่แล้ว! พระชายาองค์ชายหนานหมิงกินยาพิษฆ่าตัวตาย!"ฉู่เจวี๋ยเพิ่งกลับมาจากตำหนักว่อหลง หลายวันมานี้เขาไปขอพบฝ่าบาททุกวันเพื่อขอความเมตตาให้เจียงเม่ยเอ๋อร์ แต่ฝ่าบาทไม่ทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาส วันนี้ในที่สุดก็ทรงยอมพบ แต่กลับรับสั่งให้เขาหย่าขาดกับเจียงเม่ยเอ๋อร์เสีย บัดนี้เขาไม่อาจขาดเจียงเม่ยเอ๋อร์ได้ พอได้ยินรับสั่งเช่นนั้นก็โกรธจัดออกจากตำหนักว่อหลงไปทันที เขาเดินมาได้ครึ่งทาง จู่ ๆ ก็เห็นนางกำนัลวิ่งซวนเซมาแต่ไกล พลางร้องตะโกน "ช่วยด้ว
ในยามที่นายและบ่าวกำลังรู้สึกสงสัย เจียงซุ่ยฮวน หมอหลวงเมิ่ง และหมอหลวงหยางทั้งสามคนก็อุ้มหีบยาเดินมาถึง ด้วยเหตุที่พระชายาลอบกินยาพิษฆ่าตัวตายนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ทั้งสามจึงต้องมาดูอาการ อาเซียงกระซิบถามเบา ๆ "พระสนม จะให้หม่อมฉันห้ามพวกเขาไว้หรือไม่เพคะ" "ไม่ต้อง" จีกุ้ยเฟยส่ายหน้า แล้วเหลือบมองหมอหลวงทั้งหลายที่เดินเข้าไปในห้องด้วยสายตาเย็นชา "พิษชนิดนี้ร้ายกาจนัก ไม่เพียงไร้ทางรักษาแม้แต่หมอเทวดาที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้าก็มิอาจรู้ได้ว่าถูกพิษชนิดใด" ...... เจียงซุ่ยฮวนแต่เดิมอยู่ในห้องทดลอง เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนจากด้านนอกจึงเดินออกมา พอทราบว่าเจียงเม่ยเอ๋อร์กินยาพิษฆ่าตัวตาย นางก็เข้าใจในทันทีว่าต้องเป็นฝีมือของจีกุ้ยเฟยแน่ แม้จะไม่ทราบว่าจีกุ้ยเฟยใช้วิธีใดให้เจียงเม่ยเอ๋อร์กินยาพิษ แต่ด้วยสถานะหมอหลวงของเจียงซุ่ยฮวน นางจำต้องมาดูอาการ นางเดินเข้าห้องพร้อมกับหมอหลวงเมิ่งและหมอหลวงหยาง เมื่อเห็นฝ่าบาทและฮองเฮา ทั้งสามก็พากันคำนับ "หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา" ฝ่าบาทมีสีพระพักตร์ไร้อารมณ์ ตรัสว่า "ไม่ต้องคำนับแล้ว รีบไปรักษาเจียงเม่ยเอ๋อร์ก่อน" "หากรัก
หมอหลวงเมิ่งและหมอหลวงหยางมองนางด้วยความตกตะลึง หมอหลวงหยางพึมพำว่า "นี่เป็นวิธีที่ดีจริง ๆ พระชายาเพิ่งดื่มยาพิษไปไม่นาน พิษยังไม่ได้แพร่กระจาย หากล้างท้องก็จะขับพิษส่วนใหญ่ออกได้" "แต่ปัญหาคือ จะล้างท้องอย่างไร" "ใช่แล้ว จะล้างท้องได้อย่างไรกัน หรือว่าต้องผ่าท้องเอากระเพาะออกมาล้างแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่งั้นหรือ" ฝ่าบาทก็ทรงงุนงงยิ่งนัก "มิใช่เช่นนั้นเพคะ" เจียงซุ่ยฮวนตกใจกับคำอธิบายเช่นนั้น รีบชี้แจงว่า "การล้างท้องคือการทำให้นางอาเจียนเอาของในกระเพาะออกมาให้หมด ทำซ้ำหลายๆครั้ง น่าจะขับยาพิษออกมาได้บางส่วน" เมื่อทุกคนเข้าใจ หมอหลวงเมิ่งจึงถามว่า "แล้วจะทำให้นางอาเจียนได้อย่างไร" เดิมทีเจียงซุ่ยฮวนอยากจะหยิบขวดน้ำยาล้างท้องจากห้องทดลองออกมา แต่เมื่อนึกได้ว่าตอนนี้มีคนอยู่เต็มห้อง คงยากจะอธิบายให้ผู้คนเข้าใจนางจึงได้แต่กล่าวว่า "เอาสบู่ไปละลายน้ำ แล้วให้นางดื่ม นางก็จะอาเจียนออกมาเอง" ไม่นาน นางกำนัลสองคนก็นำน้ำสบู่มาหนึ่งอ่างใหญ่ โดยมีองครักษ์เสื้อแพรช่วยป้อนน้ำสบู่ใส่ปากเจียงเม่ยเอ๋อร์ เจียงเม่ยเอ๋อร์นิ่งเฉย ปล่อยให้นางกำนัลป้อนน้ำ เมื่อป้อนไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ ๆ เจียงเม
เจียงเม่ยเอ๋อร์เพิ่งคลอดบุตรเสร็จ ร่างกายอ่อนแรงยิ่งนัก นอนอยู่บนเตียงดวงตาเลื่อนลอยราวกับจะหมดสติลงทุกเมื่อนางกำนัลสองคนยืนก้มหน้าอยู่ข้าง ๆ รอคำสั่งจากเจียงซุ่ยฮวนอย่างเงียบ ๆ ภายในห้องเงียบสงัดชั่วขณะ เจียงซุ่ยฮวนมองทารกบนเตียงด้วยความเงียบงัน ทารกนี้มีศีรษะใหญ่ราวเท่ากระด้ง แขนขาสั้นเตี้ย ใบหน้าแปลกประหลาด ไม่มีตาขาว มีเพียงนัยน์ตาสีดำสนิททั้งดวง มีรูจมูกถึงสามรู ผิวทั่วทั้งร่างเป็นสีเขียวซีด น่าสยดสยองยิ่งนัก แม้เจียงซุ่ยฮวนจะทำใจไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อได้เห็นเข้าจริงกลับยังอดขนลุกไม่ได้นางเคยเห็นทารกพิการมามากมาย แต่ไม่เคยเห็นทารกที่มีรูปลักษณ์วิปลาสถึงเพียงนี้ช่างแปลกนัก เจียงเม่ยเอ๋อร์กับฉู่เจวี๋ยไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน แล้วเหตุใดจึงให้กำเนิดทารกที่พิกลพิการเช่นนี้ แม้รูปลักษณ์จะน่าสะพรึง แต่ทารกน้อยผู้นี้ก็ร้องไห้เสียงดังตั้งแต่ลืมตาดูโลก อาการทั่วไปไม่แตกต่างจากเด็กแรกเกิดนักเจียงซุ่ยฮวนส่ายหน้า เด็กทารกผู้นี้ไม่เพียงมีหน้าตาที่ผิดปกติ ร่างกายก็บิดเบี้ยวผิดรูปเช่นกัน ท่าทางจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานสีหน้านางดูหนักใจ แต่ก็ยังฝืนทนความรู้สึกไม่สบายใจไว้เพี
"แต่เรากลับได้ยินเสียงคนร้องว่า 'ผี' เกิดอะไรขึ้นกันแน่" ฝ่าบาทตรัสถามอีกครั้ง ทุกคนในลานล้วนได้ยินเสียงร้องของนางกำนัล แต่ละคนมีสีหน้าที่แตกต่างกันไป เป็นเพียงการคลอดบุตรไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงเห็นผีได้ เจียงซุ่ยฮวนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนทูลว่า "หม่อมฉันคิดว่าหากฝ่าบาททอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง ก็จะเข้าใจทุกอย่างเพคะ" หลิวกงกงก้าวออกมารับห่อผ้าไป นำไปวางต่อพระพักตร์ฝ่าบาทและฮองเฮา ผ้าห่อทารกยาวเกินไป ปิดบังใบหน้าเด็กไว้ ขณะที่หลิวกงกงกำลังจะเปิดผ้าออก เจียงซุ่ยฮวนรีบเอ่ยเตือนว่า "ทารกผู้นี้มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดอยู่บ้าง ขอฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดทรงเตรียมพระทัยก่อนเพคะ" ฮองเฮาแค่นเสียงเย็นชา "ก็แค่ทารกน้อยเท่านั้น จะแปลกประหลาดไปถึงไหนกัน หลิวกงกง เปิดให้เราดูเด็กให้ชัด ๆ" "อีกอย่าง นี่คือพระราชนัดดาองค์แรกของฝ่าบาท ต่อไปก็ต้องเป็นรัชทายาท" เจียงซุ่ยฮวนถอยไปยืนด้านข้าง นางรับผิดชอบเพียงเรื่องการทำคลอด หลังจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของนางอีกแล้วหลิวกงกงค่อย ๆ เปิดห่อผ้าต่อหน้าทุกคน เผยให้เห็นทารกที่มีรูปลักษณ์ประหลาดพิสดารอย่างยิ่ง ฮองเฮาเพียงทอดพระเนตรแวบเดียว ก็ถอยหลังโซเซ หากไม่
ฮ่องเต้ทรงนิ่งเงียบ สีพระพักตร์เคร่งเครียด มิได้ตรัสอันใดพระองค์ทรงต้องการสั่งประหารเด็กคนนี้ต่อหน้าธารกำนัล แต่หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ราษฎรคงจะเห็นว่าพระองค์โหดร้ายไร้น้ำพระทัย ถึงกับฆ่าพระราชนัดดาของพระองค์เอง ฮองเฮาก็ทรงเงียบเช่นกัน พระนางเพิ่งตรัสว่าเด็กคนนี้จะเป็นรัชทายาทในอนาคต แต่กลับต้องพบกับความจริงที่ตรงกันข้าม จึงได้แต่เม้มพระโอษฐ์ไม่ตรัสสิ่งใด ในห้อง ฉู่เจวี๋ยนอนอยู่ข้างเจียงเม่ยเอ๋อร์ พลางเรียกชื่อนางด้วยความเป็นห่วง นางเพิ่งฟื้นคืนสติ ลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรง ก็ได้ยินเสียงโกลาหลด้านนอก จึงถามด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า "เหตุใดข้างนอกจึงอึกทึกนัก" ฉู่เจวี๋ยใส่ใจแต่เจียงเม่ยเอ๋อร์ ไม่ได้ตั้งใจฟังเสียงข้างนอกเลย จึงตอบไปอย่างลวก ๆ ว่า "ไม่รู้ คงเป็นเพราะเสด็จพ่อทอดพระเนตรบุตรของเรา ทรงปลาบปลื้มมากกระมัง" "เม่ยเอ๋อร์ เจ้าให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์แรกแก่เสด็จพ่อ พระองค์คงไม่ลงโทษเจ้าแล้ว อาจจะพระราชทานรางวัลให้เจ้าด้วยซ้ำ" "จริงหรือ" เจียงเม่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ดีใจยิ่ง จึงเงี่ยหูฟังเสียงข้างนอกอย่างตั้งใจ "ทูลฝ่าบาท ทรงประหารบุตรของพระชายาวังหนานหมิงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" "
นางย่องไปด้านหลังฉู่เจวี๋ยอย่างไม่ให้ผู้ใดสังเกต หยิบตัวดักแด้คุณไสยจากห้องทดลอง ฉวยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันระวัง รีบวางมันลงบนตัวฉู่เจวี๋ย ตัวดักแด้คุณไสยที่เดิมอยู่นิ่ง พอถูกวางบนตัวฉู่เจวี๋ยก็มีชีวิตชีวาขึ้นทันที มันไต่ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แทรกเข้าไปในผิวหนังที่ต้นคอด้านหลังของฉู่เจวี๋ย ดักแด้คุณไสยจะฟักตัวในร่างของฉู่เจวี๋ย เมื่อถึงวันที่มันแตกออกเป็นผีเสื้อ ก็จะเป็นวันที่ฉู่เจวี๋ยสิ้นชีวิต เมื่อฉู่เจวี๋ยตาย ผลข้างเคียงของเสน่ห์ยาแฝดก็จะหายไป ถึงเจียงเม่ยเอ๋อร์จะตั้งครรภ์ได้อีก ก็ไม่มีทางท้องบุตรของฉู่เจวี๋ยได้อีก แต่หากเจียงเม่ยเอ๋อร์ตายก่อน ดักแด้คุณไสยก็จะตายไปด้วย กล่าวง่าย ๆ คือสองคนนี้จะมีชีวิตรอดได้เพียงคนเดียว มุมปากเจียงซุ่ยฮวนยกขึ้นเล็กน้อย ดักแด้คุณไสยต้องวางไว้บนตัวคนที่เจียงเม่ยเอ๋อร์คุ้นเคย ช่างบังเอิญเสียจริง ฉู่เจวี๋ยกับเจียงเม่ยเอ๋อร์ร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกคืน ย่อมเป็นคนที่คุ้นเคยที่สุด สองคนนี้เคยทำร้ายนางอย่างร้ายแรง บัดนี้ถึงเวลาต้องชดใช้แล้ว เจียงเม่ยเอ๋อร์ใช้ผ้าอ้อมห่อทารกไว้แน่น จนมองไม่เห็นใบหน้าทารก มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น ใจของนางจึงจะรู้สึกดีขึ้
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
ปู้กู่ถูกคานไม้ที่ถล่มลงมาทับขาจน เจ็บมีสีหน้าบิดเบี้ยวไปทั้งใบหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นจึงกรูกันเข้าไป หวังจะยกคานไม้ออกให้พ้นจากขาของเขาทว่าเปลวเพลิงยังไม่สงบลงโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟลุกซ้ำยังมีอยู่ทุกเมื่อ จึงจำต้องแบ่งกำลังครึ่งหนึ่งไว้ดับไฟ อีกครึ่งเข้าไปช่วยปู้กู่คานไม้ที่ถล่มลงมานั้นหนักหนายิ่งนัก แถมยังร้อนจนแทบจับต้องไม่ได้ การจะยกขึ้นจึงยากเย็นนัก ปู้กู่เหงื่อเต็มหน้า พร่ำครางเสียงต่ำ “อย่าห่วงข้าเลย รีบไปช่วยคนในเรือนก่อน!”องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปดูในเรือน แล้วรีบวิ่งกลับออกมารายงาน “ในเรือน...ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“ว่าอะไรนะ!?” ปู้กู่กัดฟันกรอด “บัดซบ! ปล่อยให้มันหนีไปได้!”เจียงซุ่ยฮวนเมื่อได้ยินว่าข้างในว่างเปล่า ทั้งโกรธทั้งโล่งใจ โกรธที่หลี่ลี่หลบหนีไปได้ แต่โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “พระชายา ขออนุญาตไปช่วยท่านปู้กู่ก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนก็เป็นห่วงปู้กู่ไม่น้อย หากปล่อยให้คานไม้นั้นกดทับอยู่นาน เกรงว่าจะยิ่งแย่ลง“ขอบพระคุณพระชายา กระหม่อมจะรีบกลับมาโดยเร็วพ่ะย่ะค่
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื