"เจียงซุ่ยฮวนไม่มีความสามารถใดเลย ทั้งไม่รู้จักเอาอกเอาใจท่านพ่อท่านแม่ แต่นางยังคงอาศัยในจวนอ๋อง ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา" "ส่วนข้า ข้าต้องแสดงตัวว่าว่านอนสอนง่ายและฉลาดหลักแหลม ข้าต้องเชี่ยวชาญทั้งดนตรี หมากรุก อักษรศิลป์ และจิตรกรรม เพื่อให้ท่านพ่อท่านแม่ยินดี เพื่อไม่ให้ถูกขับไล่ออกจากจวนอ๋อง เพียงเพราะข้ามิใช่บุตรีแท้ ๆ ข้าจึงต้องทุ่มเทมากกว่าหลายเท่า" เจียงเม่ยเอ๋อร์ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกคับแค้นใจ ร่ำไห้อย่างสะอื้นว่า "ล้วนเป็นสตรีเหมือนกัน เหตุใดข้าจึงต้องมีชีวิตที่ลำบากเช่นนี้?" ฉู่เจวี๋ยฟังแล้วรู้สึกสงสาร รีบเข้าไปกอดเจียงเม่ยเอ๋อร์กล่าวว่า "เม่ยเอ๋อร์ หลายปีมานี้เจ้าทุกข์ทรมานมากนัก" "?" เจียงซุ่ยฮวนฟังแล้วสงสัยนัก "ข้าจำได้ว่า ตอนเจ้าอยู่ในจวนอ๋อง เจ้ากินดื่มสนุกสนานทุกวัน ดนตรี หมากรุก อักษรศิลป์ และจิตรกรรมล้วนให้ชุ่ยชิงทำแทน เจ้าทุ่มเทอะไรกันเล่า?" "ยังต้องถามหรือ?" ฉู่เฉินที่อยู่ด้านหลังพึมพำเบา ๆ "คงทุ่มเทกับการโกงสินะ" "เจ้าเงียบปาก!" เจียงเม่ยเอ๋อร์สูดน้ำมูก ชี้นิ้วไปที่เจียงซุ่ยฮวนตะโกนว่า "เจ้าเป็นธิดาเอก จะเข้าใจความรู้สึกของข้าได้อย่างไร? เจ้าอาจจะถูกเย้ยหยันส
เจียงอวี่กระโดดลงจากกำแพง ลงสู่พื้นอย่างมั่นคงข้างต้นไม้ใหญ่ในสวนหลังของจวนองค์ชายหนานหมิง ยามราตรีลมพัดแรง กิ่งไม้แห้งถูกพัดลงพื้น แม้เจียงอวี่จะเคลื่อนไหวอย่างเบาเบา แต่ก็ยังเผลอเหยียบกิ่งไม้แห้งใต้เท้า ทำให้เกิดเสียงแผ่วเบา องครักษ์ที่กำลังลาดตระเวนได้ยินเสียง จึงส่งสัญญาณให้คนอื่น ๆ ทุกคนเบาฝีเท้าลง ค่อย ๆ เดินไปยังต้นไม้ใหญ่ เมื่อเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ พวกเขาพบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น องครักษ์ที่ได้ยินเสียงเกาศีรษะพลางกล่าวว่า "แปลกนัก เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงจากที่นี่ชัดเจน เหตุใดจึงไม่มีใคร?" องครักษ์อีกคนกล่าวอย่างหงุดหงิด "ยามดึกสงัดเช่นนี้จะมีใครได้ เป็นแมวป่าวิ่งผ่านไปแน่นอน" "ใช่แล้ว ช่างระแวงสงสัยจริง เสียเวลาเหลือเกิน" องครักษ์คนอื่น ๆ พากันเห็นด้วย "อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ พวกเรารีบลาดตระเวนให้เสร็จแล้วกลับไปอุ่นสุราดื่ม ยังดีกว่ามาทนหนาวอยู่ที่นี่" องครักษ์ที่ได้ยินเสียงรู้สึกเสียหน้า จึงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าได้ยินเสียงจริง ๆ บางทีคนผู้นั้นอาจแอบซ่อนตัวอยู่" เขาพูดพลางเดินรอบต้นไม้สักรอบ "แม้ใต้ต้นไม้จะไม่มี แต่อาจซ่อนอยู่บนต้นไม้ก็ได้" กล่าวจบ เขาก็เงยหน้าขึ้
ใบหน้าทารกผู้นี้ แตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้สิ้นเชิง แก้มกลมป่อง ผิวขาวนุ่มสะอาด มิใช่ทารกปีศาจ แต่เป็นทารกที่ปกติที่สุด! เจียงอวี่รู้สึกงุนงง นี่เป็นเรื่องอย่างไรกัน? บางทีทารกผู้นี้อาจเป็นปีศาจกลับชาติมาเกิด เติบโตไป ๆ ก็กลายเป็นปกติ? มองทารกน่ารักตรงหน้า เขาไม่อาจลงมือได้ คิดครู่หนึ่ง เขาจึงตัดสินใจอุ้มทารกนี้กลับไปก่อนแล้วค่อยวางแผนต่อไป เขาโน้มตัวลงอุ้มทารก แต่ทารกพลันร้องไห้เสียงดัง เสียงร้องไห้อย่างสุดกำลังทำให้เขาสะดุ้งตกใจ เขาปิดปากทารกไว้ พลางมองไปรอบด้าน หวังจะหาสิ่งใดให้ทารกหยุดร้อง บนโต๊ะมีของเล่นเล็ก ๆ ทำจากไม้หลายชิ้น อาจทำให้ทารกสงบลงได้ เจียงอวี่อุ้มทารกเดินไป เพิ่งเดินไปได้สองก้าว เขาพลันพบว่าพื้นกระดานใต้เท้ามีอะไรผิดปกติ กระดานแผ่นนี้สูงกว่ากระดานอื่น ๆ เล็กน้อย และเมื่อเหยียบลงไปยังโยกเบา ๆ เจียงอวี่ย่อตัวลงตรวจสอบพื้นกระดาน พร้อมกันนั้น เสียงร้องไห้ของทารกในอ้อมแขนก็หยุดลง เขาอยู่ในสนามรบมานาน ฝึกฝนสัญชาตญาณที่เฉียบไว เขารู้ว่ากระดานแผ่นนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน การอุ้มทารกไว้ไม่สะดวก เขาจึงวางทารกกลับไปในเปล แล้วงัดกระดานแผ่นนี้ออกอย่างแรง พบว่า
กงซุนซวีก้มหน้า กล่าวเสียงเบา "ข้ารู้สึกว่าวรยุทธ์ของตนยังไม่เพียงพอ อยากเรียนรู้จากอาจารย์อีกสักระยะ" "พื้นฐานของเจ้าได้รับการฝึกฝนมาดีพอแล้ว หากต้องการเก่งกาจขึ้น ลองไปฝึกฝนในค่ายทหารดูบ้าง" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวเสริมอีกว่า "อีกอย่าง ค่ายทหารก็อยู่ที่ประตูเมืองนี่เอง ยามว่างเจ้าก็แอบกลับมาเรียนกับอาจารย์ได้" "ศิษย์พี่เจียง ท่านไม่อยากให้ข้าพักอยู่ที่นี่แล้วหรือ?" กงซุนซวีมองนางอย่างน่าสงสาร "ข้ามอบเงินให้ท่านได้นะ" "ที่นี่มิได้ขาดแคลนข้าวแกงสำหรับเจ้า" นางรู้สึกงุนงง จึงอธิบายว่า "เจ้าอยากเข้ากองทัพ ก็ควรรีบไปปรับตัวในค่ายทหารเสียแต่เนิ่น ๆ" "ที่นั่นมีคนหลากหลาย มีนิสัยสันดานต่าง ๆ นานา หากเจ้าไปก่อน ยังสามารถทำความคุ้นเคยกับผู้ฝึก หากไปช้า เมื่อถูกรังแก ก็จะไม่มีใครช่วยเจ้า" กงซุนซวีถึงกับเข้าใจในทันที รู้สึกว่าเจียงซุ่ยฮวนพูดมีเหตุผลมาก แต่เขายังคงลังเล "ข้ากลัวท่านแม่ทัพฉีหยวนจะเห็นว่าข้าอายุน้อย ไม่รับข้า" เขาเพิ่งพูดจบ ที่นอกประตูก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น หยิ่งเถากล่าวว่า "คุณหนู ท่านเจียงมาแล้วเจ้าค่ะ" เจียงซุ่ยฮวนยิ้ม "พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา" "ให้เขารออยู่ที่ห้องรับแข
เจียงอวี่เห็นสีหน้าผิดปกติของเจียงซุ่ยฮวน จึงถามว่า "เป็นอะไรไป ศพทารกนี้มีปัญหาหรือ?" "ก็ไม่ใช่" เจียงซุ่ยฮวนส่ายหน้า ชี้ไปที่ผงสีเขียวบนร่างทารก "นี่คือยาผงชนิดหนึ่ง ใช้เพื่อรักษาร่างไม่ให้เน่าเปื่อย" นางรู้สึกแปลกใจ "ประหลาดนัก ทารกนี้ตายไปแล้ว หากเจียงเม่ยเอ๋อร์ไม่คิดจะฝังให้ดี ก็ควรจะแอบนำไปฝังบนเขาสักแห่ง เหตุใดจึงต้องฝังใต้พื้นห้องด้วย?" เจียงอวี่เดาไม่ออกถึงสาเหตุ จึงพูดออกไปโดยไม่คิด "บางทีอาจเสียดาย?" "ไม่ถูก" เจียงอวี่พูดจบก็รีบปฏิเสธความคิดนี้ "เจียงเม่ยเอ๋อร์เป็นคนเลือดเย็นไร้ความรู้สึก เป็นไปไม่ได้ที่นางจะรู้สึกเสียดาย" ช่างเถิด ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ก่อน เจียงซุ่ยฮวนยื่นมือปิดกล่อง เพียงแค่นางส่งกล่องนี้ให้จีกุ้ยเฟย การแลกเปลี่ยนระหว่างนางกับจีกุ้ยเฟยก็จะสำเร็จ เจียงอวี่มองการกระทำของนาง กล่าวอย่างคาดหวัง "ซุ่ยฮวน ข้าได้นำทารกปีศาจมาตามที่เจ้าต้องการแล้ว เมื่อใดเจ้าจะกลับจวนอ๋องพร้อมข้า?" "พรุ่งนี้" "เหตุใดต้องเป็นพรุ่งนี้?" เจียงอวี่รู้สึกผิดหวัง เกลี้ยกล่อมว่า "ข้าพาเจ้ากลับตอนนี้ดีกว่า หลังจากเจ้ารักษาบิดาหายแล้ว พวกเราจะไปศาลบรรพชนพร้อมกัน" เจียงซุ่ยฮ
นี่ก็จริง ไม่ว่ากงซุนซวีจะสร้างผลงานบนสนามรบหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่เมืองหลวง เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอีก "งั้นท่านตามข้าเข้าวังอีกครั้ง จะกลับมาเร็ว ๆ" "ไม่ไป" ฉู่เฉินพลิกตัว "นาน ๆ จะได้นอนเพิ่ม ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น" "พูดเช่นนี้ ราวกับปกติท่านนอนน้อยนัก" เจียงซุ่ยฮวนบิดปาก หมุนตัวเดินออกไป หิมะในลานบ้านตกหนักขึ้น เจียงซุ่ยฮวนนำกล่องที่บรรจุศพทารกเข้าไปในห้องทดลอง เช่นนี้จะสามารถนำเข้าพระราชวังได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ต้องยอมรับว่าหลังการอัพเกรดพื้นที่ ช่างสะดวกขึ้นมากทีเดียว นางกางร่มยืนกลางลาน เงยหน้ามองหลังคาถามว่า "มีคนอยู่หรือไม่?" องครักษ์ลับหน้าใหม่กระโดดออกมา "ทูลพระชายา มีพ่ะย่ะค่ะ" "ชางอี้ไม่อยู่ที่นี่หรือ?" เจียงซุ่ยฮวนถาม "เขาไปทำธุระ" องครักษ์ลับประนมมือกล่าว "ข้าน้อยเป็นน้องชายเขา ชื่อชางเอ๋อร์ หากท่านมีธุระ บอกข้าน้อยก็ได้" "อ้อ เช่นนั้นหรือ" เจียงซุ่ยฮวนถูมือ ยิ้มน้อย ๆ ถามว่า "ท่านคิดอย่างไรกับการที่ชายแต่งกายเป็นหญิง?" "หา?" ชางเอ๋อร์เพิ่งถูกส่งมาคุ้มครองเจียงซุ่ยฮวน ไม่รู้เรื่องที่ฉู่เฉินแต่งกายเป็นหญิง หลังจากเจียงซุ่ยฮวนอธิบายให้ชัดเจน ชางเอ๋อ
ทหารยามสูดลมหายใจเฮือก รีบเปิดประตูวังให้ผ่าน ไป๋หลี่เก็บมือกลับ เตรียมเก็บป้ายเข้าอกเสื้อเจียงซุ่ยฮวนอยากรู้จึงถาม "เจ้าถือป้ายอะไร? เหตุใดทหารยามเห็นแล้วกลัวนัก?" "เชิญพระชายาดู" ไป๋หลี่ส่งป้ายให้นาง เมื่อนางรับมาดูก็พบว่าเป็นป้ายว่างเปล่า ไม่มีตัวอักษรใด ๆ "เหตุใดบนนี้จึงไม่มีตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว?" เจียงซุ่ยฮวนคืนป้ายให้ "ทูลพระชายา นี่เป็นเพียงป้ายธรรมดา ไม่มีประโยชน์ใด ๆ" ไป๋หลี่เก็บป้าย กล่าวเรียบ ๆ "ทหารยามกลัวเพราะเขาเป็นน้องชายข้า สมัยเด็กข้าตีเขาไม่น้อย" "เขากลัวข้า ไม่ใช่กลัวป้าย" "..." มุมปากเจียงซุ่ยฮวนกระตุก "เช่นนั้น น้องชายเจ้าก็เป็นคนขององค์ชายด้วยหรือ?" "ใช่" รถม้าหยุดที่หน้าตำหนักของจีกุ้ยเฟย เจียงซุ่ยฮวนบอกไป๋หลี่ "เจ้าลงรถก่อน ข้าจะลงตามไป" "เพคะ” หลังไป๋หลี่ลงรถ เจียงซุ่ยฮวนนำกล่องออกจากห้องทดลอง อุ้มกล่องลงจากรถ "คุณหนู ให้ข้าถือไว้ดีกว่า" ไป๋หลี่เข้ามารับกล่องไป เปลี่ยนคำเรียกอย่างเป็นธรรมชาติ เจียงซุ่ยฮวนเหลียวมองรอบด้าน หาร่างของอาเซียง อาเซียงไม่อยู่ที่นี่ นอกตำหนักมีเพียงนางกำนัลน้อยสองคน นางเดินไปหานางกำนัลน้อย "จีกุ้ยเฟยอยู่
ชายผู้นี้ไม่ทราบว่าไม่ได้ดื่มน้ำมานานเท่าใด เสียงจึงแหบแห้ง ฉู่อี้ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขา ค่อย ๆ เดินเข้าไปทีละก้าว เมื่อเห็นฉู่อี้ไม่มีปฏิกิริยา เขาจึงพุ่งไปที่ประตูคุก สองมือจับลูกกรงเหล็กเย็นเฉียบแน่น "เจ้าขังข้าไว้ที่นี่ แท้จริงต้องการทำอะไร?" "เฮ้ย! พูดอะไรสักคำสิ!" ฉู่อี้นิ่งเงียบวางกล่องไว้ที่มุมห้อง หมุนตัวเดินกลับ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เหลือบมองเขาแม้แต่ครั้งเดียว เขาร้องเรียกอย่างร้อนรน "อย่าเพิ่งไป แม้ไม่อยากคุยกับข้า อย่างน้อยก็หาผ้าห่มมาให้ด้วย" "คุกใต้ดินนี้ทั้งหนาวทั้งชื้น นอกจากหินก็มีแต่ก้อนดิน แม้แต่ฟางสักเส้นก็ไม่มี หากข้าหนาวตายจะทำเช่นไร?" เมื่อเห็นฉู่อี้ยังคงเงียบ เขาจึงปล่อยมือด้วยความโกรธ ถีบลูกกรงหนึ่งที "ช่างน่าชัง เจ้ากับแม่ของเจ้าช่างใจดำเหมือนกัน!" เมื่อได้ยินคำนี้ ฉู่อี้หยุดฝีเท้า หันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา "หากเจ้าสงบเสงี่ยม เมื่อข้าจัดการธุระเสร็จก็จะปล่อยเจ้าไป" "หากเจ้ายังพูดพล่าม ข้าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต"ขณะที่ฉู่อี้กล่าวประโยคนี้ น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับทำให้คนในคุกรู้สึกหนาวสะท้านในใจ เขาอุทานด้วยความตกใจ "เจ้าทำเช่นนี้ ไม
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช